๙ หลงเธอมธุรดา (๒)
“นี่อะไรเนี่ย หมอนข้างสองใบ มันกินที่เอาออกไปเลย” ก้าวเข้ามาใกล้เตียงกว้างแล้วหยิบหมอนออกทว่าหล่อนคว้าไว้
“ไม่ค่ะ เตียงออกจะกว้างไม่เห็นจะกินที่เท่าไหร่เลย นิ้งจะเอาไว้ตรงนี้” บอกเสียงแข็ง จ้องตาเขาไม่หลบเล่นเอาร่างสูงรู้สึกสนุกที่เห็นเธอสู้กลับบ้าง ไม่ใช่เอาแต่พูดเสียงเล็กในลำคอหลบตาอยู่นั่น
“ทำไม กลัวฉันจะปล้ำเธอเหรอ” ดวงตาคมฉายความเจ้าเล่ห์ออกมา แล้วหญิงสาวก็เม้มปากแน่น เธอหลบสายตาเขาอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นอีกฝ่ายยิ้มกรุ่มกริ่ม
“ปะ เปล่าค่ะ” ตัดสินใจตอบปฏิเสธ ทว่าวิศวกรหนุ่มก็ไม่ยอมแพ้ ขยับเข้ามาใกล้เตียงก่อนจะจ้องใบหน้าที่ก้มลงมองหมอนข้าง
“เปล่าแล้วเสียงสั่นทำไม” มธุรดารู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออก เริ่มอึดอัดกับบรรยากาศตอนนี้ เธอไม่เคยใกล้ชิดผู้ชายคนไหนมากเท่านี้มาก่อนเลย ตั้งแต่เริ่มเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นไม่เคยมีแฟนพอมีอีกทีก็เป็นสามีที่โดนบังคับให้แต่งงานซะอย่างนั้น
“คือนิ้งติดหมอนข้างค่ะ เราจะได้แบ่งกันคนละใบไงคะ” คิดหาเหตุผลมาตอบ แต่เขาก็รู้ทันว่าความจริงแล้วเธอก็แค่กลัวว่าเขาจะปล้ำ
ไม่เห็นต้องกลัวเลย คนเป็นสามีภรรยาจะมีอะไรกันไม่เห็นแปลก
“ฉันไม่ติดหมอนข้าง แต่ถึงจะติดฉันกอดเธอก็ได้” เขาขึ้นไปบนเตียงแล้วนั่งลงตรงข้ามหล่อน เล่นเอาร่างบางต้องรีบนำหมอนข้างมากันไว้ทันที ดวงตากลมหลุกหลิกพยายามหาทางหนีทีไล่ ขยับออกห่างเขาแล้วสอดมือไปใต้หมอน
“ไม่ดีค่ะ นิ้งมีแต่กระดูกกอดไม่นุ่มหรอก” หาข้ออ้างแต่คนเจ้าเล่ห์ก็โต้กลับ
“นั่นสิ เธอผอมเกินไปนะ คงต้องขุนให้อ้วนสักหน่อยจะได้จับเต็มไม้เต็มมือ แต่วันนี้ขอกอดหน่อยแล้วกันพรุ่งนี้ค่อยขุน” ขยับเข้าใกล้หล่อนแต่ก็ต้องชะงักเมื่อหญิงสาวนำสเปรย์พริกไทยขึ้นมาจ่ออยู่ตรงหน้า
“ถ้าคุณคีเข้ามานิ้งจะฉีดสเปรย์พริกไทยจริงๆ นะคะ” เขาถึงกับพูดไม่ออก มองภรรยาด้วยความรู้สึกที่ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้
นี่ถึงขนาดเอาสเปรย์พริกไทยมาด้วยเลยเหรอ เธอเห็นเขาเป็นโจรห้าร้อยชอบข่มขืนผู้หญิงหรือไง
ดวงหน้าหวานเอาจริงเอาจังเสียเหลือเกิน ทำให้คนตัวสูงถอนหายใจแล้วค่อยผละห่างจากหล่อน นี่ตกลงเธอชอบเขาจริงหรือเปล่า แต่งงานเพราะใช้หนี้ วันเข้าหอให้นอนนอกห้อง ไหนจะวันนี้เอาสเปรย์พริกไทยขู่อีก
หรือเขาคิดเข้าข้างตัวเองฝ่ายเดียว...
“รู้แล้วน่า ฉันไม่อยากทำอะไรเธอสักหน่อย ไม่ได้สวยน่าเข้าใกล้เลย” ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วเดินเข้าห้องน้ำ ปล่อยให้ภรรยาพรูลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ไม่ได้อยากสวยให้เขามองสักนิด คิดพลางวางหมอนข้างไว้ที่เดิม กำขวดสเปรย์พริกไทยไว้แน่นแล้วล้มตัวลงนอน ห่มผ้าชิดอกก่อนจะหลับตาด้วยความเหนื่อยล้า ไม่นานก็เข้าสู่ห้วงนิทราโดยไม่รับรู้แม้กระทั่งว่าคนข้างกายมานอนเมื่อไหร่
เช้าวันธรรมดาที่ต้องตื่นไปทำงาน แต่หญิงสาวไม่ต้องรีบเหมือนทุกวันเพราะโรงเรียนปิดแล้ว เธอต้องตรวจข้อสอบและรวบรวมคะแนนของเด็กเพื่อบอกเกรดเฉลี่ยในวิชาที่ตนเองสอน ลงมาทำอาหารเช้าให้สามีโดยที่เขายังนอนหลับสนิท
เมื่อคืนค่อนข้างโล่งอกที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น สงสัยคีรินทร์จะกลัวสเปรย์พริกไทยจริงๆ ถ้าอย่างนั้นต้องนอนกำมันเอาไว้ทุกคืนเสียแล้ว คิดพลางยกข้าวต้มมาเสิร์ฟไว้บนโต๊ะ ค่อยถอดผ้ากันเปื้อนออกแล้วขึ้นไปบนห้องอีกครั้ง
คราวนี้เห็นชายหนุ่มกำลังวิ่งวุ่นเหมือนหนูติดจั่น “เกิดอะไรขึ้นคะ” ถามด้วยความสงสัย เขาจึงหันมามองเธอ
“เห็นเนกไทฉันไหม ต้องรีบไปประชุมกับลูกค้า” หล่อนเดินเข้าไปที่ห้องเสื้อผ้าซึ่งเป็นแบบบิวท์อิน เลื่อนตู้ด้านล่างแล้วหยิบสีเนกไทที่เข้ากับเสื้อสูทของอีกฝ่าย
“นี่ค่ะ” เขากำลังยุ่งกับการใส่นาฬิกา จนสุดท้ายร่างบางก็ตัดสินใจผูกเนกไทให้ระหว่างที่รอให้คีรินทร์จัดการตนเอง
“ใส่ให้หน่อย” ดวงตากลมเบิกกว้างขึ้น ไม่ค่อยอยากทำสักเท่าไหร่แต่เห็นว่าอีกฝ่ายรีบจึงเดินเข้าไปยืนตรงหน้า เขย่งปลายเท้าขึ้นเพื่อสวมเนกไทให้ ส่วนสูงที่ต่างกันเล่นเอาปวดคอต่างจากชายหนุ่มที่ก้มมองใบหน้าเนียน
ปากน่าจูบชะมัด...
ก่อนจะเรียกสติตนเอง ไม่รู้ทำไมถึงได้หมกมุ่นกับริมฝีปากจิ้มลิ้มขนาดนี้ ถ้าเธอรู้คงคิดว่าเขาเป็นคนโรคจิตแน่
“นิ้งทำข้าวต้มไว้ให้นะคะ” เห็นร่างสูงผละไปค้นหาเอกสารจึงเอ่ยขึ้น
“ไม่ทันแล้ว เดี๋ยวฉันไปกินที่ทำงาน” ตอบโดยที่ไม่ได้หันไปมองเธอ กำลังรวบรวมทุกอย่างใส่กระเป๋าแล้วหยิบโทรศัพท์ คว้ากุญแจรถยนต์ก่อนหันกลับมาพบความว่างเปล่า
หายไปตั้งแต่เมื่อไหร่
รีบเดินลงมาข้างล่าง หันไปเห็นภรรยาเดินถือปิ่นโตมาหาพอดี เท่านั้นยังไม่พอมีกระบอกน้ำเก็บอุณหภูมิด้วย นี่เห็นเขาเป็นเด็กประถมหรือไง
“เอาไปกินที่ทำงานด้วยนะคะ จะได้ไม่ต้องซื้อให้เปลืองเงิน” ดวงตาคมมองใบหน้าของภรรยาที่ส่งยิ้มให้ ถ้าปฏิเสธก็ดูจะใจร้ายเกินไป แต่ถ้าเดินถือปิ่นโตสีหวานพร้อมกระบอกน้ำเข้าไปเพื่อนต้องล้อแน่ๆ ชายหนุ่มเลยตัดสินใจเอ่ยขึ้น
“เอาถุงผ้ามาใส่สิ” หล่อนยิ้มกว้างรีบเดินแกมวิ่งไปหาถุงผ้าสีขาวมาใส่ปิ่นโตและกระบอกน้ำเก็บอุณหภูมิให้คีรินทร์
“ตอนเย็นคุณคีอยากกินอะไรคะ เดี๋ยวนิ้งทำไว้ให้” ถามตาใสเหมือนไม่คิดอะไร แต่คนฟังกลับรู้สึกอุ่นวาบในหัวใจโดยไม่ทราบสาเหตุ เขาหลบตาเธอก่อนจะกระแอมเล็กน้อย
ความรู้สึกมันสุขจนเหมือนตัวจะลอยแปลกๆ
“อะไรก็ได้ ทำๆ มาเถอะ” ว่าจบก็คว้าถุงผ้ามาถือไว้ แล้วเดินไปยังรถยนต์ของตนเองทันที ใบหน้าคมขึ้นสีเล็กน้อยแต่เจ้าตัวกลับคิดว่าเป็นเพราะอากาศร้อนทั้งที่ภายในบ้านเปิดแอร์เย็นฉ่ำ
มธุรดาเห็นเขาขับรถออกไปจากบ้านก็เดินไปปิดรั้วแล้วกลับเข้ามารับประทานอาหารเช้า ก่อนจะขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อไปยังโรงเรียน ยังมีงานอีกมากมายต้องสะสางระหว่างที่ปิดเทอม ถึงนักเรียนจะหยุดแต่ครูไม่ได้หยุดด้วย
ที่โรงเรียนคงยังไม่มีใครรู้เรื่องที่เธอแต่งงาน ปิดไว้แบบนี้แหละดีแล้ว ส่วนคีรินทร์ก็ไม่เห็นเพื่อนเขามาที่งานสักคน สงสัยชายหนุ่มอยากปิดเป็นความลับเช่นกัน มันก็ดีแล้ว...
ถึงจะคิดแบบนั้นแต่ใจมันก็อดวูบโหวงไม่ได้ เขายังมีผู้หญิงอื่นอยู่อีกหรือเปล่า ถึงไม่ได้รักไม่ได้ชอบแต่ในเมื่อจดทะเบียนสมรสกันก็ควรซื่อสัตย์กับคู่ชีวิตของตนเอง สงสัยคงต้องถามและทำความเข้าใจกันเย็นนี้ซะแล้ว
รถยนต์สีดำเข้าจอดที่โรงรถของบริษัท เขาหยิบแฟ้มงานและถุงอาหารเช้าออกมาด้วย บริษัทวิจิตร จำกัด(มหาชน) ที่สาขาต่างจังหวัดจะมีตึกเป็นทรงเดียวกันทุกที่ นั่นคืออาหารขนาดสามชั้น มีทุกแผนกเหมือนบริษัทใหญ่ แต่อาจจะย่อยให้เล็กลงเพราะจำนวนคนที่ไม่มาก
เขากดลิฟต์แล้วขึ้นไปยังชั้นที่ตนเองทำงานอยู่ นั่นคือชั้นบนสุด ทว่าไม่ค่อยมีคนอยู่หรอกเพราะออกไซต์งานเป็นว่าเล่น ออกจากตู้โดยสารก็ตรงมายังห้องทำงานรวม ใช้ไหล่ดันประตูให้เปิดออกก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อมีพลุกระดาษพุ่งเข้าใส่
“ยินดีด้วยครับเจ้าบ่าวป้ายแดง”
“มีเมียแล้วดีใจด้วยเว้ย”
“โธ่ไม่บอกกล่าวกันเลย แบบนี้สาวๆ ที่ออฟฟิศอกหักแย่”
เพื่อนร่วมงานแต่ละคนห้อมล้อมเข้าหาเจ้าบ่าวป้ายแดงที่เพิ่งผ่านการแต่งงานมาสดๆ ร้อนๆ เล่นเอาเขาหน้าแดงอย่างไม่อาจห้ามได้ หันไปส่งสายตาคาดโทษให้สกลที่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ก่อนจะยิ้มแล้วขอโทษที่ไม่ได้บอกกล่าว
“ขอโทษนะครับ มันค่อนข้างฉุกละหุกเลยไม่ได้บอก ผมว่าจะมาบอกทุกคนวันนี้แหละครับ” หาข้อแก้ตัวให้ตนเอง หลายคนเลยได้ทีสัมภาษณ์ชายหนุ่มซะหน่อยถึงเจ้าสาว เห็นในภาพแสนน่ารักเหมาะสมกันทว่าก็มีบ้างที่บอกฝ่ายหญิงไม่สวยและไม่เหมาะกับคีรินทร์สักนิด
และก่อนจะได้พูดคุยมากกว่านี้ ทุกคนก็ต้องรีบแยกย้ายไปทำงาน โดยชายหนุ่มนำข้าวของไปวางบนโต๊ะ ยังเหลือเวลาอีกสามสิบนาทีกว่าลูกค้าจะมา อาจกินข้าวเช้าทัน ทั้งที่ปกติแล้วเขาไม่ค่อยรับประทานอาหารเช้าสักเท่าไหร่
“โห กล่องข้าวน่ารักว่ะเพื่อน” สกลเดินมาหาถึงโต๊ะ พร้อมมองอาหารเช้าของเพื่อนสนิทด้วยแววตาอิจฉา เมียเขาไม่เห็นทำแบบนี้ให้บ้าง
“ไหนบอกถูกบังคับ เขาดูแลมึงดีขนาดนี้เลยเหรอ เปลี่ยนเมียกันสักวันไหมวะ” ดวงตาคมหันมามองทันทีเล่นเอาต้องรีบแก้คำพูดเพราะเหมือนมันต้องการฆ่าเขาให้ตายหลังจากพูดประโยคนั้นจบ
เนี่ยเหรอวะคนถูกบังคับแต่งงาน...ไม่เหมือนสักนิด ดูอย่างไรก็เต็มใจมากกว่า
“ล้อเล่นครับคุณคีรินทร์ กระผมล้อเล่น คุณรับประทานอาหารเช้าไปเถอะ กระผมไม่กวนแล้ว” ทำท่าจะลุกขึ้นแล้วเดินหลับโต๊ะ แต่ไม่วายหันหลังกลับมาหยอกจนเกือบถูกถีบเข้าให้เสียแล้ว
“แต่ถ้าวันไหนอยากเปลี่ยนบอกได้ทันทีนะ” พูดจบก็รีบเดินแกมวิ่งกลับที่ของตัวเองทันที
“ไอ้กล” ร่างสูงลุกขึ้นมาหวังจะทำโทษคนที่ปากหาเรื่อง แต่เห็นมันวิ่งไปไกลเลยจำใจต้องนั่งลงที่เดิม ใบหน้าคมไม่สบอารมณ์ก่อนจะยกยิ้มเมื่อหันกลับมามองอาหารที่หล่อนทำอย่างตั้งใจ เขาตักเข้าปากแล้วยิ้มมีความสุข เธอทำอะไรก็ถูกปากไปหมดเสียทุกอย่าง
โดยไม่รู้เลยว่าทุกคนกำลังมองรอยยิ้มของชายหนุ่มด้วยความอิจฉา “คุณคีแต่งงานแล้วมีความสุขขึ้นจังเลยเนอะ” สาวๆ กระซิบกันพลางอมยิ้ม ขณะที่ร่างบางซึ่งแต่งตัวด้วยสีสันฉูดฉาดกลับเบ้ปากราวไม่เห็นด้วย
“ทุกข์ซะมากกว่า เมียก็ไม่เห็นจะสวยตรงไหนเลย สู้ฉันไม่ได้สักนิด” พีชญาเอ่ยด้วยใบหน้าไม่สบอารมณ์ ทั้งที่ตนเองให้ท่าตั้งหลายครั้งแต่เขากลับไม่สนใจสักนิด
ดันไปคว้าผู้หญิงหน้าบ้านๆ มาเป็นเมีย น่าเจ็บใจเหลือเกิน!
คอยดูเถอะคบกันไม่ได้นานหรอก เดี๋ยวก็เลิก!
“ไอ้คี เย็นนี้ไปกินเลี้ยงฉลองมึงแต่งงานไหม” หลังเลิกงานสกลก็เอ่ยชวนขณะเดินไปลานจอดรถ ใบหน้าคมส่ายไปมาช้าๆ แล้วตอบทั้งที่ยังมีรอยยิ้มแต้มริมฝีปากอย่างคนอารมณ์ดี
“ไม่ล่ะ ว่าจะกลับไปกินข้าวเย็นที่บ้าน” พูดจบก็ขึ้นรถแล้วขับออกไปทันที ปล่อยเพื่อนสนิทมองตามหลังแล้วแค่นเสียงหัวเราะออกมาอย่างนึกระอา
แล้วมาบอกว่าไม่อยากแต่งงาน แต่ติดบ้านยิ่งกว่ากูอีก
ไอ้คนไม่รู้ใจตัวเอง!
