บท
ตั้งค่า

เจ้าวรรศ : บทที่ ๑ สวมรอย【2】

ถึงจะตกปากรับคำ แต่ใจก็มิได้ยินดี ครั้นออกจากท้องพระโรงมา ปล่อยให้ข้าราชบริพารได้รับรองคณะทูตจากสราลีแล้วสิ้น ในหัวก็ขบคิดเป็นการใหญ่ว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี

เดินครุ่นคิดมาเรื่อยเปื่อย รู้ตัวอีกคราก็มาอยู่ที่ตำหนักของเจ้าวรรศแล้ว สายตาเหลือบมองไปยังพลับพลาหน้าตำหนัก เห็นโอรสองค์โตนอนเอกเขนกชมนกชมไม้ พลันก็เดินเข้าไปหา ปากส่งเสียงร้องเรียก

“เจ้าวรรศ”

อสุราหนุ่มที่นอนไขว่ห้างรับลมหันมามองตามต้นเสียง ครั้นเห็นว่าเป็นบิดาก็รีบลุกขึ้น ยกมือประนมแนบอก

“พ่อยักษ์ใหญ่มีธุระสำคัญใดรึ ถึงได้มาหาลูกจ๋าถึงที่ตำหนักเช่นนี้”

ไอศูรย์ไม่พูดในทันที ทิ้งตัวลงนั่งก่อน ถอนหายใจอีกระลอกใหญ่ เมื่อเห็นสายตาของเจ้าวรรศมองมาอย่างสงสัยถึงได้เอ่ยขึ้น

“เมื่ออรุณรุ่งมีคณะราชทูตจากแคว้นสราลีมาทาบทามน้องเจ้าให้ไปดูตัวกับองค์ยุพราชของพวกมัน”

เจ้าวรรศร้องอ๋อ เรื่องนี้เขาได้ยินมาแต่เช้าแล้ว หากทว่าหาได้ใส่ใจด้วยไม่เห็นว่าเป็นธุระกงการใดของตน

“แล้วอย่างไรรึพ่อจ๋า”

“องค์ยุพราชของพวกมันมีนามว่าองค์นวิน พวกมันว่ากันว่ารูปงามองอาจ สมบุรุษยักษา”

เรื่องนั้นเจ้าวรรศก็รู้ แต่...

“แล้ว?”

ถามออกไปจนได้ ไอศูรย์ระบายลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“ก็ไม่อย่างไร พ่อแค่อารมณ์เสีย พ่อไม่อยากให้เจ้าศวรรย์ไปดูตัว แต่พ่อยักษ์น้อยของเจ้ากลับเห็นดีเห็นงามด้วยยิ่ง”

“ถ้าเช่นนั้นก็หมายความว่าพ่อยักษ์ใหญ่ตกปากรับคำไปแล้ว?”

ไอศูรย์พยักหน้า ถอนหายใจออกมาอีกครา พานทำให้เจ้าวรรศพยักหน้ารับด้วยอีกคน แต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี อารมณ์เสียเรื่องนี้แล้วแวะเวียนมาหาเขา เขาจะช่วยการใดได้

ทว่าอีกไม่กี่เพลาให้หลังก็ตระหนักได้ทันควันเมื่อฉับพลันไอศูรย์ก็คิดการชั่วออก

“พ่อมาคิดๆ ดู จะว่าไปแล้ว เทียบเจ้ากับเจ้าศวรรย์ เจ้านั้นมีปัญญาเล่ห์เหลี่ยมมากกว่าน้องของเจ้าอยู่โข หากสราลีมาทูลขอเจ้าไปดูตัว พ่อคงจะยินดี ไม่มีบ่ายเบี่ยง เพราะพ่อเชื่อว่าเจ้าเอาตัวรอดได้ดีกว่าเจ้าศวรรย์ยิ่งนัก”

คนฟังย่นคิ้วทันที สมองประมวลผล เข้าใจความนัยของบิดาได้ฉับพลัน

“ทั้งหมดทั้งมวลที่พ่อยักษ์ใหญ่กล่าวมา ใจความเดียวคือจะให้ลูกจ๋าไปดูตัวแทนเจ้าศวรรย์ใช่หรือไม่”

เจ้าวรรศถามไปตามตรง ไอศูรย์เลิกอ้อมค้อมแล้ว พยักหน้าอย่างจำนน

“ฉลาดเฉลียวยิ่งนัก และใช่ ช่วยไปแทนน้องเจ้าที”

ได้ฟัง เจ้าวรรศก็ปั้นหน้างองุ้ม เขานอนเล่นชมนกชมไม้อยู่เฉยๆ แท้ๆ จู่ๆ ก็มีเรื่องชวนปวดหัวเข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัว ฤๅสวรรค์จะลงโทษที่เขาเอาแต่เตร็ดเตร่ ไม่ยอมฝึกวิชาหรือเรียนรู้ศาสตราใดเช่นเจ้าศวรรย์กัน?

“เหตุใดลูกจ๋าต้องไป”

เจ้าวรรศถามอย่างอิดออด ไอศูรย์เห็นก็รู้ว่าโอรสองค์โตของตนเกียจคร้านในการทำเรื่องยุ่งยาก เขาจึงไม่ใคร่อยากจะให้เจ้าวรรศได้ลำบากใจนักถึงได้ไม่เคี่ยวเข็ญใดๆ ทั้งที่ในภายภาคหน้าเจ้าวรรศจะต้องขึ้นรั้งเป็นกษัตริย์ต่อจากเขา อีกทั้งเพลานี้ก็เป็นถึงองค์ยุพราช แต่ครานี้จำเป็นต้องให้ลำบากใจแล้ว อย่างน้อยก็ทำหน้าที่ยุพราชเสียหน่อยเถิด

“เพราะเจ้าศวรรย์ช่างไร้เดียงสา”

ได้ยินความในใจของบิดา เจ้าวรรศก็เบ้หน้าโดยพลัน

“เจ้าศวรรย์เนี่ยนะ?”

มีเพียงแต่เขาที่รู้กระมังว่าแฝดผู้น้องนั้นเจ้าเล่ห์จะตาย ภายใต้ท่าทางเซื่องๆ ไม่ประสา หัวอ่อนว่านอนสอนง่ายนั้น แฝงไปด้วยความร้ายกาจเกินผู้ใดจะล่วงรู้ แม้แต่บิดาทั้งสองของเขาเอง แม้แต่เขายังไม่อยากจะวิวาทมีปากเสียงกับเจ้าศวรรย์เลย เพราะรู้ดีว่ากระทำไปก็เสียเปล่า ท้ายที่สุด เขาก็จะเป็นฝ่ายผิดเพราะผู้อื่นเข้าข้างเจ้าศวรรย์ด้วยเอ็นดูแฝดผู้น้องกันหมด

มารยาสาไถยจะตายชัก!

แต่ไอศูรย์ก็ยังคงเชื่อในสิ่งที่เห็นเช่นนั้น พอเจ้าวรรศทำท่าไม่เชื่อ เขาก็ว่าออกมาอีก

“ใช่ เอาเถิดน่า ไปแทนน้องที แล้วช่วยเป็นหูเป็นตาให้พ่อด้วยว่าองค์นวินเป็นเช่นไร กล้าแกร่งดั่งคำที่ราชทูตแคว้นสราลีกล่าวไว้หรือไม่ พ่อจะได้เบาใจว่าหากพ่อสิ้นไป องค์นวินจะได้ปกป้องน้องได้หากน้องของเจ้าจำต้องอภิเษกเป็นคู่ตุนาหงันกับองค์นวินจริง”

เป็นห่วงแต่เจ้าศวรรย์นั่นล่ะ!

เจ้าวรรศหาได้อิจฉาริษยาผู้เป็นน้องหรอก เพียงแต่คิดว่าพ่อยักษ์ใหญ่ของเขานั้นถูกอนุชาตัวดีหลอกเสียจนหมดสิ้น ผู้ใดว่าเขาเจ้าเล่ห์กัน เขาก็แค่มีอุปนิสัยเปิดเผย หาได้ชอบเสแสร้งแกล้งทำไร้เดียงสาดั่งเช่นเจ้าศวรรย์

“วันๆ เจ้าเอาแต่เกียจคร้าน ไม่ปฏิบัติราชกิจเฉกเช่นที่องค์ยุพราชควรจะกระทำ เพลานี้ได้โอกาสก็จงไปเสีย ไม่เช่นนั้นแล้วพ่อจะทำโทษให้เจ้าไปอยู่ที่ชายแดนกับทัพทหาร”

เห็นเจ้าวรรศไม่ตอบตกลงเสียทีก็แสร้งขู่ แต่มีหรือที่เจ้าวรรศจะสะทกสะท้าน จะส่งเขาไปแห่งหนตำบลใดก็เท่านั้นล่ะ อย่างไรเสียเขาก็เกียจคร้านอยู่ดี ได้ออกไปนอกเขตพระราชฐานเป็นเรื่องดีเสียด้วย เพราะอุดอู้อยู่แต่ในนี้ช่างน่าเบื่อนัก

ทว่าเจ้าวรรศก็หาได้ตอบโต้สิ่งใด คิดเพียงแต่ว่าได้เดินทางไปดินแดนแคว้นอื่นบ้างก็ดี คงจะเพลิดเพลินอยู่ไม่น้อยหากได้ชมความรุ่งโรจน์ของสราลี จึงเหลือบมองบิดาแล้วยื่นมือไปตรงหน้า

“มีอันใด”

ไอศูรย์ย่นคิ้วยู่ ถามบุตรชายที่ยกยิ้มเผล่

“หากลูกจ๋าตกปากรับคำแล้วไซร้ ของรางวัลของลูกจ๋าล่ะ”

“ไหว้วานเท่านี้ จำต้องมีของรางวัลด้วยรึ”

เจ้าวรรศดึงมือกลับ เชิดหน้าขึ้นทันที

“แล้วแต่พ่อยักษ์ใหญ่นะ ไม่มีของแลกเปลี่ยนลูกจ๋าก็ไม่ไป เสียเวลาเล่นสนุก ทั้งยังเสี่ยงให้พ่อยักษ์น้อยขุ่นเคือง สู้นอนเล่นอยู่ที่ตำหนักดีกว่า”

ไอศูรย์ถึงกับกัดฟันกรอด

เล่นแง่แสนกลนัก เจ้าเล่ห์เพทุบายได้ผู้ใดมา!

แต่แล้วก็ต้องจำยอมเมื่อเห็นเจ้าวรรศยกมือประนมทำท่าจะกราบลา ทำให้เขาต้องรีบตอบตกลง

“เออๆ อยากได้สิ่งใดกันเล่า”

“โตเทพอัสดร[ โตเทพอัสดร เป็นสัตว์หิมพานต์ที่ผสมระหว่างม้าและสิงโต มีลักษณะทั่วไปเหมือนดุรงค์ไกรสร แต่มีหัวเป็นสิงโตและมีร่างเป็นม้า มีกายเป็นม้าสีแสด หางและกีบสีแดงชาด หัวเป็นสิงโต คอ หลังและขนสร้อยคอมีสีเขียว และเป็นสัตว์กินเนื้อ]ของพ่อยักษ์ใหญ่”

เจ้าวรรศรีบเอ่ยทันที ไอศูรย์ถึงกับย่นคิ้ว

“เพียงแค่โตเทพอัสดรเท่านั้นรึ”

“จ้ะ ตัวที่พ่อยักษ์ใหญ่ใช้เป็นพาหนะยามออกศึกเลย”

ไอศูรย์ไม่ได้หวงหรอกที่เจ้าวรรศเอ่ยขอพาหนะคู่ใจเช่นนั้น แต่...

“เจ้าจะเอาโตเทพอัสดรฝีเท้าดีไปเพื่อการใดกัน”

เจ้าวรรศหันมายักคิ้วหลิ่วตา “เผื่อว่าองค์นวินมีรูปงาม ลูกจ๋าจะได้ลักพาตัวกลับปรมะของเรา ตบแต่งเป็นชายาเสียเลย”

ไอศูรย์ตบเข่าฉาดอย่างต้องใจ

“ดีมากลูกรัก อย่ายอมให้ผู้ใดข่มเหงเจ้าหรือน้องของเจ้าได้ พวกเจ้าจะต้องเป็นฝ่ายอยู่เบื้องบนเท่านั้น”

เรื่องยุลูกนี่ถนัดนัก!

ที่ต้องยุเป็นเพราะพิจารณาจากคำบอกเล่าของเหล่าราชทูตแห่งแคว้นสราลีแล้ว หากองค์นวินองอาจเหี้ยมหาญเช่นนั้น มิแคล้วเจ้าศวรรย์คงได้ถูกข่มเหง ส่งเจ้าวรรศที่มีชั้นเชิงและมากเล่ห์กว่าไปกำราบเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว แม้ว่าเจ้าวรรศจะเกียจคร้านเพียงใด แต่เรื่องฝีไม้ลายมือในเชิงดาบก็หาได้ยิ่งหย่อนไปกว่าผู้ใด อีกทั้งรูปร่างรึก็สูงใหญ่ แม้ว่าจะมีดวงหน้างดงามเพียงใด กระนั้นก็เรียกได้ว่าองอาจน่าเกรงขามยิ่งนัก

เจ้าวรรศนั่นล่ะสมควรไป ไม่ผิดแล้ว!

ไอศูรย์กระหยิ่มยิ้ม ขณะที่เจ้าวรรศคิดวางแผนการในหัว ที่ร้องขอโตเทพอัสดรฝีเท้าดีของบิดาไป หาใช่จะใช้ลักพาตัวองค์นวินกลับมาหรอก เขาเอาไว้ใช้เผื่อว่าจะต้องหลบหนีหากไปก่อกวนทำการใดให้แคว้นสราลีขุ่นข้องเข้าเท่านั้นล่ะ

รู้รักษาเอาตัวรอดเป็นยอดดี ทำการชั่วช้าสิ่งใดไว้...ไม่เก็บไม่เช็ด เผ่นแน่บหนีลูกเดียว สิ่งนั้นคืออุปนิสัยซุกซนที่น่าโดนวิรัลย์จับมัดแล้วโบยหวายวันละสามรอบ

“เช่นนั้นแล้ว พ่อจะสั่งการให้การิตตระเตรียมทุกสิ่งสรรพไว้ให้พร้อม” ไอศูรย์เอ่ยชื่อทหารเอกของตนออกมา เจ้าวรรศพยักหน้ารับคำ ก่อนที่จะต้องชะงักเมื่อไอศูรย์นึกบางสิ่งออก “แต่เรื่องนี้จะต้องเก็บเป็นความลับระหว่างพ่อกับเจ้า แล้วก็เจ้าศวรรย์ เข้าใจหรือไม่ จะให้พ่อยักษ์น้อยรู้มิได้เป็นอันขาด ไม่อย่างนั้น...”

ว่าพลางใช้นิ้วทำท่าเชือดคอตนเอง เจ้าวรรศพยักหน้ารับระรัวเลยทีเดียว ตายอย่างอนาถทั้งพ่อทั้งลูกแน่นอนหากวิรัลย์รับรู้ ก่อนที่เจ้าวรรศจะรับคำ

“พ่อยักษ์ใหญ่มิต้องห่วง พ่อไม่พูด ลูกจ๋าไม่พูด เจ้าศวรรย์ไม่พูด ไม่มีผู้ใดล่วงรู้เป็นแน่”

มั่นใจว่าวิรัลย์ไม่รู้เช่นนั้นเป็นเพราะเจ้าวรรศและเจ้าศวรรย์เป็นฝาแฝดที่มีใบหน้าและรูปร่างเหมือนกันจนแทบแยกไม่ออก หลายครั้งหลายคราทีเดียวที่ข้าราชบริพารจำสับสนสลับกันไปมา หากไม่สังเกตจากลักษณะการพูดจาและท่าทางแล้ว คงจะแยกไม่ออกกันเลยทีเดียว

“เช่นนั้นก็ฝากเจ้าด้วย”

ตบบ่าลูกรักแล้วจากไป ปล่อยให้เจ้าวรรศยิ้มย่องเพียงลำพังกับความหรรษาที่จะอุบัติในอีกไม่กี่เพลาต่อจากนี้

เกียจคร้านมากเท่าใดก็จะระริกระรี้ขึ้นมามากเท่านั้นเมื่อได้เล่นซุกซน

เห็นทีแคว้นสราลีคงจะได้วุ่นวายชวนหัวกันยกใหญ่แล้วกระมัง...

***

วันเดินทางมาถึงในอีกไม่กี่ทิวาให้หลัง เจ้าวรรศสวมรอยเป็นเจ้าศวรรย์ รีบร้อนออกจากปรมะไปกับขบวนเสด็จที่ทางสราลีตระเตรียมไว้ตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางตามคำสั่งของไอศูรย์ ทั้งที่ตั้งใจไว้ว่าจะกราบลาวิรัลย์ก่อน แต่ก็จำต้องรีบเร่งไปด้วยไอศูรย์มีคำสั่ง พร้อมทั้งอ้างว่าเกรงจะเสียเวลาในการเดินทาง

ในเมื่อเป็นคำสั่งก็มิอาจขัดขืนได้ ยอมปล่อยให้ไปโดยมีการิตติดตามไปด้วย เหตุที่ส่งการิตไปนั้นเป็นเพราะไอศูรย์เองก็เป็นห่วงเจ้าวรรศ ถึงจะรู้ดีว่าโอรสองค์นี้เอาตัวรอดได้ แต่ก็ไม่วายหวงแหนตามประสาบิดา การิตก็เห็นดีด้วยจึงรับคำสั่งโดยมิหน่ายหนี แน่นอนว่าเขาเองก็เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดในแผนชั่วครั้งนี้

เว้นเสียแต่เจ้าศวรรย์ที่เพิ่งรู้หลังจากที่แฝดผู้พี่ของตนจากไปแล้วด้วยไอศูรย์เรียกตนไปพบที่พลับพลาในสวนพฤกษาเพื่อบอกกล่าวเรื่องนี้ ความยินดีพร่างพราย รอยยิ้มปรากฏให้เห็นบนดวงหน้าผุดผาด เพราะเขาเองก็หาใช่ยักษ์ที่ชอบตะลอนท่องเที่ยวไปเรื่อยเปื่อยเฉกเช่นเชษฐา การได้อยู่ที่ตำหนักของตนนั้นสุขล้นยิ่งกว่าสถิตอยู่ในวิมานไหนๆ

“ลูกจ๋าต้องขอบพระคุณพ่อยักษ์ใหญ่เป็นอย่างยิ่งจ้ะที่เมตตาลูกจ๋าถึงเพียงนี้”

ดีใจเสียจนเก็บท่าทีไว้ไม่ได้ คุกเข่าก้มกราบแนบตักบิดาที่นั่งอยู่บนตั่งเบื้องหน้า

“เพราะพ่อรักเจ้านัก ถึงได้มิยอมให้ตกเป็นของผู้ใด”

มือใหญ่ลูบเรือนผมนุ่มสลวยของโอรสองค์เล็กแผ่วเบา ขณะที่เจ้าศวรรย์ยิ้มระรื่น

“ลูกจ๋าก็รักพ่อยักษ์ใหญ่เช่นกันจ้ะ”

ออดอ้อนเอาใจบิดาเป็นการใหญ่ ไอศูรย์ก็ชื่นใจยิ่งนัก ไม่ว่าอย่างไรเจ้าเขี้ยวน้อยฝาแฝดตนนี้ก็หาได้โตขึ้นเลย ทว่า...ความสุขนั้นก็เป็นอันต้องมลายเมื่อทั้งสองได้ยินเสียงคุ้นเคยดังขึ้นไม่ไกล

“รักกันมากเหลือเกินนะ”

หันขวับไปมองก็เห็นว่าเป็นวิรัลย์ ทำเอาสองพ่อลูกผละออกจากกันอย่างพร้อมเพรียง เสียวสันหลังวาบราวกับรู้ชะตาชีวิตตน

“นะ...น้องยักษ์มาทำอะไรที่สวนพฤกษาแต่เช้าจ๊ะ”

ถามไปราวกับโง่งม วิรัลย์หรี่ตามอง ว่าเนิบนาบ

“แล้วเหตุใดข้าจะมาที่นี่ไม่ได้”

“มะ...มาได้จ้ะ ที่พี่ถามเป็นเพราะเห็นว่าเจ้านอนหลับฝันดีอยู่ จึงสงสัยนักว่าเหตุใดถึงตื่นเช้ากัน”

หลับฝันดีอย่างนั้นรึ...วิรัลย์แกล้งหลับต่างหาก ด้วยสังเกตเห็นความผิดปกติจากท่าทางของไอศูรย์ที่ดูลับๆ ล่อๆ มาตั้งแต่เมื่อคืน วันนี้จึงลอบมาดูว่าคิดแผนชั่วอะไรไว้ ที่เอะใจนั่นก็เป็นเพราะเช้านี้เป็นวันที่จะต้องส่งเจ้าศวรรย์ไปยังแคว้นสราลี แต่เมื่อเขาตื่นมาก็ไม่พบขบวนราชทูตแล้ว มีแต่ไอศูรย์เท่านั้นที่ย่องออกจากตำหนักแล้วมุ่งหน้ามาที่นี่ แล้วก็จริงเสียด้วยที่ไอศูรย์มีแผนชั่ว เพราะสิ่งที่สองพ่อลูกสนทนาพาทีกันก่อนหน้านั้น ล้วนเข้าหูเขาแล้วหมดทั้งสิ้น

“เจ้าวรรศล่ะ”

ไม่พูดพร่ำทำเพลง ถามถึงโอรสองค์โตทันที ไอศูรย์ละล่ำละลักพูดทันใด

“เจ้าวรรศก็อยู่นี่อย่างไรล่ะจ๊ะ”

เหลือบมองไปยังเจ้าศวรรย์ด้วย เจ้าศวรรย์เองก็รู้งาน รีบสวมรอยเป็นแฝดผู้พี่ทำท่าทางองอาจ ทำตาวาววับเจ้าเล่ห์ให้เหมือนกับคนที่ถูกถามหา

“ลูกจ๋าอยู่นี่จ้ะพ่อยักษ์น้อย”

วิรัลย์สูดลมหายใจเข้าปอด พ่นทิ้งออกมาอย่างระอา

“พวกเจ้าคิดว่าข้าโง่งมถึงขนาดแยกแยะลูกตัวเองไม่ออกเลยหรือไร”

ทั้งไอศูรย์ ทั้งเจ้าศวรรย์ต่างเย็นต้นคอวาบไปตามๆ กัน

ถึงผู้ใดจะแยกสองแฝดนี้ไม่ออก แม้แต่ไอศูรย์เองที่บางคราก็สับสน แต่มีเพียงวิรัลย์เท่านั้นที่แยกออกเพียงมองหน้า ไม่จำเป็นต้องสังเกตท่าทางการพูดใดก็รู้ได้ว่าผู้ใดเป็นเจ้าวรรศ ผู้ใดเป็นเจ้าศวรรย์

และทันทีที่เห็นว่าแผนการแตกย่อยยับ ความลับไม่มีในโลกอีก เจ้าศวรรย์ก็รีบยกมือขึ้นประนมแนบอกทันที

“ลูกจ๋าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเช้านี้ได้รับปากกับราชครูไว้ว่าจะไปร่ำเรียนตำราการปกครองที่ตำหนักหลวง ลูกจ๋าทูลลาพ่อๆ จ้ะ”

ก้มกราบแล้วเผ่นแน่บไปโดยไว ทิ้งให้ไอศูรย์บ้าใบ้อ้ำอึ้งเมื่อเห็นลูกรักก้าวหนีไปโดยไวเท่านั้น

ไอ้ที่ก่อนหน้ารักพ่อยักษ์ใหญ่นักหนาอะไรนั่นเป็นเพียงลมปากรึ!?

อยากจะตัดพ้อลูกใจจะขาด แต่เมื่อเห็นสายตากรุ่นโกรธของวิรัลย์ พร้อมกับเขี้ยวข้างหนึ่งที่งอกยาวแล้ว ไอศูรย์ก็ได้แต่หัวเราะแห้งๆ

“มีสิ่งใดจะเล่าให้ข้าฟังหรือไม่”

“มีจ้ะพ่อตาหวาน มีเยอะเลย”

แม้ไอศูรย์จะเป็นถึงกษัตริย์ แต่วรรณะในครัวเรือนนั้นช่างต่ำต้อยเสียจริง มิแปลกหากลูกจะเผ่นหนีเอาตัวรอดเช่นนี้

ความผิดนั้นก่อร่วม แต่เมื่อถูกวิรัลย์จับได้ขึ้นมาก็...ตัวใครตัวมัน

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel