บทนำ
จ เชียงราย ประเทศไทย
ไรส้มสินธร
ท่ามกลางความโกลาหลวุ่นวายครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นจากไฟที่กำลังโหมกระหน่ำอยู่ที่บ้านพักคนงานหลังหนึ่ง คนงานนับสิบชีวิตต่างกำลังช่วยกันดับไฟพร้อมๆ กับเสียงโวยวายที่ดังก้องไปทั่วสารทิศ จะมีก็แต่ ‘กรวิทย์ จารุวัฒไพศาล’ เจ้าของทุกสิ่งที่ได้แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่ เพราะไม่รู้ว่าควรต้องเริ่มจากตรงไหนก่อนดี
เขาเพิ่งกลับมาจากงานศพของผู้เป็นแม่ที่มาด่วนจากไปด้วยโรคร้ายเมื่อมาถึงก็พบว่าไฟได้ลุกลามไปไกลและไม่มีทีท่าจะสงบลงง่ายๆ
“เป็นยังไงบ้างลุงแช่ม นี่มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไง” เสียงเข้มเอ่ยถาม ‘ลุงแช่ม’ คนงานเก่าแก่ที่กำลังวิ่งเข้ามาหาเมื่อพบหน้า เพราะคิดว่าอีกฝ่ายคงให้ข้อมูลที่ควรจะรู้ไม่มากก็น้อย
“ยังไม่ทราบสาเหตุเลยครับนาย แต่ต้นเพลิงเห็นจะเป็นห้องพักของนังสมรกับไอ้ชัยไม่ผิดแน่ครับ” ชายชราตอบไปตามจริงที่เพิ่งได้รู้มา
“ทำไมลุงถึงได้มั่นใจขนาดนั้น”
เสียงเข้มย้อนถามกลับไปอย่างอดไม่ได้ที่จะสงสัยในความมั่นใจของอีกฝ่ายที่ดูท่าคงจะรู้อะไรที่เขาไม่รู้มาอย่างแน่นอน ความสูญเสียตรงหน้าถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่มาก แต่เขาก็ไม่ต้องการให้เกิดขึ้นซ้ำอีก อย่างไรก็ควรต้องหาทางแก้ไขเอาไว้ก่อน
“มีคนงานหลายคนเห็นตรงกันครับว่าไฟเริ่มไหม้มาจากห้องพักคนงานทางซ้าย ซึ่งก็เป็นห้องของสองผัวเมียที่เพิ่งย้ายเข้ามาทำงานที่นี่พร้อมลูกสาวครับ” กรวิทย์เงียบไปนานกับคำตอบที่ได้รับ แม้จะมีกิจการมากมายที่จำจะต้องดูแลสานต่อเจตนารมณ์ของผู้เป็นพ่อที่ได้ทิ้งเอาไว้ในพินัยกรรมที่ถูกเปิดขึ้นทันทีที่ผู้เป็นแม่จากไป ไร่ส้มแห่งนี้นั้นกลับเป็นยิ่งกว่าสมบัติและมีค่ามากกว่าอะไรทั้งนั้น เพราะมันคือสถานที่ที่พ่อกับแม่ของตนนั้นเริ่มก่อร้างสร้างตัวกันขึ้นมาด้วยความยากลำบาก ต้องเสียหยาดเหงื่อไปไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ กว่าที่ครอบครัวของเขาจะมีวันนี้ได้
ทว่าเมื่อมีทุกสิ่งที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นเงินทองหรือแม้แต่อำนาจทางธุรกิจที่ไม่มีใครหน้าไหนกล้าหือ แต่กลับต้องมาสูญเสียผู้เป็นพ่อและแม่ไปในเวลาไล่เลี่ยกันเช่นนี้ ส่งผลให้เขา ซึ่งเป็นลูกชายเพียงคนเดียวจำต้องแบกรับภาระทุกอย่าง เพื่อที่จะสืบสานธุรกิจที่มีมูลค่ามากกว่าพันๆ ล้านต่อไป แต่ใครจะคาดคิดว่าเมื่อเดินทางมาถึงจุดหมายเพียงไม่กี่นาที กลับต้องมาเจอกับเรื่องเลวร้าย
“จัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย อย่าให้เพลิงลุกไปไกลมากกว่านี้ แล้วก็จัดการเรียกตัวสองผัวเมียที่ว่านั่น ให้ไปพบผมที่ห้องทำงานด้วย!”
“คงไม่ได้แล้วครับนาย สองผัวเมียนั่นถูกไฟคอกตายไปแล้วครับ จะเหลือก็แต่ลูกสาวคนเดียวที่รอดตายมาได้อย่างหวุดหวิดเพราะคนงานเข้าไปช่วยไว้ได้ทัน” ความจริงที่ได้รู้ยิ่งสร้างเอาความตกใจมาสู้หัวใจที่แข็งกระด้างเข้าไปอีก ก่อนสายตาจะหันซ้ายขวาอยู่หลายครั้งจนกระทั่งเจอเข้ากับสิ่งที่สายตากำลังตามหานั่นก็คือร่างเล็กของเด็กคนหนึ่งที่กำลังยืนกอดตุ๊กตาหมีที่เต็มไปด้วยร่องรอยของไฟที่ไหม้จนผิดรูปผิดร่างไม่หลงเหลือเค้าโครงเดิมให้ได้เห็นกำลังร้องไห้อยู่เพียงลำพัง
ภาพนั้นทำให้เขานึกแปลกใจไม่น้อยว่าทำไมถึงไม่มีใครสักคนแสดงความมีน้ำใจต่อเพื่อนมนุษย์ซึ่งก็เป็นเพียงแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง โดยการเข้าไปดึงเด็กน้อยออกจากสถานที่เกิดเหตุเลยสักคน
“นั่นเหรอเด็กคนที่ลุงว่า” เสียงเข้มเลือกที่จะเอ่ยถามเพียงสั้นๆ เก็บงำสิ่งที่อยากรู้มากกว่านี้เอาไว้แต่ภายในใจ ไม่อยากแสดงความห่วงใยต่อเด็กสาวไปมากเกินความจำเป็น
“ครับนาย มันชื่อช่อ ตั้งแต่พบศพพ่อกับแม่ มันก็เอาแต่ยืนร้องไห้อยู่ตรงนั้นท่าเดียว ใครจะพูดยังไงก็ไม่ยอมฟัง” ชายชราเอ่ยตอบอีกครั้ง หัวใจพาลอดไม่ได้ที่จะสงสารเด็กน้อยที่อายุเพียงเท่านี้แต่กลับต้องมาสูญเสียพ่อแม่ไปอย่างกะทันหัน อีกทั้งยังไม่พบว่าครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนั้น จะมีญาติที่ไหนที่จะพอติดต่อให้มารับเด็กไปเลี้ยงดูต่อ
“มายืนทำไมตรงนี้” กรวิทย์เอ่ยถามเมื่อมาหยุดตรงหน้า ทิ้งไว้เพียงลุงแช่มที่ได้แต่ยืนอยู่มองดูเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างหวั่นวิตกเพราะตนเองก็ได้ลองพยายามพูดคุยกับเด็กสาวตั้งหลายต่อหลายครั้งแต่สิ่งที่ได้กลับมา กลับมีเพียงเสียงสะอื้นไห้ที่น่าเวทนาเท่านั้น
