บท
ตั้งค่า

เจ้าวรรศ : บทที่ ๑ สวมรอย【1】

ทั้งที่ได้ชื่อว่าหวงแหนลูกแฝดราวกับพญาจงอางหวงไข่ แต่ก็มิวายมีแว่นแคว้นมาทาบทามสองยักษ์น้อยให้ได้ดองกับแคว้นของตนอยู่ร่ำไป สิ่งนั้นช่างกวนใจบิดาอย่างไอศูรย์เสียเหลือเกิน ยิ่งเจ้าสองเขี้ยวน้อยของเขาเติบใหญ่ถึงวัยครองเรือน ก็มีราชทูตจากดินแดนอื่นแวะเวียนมายังท้องพระโรงของกษัตริย์ปรมะไม่เว้นวัน

วันนี้ก็เช่นกัน...เป็นคราวของแคว้นสราลีอันเป็นดินแดนทางสุดตะวันออกที่ยกพลราชทูตมาทาบทามโอรสหัวแก้วหัวแหวนของกษัตริย์ปรมะ

บนบัลลังก์ปรากฏร่างจอมทัพอสุราที่นั่งฟังราชทูตจากสราลีกราบทูลไป แยกเขี้ยวโค้งพรายไปด้วยไม่สบอารมณ์ยิ่ง มีอย่างที่ไหน ถูกวิรัลย์ยาใจปลุกให้ตื่นแต่เช้าเพื่อมาฟังถ้อยคำของเจ้าพวกที่จะพรากลูกตนไปจากอก มันใช้ได้หรือ!?

อยากจะบั่นหัวเจ้าพวกยักษ์ไม่รู้จักกาลเทศะ ทั้งยังโอหัง คิดการใหญ่กำเริบเสิบสาน หมายจะพาโอรสของตนไปครองคู่กับองค์ยุพราชของตน

...ใช่ องค์ยุพราช ไอศูรย์ฟังไม่ผิดแน่ ใบหน้าถึงได้ถมึงทึงราวกับพร้อมจะสู้รบถึงปานนี้

“องค์ยุพราชของชาวสราลีนั้นเก่งกล้าสามารถ ไม่ว่าจะเป็นแว่นแคว้นดินแดนใดในทางตะวันตก พระองค์ก็ล้วนแล้วแต่เหยียบย่างเอาซึ่งชัยไปทุกที่ อีกทั้งรูปร่างก็องอาจ ใบหน้าก็งดงามคมคายสมบุรุษยักษา หากองค์ไอศูรย์ทรงมีพระเมตตา ยินยอมยกองค์ศวรรย์ให้ได้ดองเป็นทองแผ่นเดียวกับสราลีแล้วไซร้ ปรมะและสราลีจะต้องยิ่งใหญ่กว่าผู้ใดในหล้าแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”

เสียงของราชทูตนั้นแทบไม่เข้าหูไอศูรย์เลย เขาได้แต่นั่งคิ้วกระตุกเมื่อได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยชื่อเจ้าศวรรย์ออกมา

ทูลขอใครไม่ขอ มาขอลูกคนเล็ก สงสัยจะไม่อยากกลับแผ่นดินมาตุภูมิแล้วกระมัง!

แต่ก็มีเพียงเหล่าข้าราชบริพารในปรมะเท่านั้นที่รู้ดีว่าไอศูรย์หวงแหนโอรสองค์เล็กมากเพียงใด กับองค์โตนั้นก็ไม่ใช่ว่าไม่หวงแหน หากทว่าเจ้าวรรศนั้นเล่ห์เหลี่ยมเพทุบายมากล้น ทั้งยังกะล่อนลื่นไหล จึงไม่น่าเป็นห่วงเท่าใดนักหากถึงคราวต้องเอาตัวรอด ต่างจากเจ้าศวรรย์ผู้เป็นน้องยิ่ง ด้วยเจ้าศวรรย์นั้นมีลักษณะคล้ายกับวิรัลย์ผู้เป็นบิดาอีกคน ไม่ช่างพูดช่างเจรจา สีหน้าท่าทางดูซื่อใสราวกับไม่ประสา

ไร้เดียงสาถึงเพียงนี้ ไอศูรย์จะไม่เป็นห่วงกว่าเจ้าวรรศได้อย่างไรกัน!

อยากจะปฏิเสธเต็มแก่ ทว่าก็ต้องชะงักงันเมื่อวิรัลย์ที่นั่งเคียงข้างลดหลั่นลงมาจากบัลลังก์เอ่ยขึ้น

“สราลีนั้นอยู่สุดแคว้นตะวันตก ห่างไกลจากปรมะอยู่โข กระนั้นข้าก็ได้ยินมาหนาหูว่าแคว้นของพวกเจ้าอุดมสมบูรณ์ยิ่ง ทรัพย์ในดิน สินในน้ำก็มากมี อาณาเขตแผ่ขยายกว้างไพศาล แคว้นน้อยใหญ่ที่รายล้อมต่างยอมศิโรราบโดยดุษณี ไร้ซึ่งการเสียเลือดเสียเนื้อ”

“นั่นเพราะพวกกระหม่อมชาวสราลีเป็นยักษ์รักสงบพ่ะย่ะค่ะ หากไม่จำเป็นต้องสู้รบก็จะไม่จัดทัพ มีข้อพิพาทคราใด กษัตริย์ของกระหม่อมก็ทรงมีพระบัญชาให้ส่งคณะราชทูตไปเจรจาสงบศึก”

“หากเป็นเช่นนั้นก็น่าเป็นที่ยกย่องเหลือเกินว่าแคว้นสราลีเป็นแคว้นแห่งปราชญ์ ใช้ปัญญาเข้าแก้ไขปัญหามากกว่ากำลัง”

ได้ยินคำเอ่ยชมจากวิรัลย์เช่นนั้น ราชทูตจึงไม่รอช้าที่จะกราบแนบพื้นอย่างนอบน้อม

“ขอบพระทัยองค์วิรัลย์ยิ่งพ่ะย่ะค่ะ แคว้นสราลีจะสมบูรณ์ได้แน่หากได้ดองกับปรมะ ดินแดนหนึ่งอุดมด้วยปัญญา อีกดินแดนเลื่องลือด้วยกำลัง ต้องยิ่งใหญ่กว่าผู้ใดในแผ่นดินเป็นแน่แท้พ่ะย่ะค่ะ”

ประโยคหลังนั้นจงใจเอ่ยเพื่อล่อลวงไอศูรย์ด้วยคิดว่าจอมทัพอสุราผู้นี้น่าจะนิยมชมชอบด้วยอำนาจ หากแต่หารู้ไม่เลยว่าทุกครั้งที่เอื้อนเอ่ยว่า ‘ดองเป็นทองแผ่นเดียวกัน’ เขี้ยวของไอศูรย์ก็งอกยาวขึ้นเรื่อยๆ จนเกือบจะถึงหางตา

บัดซบนัก! ผู้ใดอยากจะดองกับพวกเจ้ากัน!

อันที่จริงคือไม่อยากให้โอรสองค์เล็กไปไกลหูไกลตามากกว่า ขณะที่วิรัลย์กลับเห็นดีด้วย

“เรื่องเป็นใหญ่กว่าแว่นแคว้นใดนั้น หาใช่เรื่องที่ข้าสนใจนัก ข้าสนใจเพียงสินทรัพย์ทางปัญญาของพวกเจ้า”

“หากเป็นดองกันแล้วไซร้ ไม่ว่าสิ่งใดกษัตริย์ของกระหม่อมก็ทรงยินดีถวายให้พ่ะย่ะค่ะ”

ราชทูตเปล่งเสียงตามที่ได้รับสั่งมา ก่อนจะต้องสะดุ้งโหยงเมื่อจู่ๆ ไอศูรย์ก็หมดสิ้นซึ่งความอดทน แผดเสียงขึ้นมา

“ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ไม่ยกลูกของข้าให้!”

ไม่เพียงแต่ราชทูตสราลีที่ตกใจอกสั่นขวัญแขวน เสนาอำมาตย์ของปรมะก็พากันหน้าซีดเผือดเช่นเดียวกัน

กษัตริย์ของพวกเขาอารมณ์ไม่ดีแล้ว อีกประเดี๋ยวคงจะได้เห็นองค์เทพประทับจอมทัพอสุราตนนี้ให้เต้นผาง

แต่กระนั้นก็มีอำมาตย์ใจกล้าผู้หนึ่งยกมือประนมที่หน้าอกเพื่อกราบทูล

“ทูลองค์ไอศูรย์ แต่การดองกับแคว้นสราลีเป็นการดีนะพ่ะย่ะค่ะ สราลีมั่งคั่งด้วยทรัพย์ในดิน อีกทั้งยังเป็นมหามิตรกับแว่นแคว้นทางตะวันตกมาเนิ่นนาน ความยิ่งใหญ่หาได้ยิ่งหย่อนไปกว่าปรมะเลยแม้แต่น้อย เป็นทองแผ่นเดียวกันก็ล้วนเป็นประโยชน์แก่ปรมะ ทรงไตร่ตรองก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม...”

“ข้าบอกว่าไม่ก็คือไม่! ลูกของข้า ข้าไม่ยกให้ผู้ใดทั้งนั้น!”

อับจนคำพูดกันทั้งท้องพระโรงโดยพลัน เหล่าเสนาอำมาตย์ชำเลืองมองไปทางวิรัลย์อย่างขอความช่วยเหลือ ขณะที่วิรัลย์พ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง เหลือบมองไอศูรย์อย่างเสียมิได้

“ไอศูรย์...ลูกเรานั้นก็ถึงเพลาสมควรแก่การมีคู่ครองแล้ว จะผิดแผกอะไรหากจะส่งไปให้ได้ดูตัว”

…ดูตัว ใช่แล้ว ที่ราชทูตกราบทูลมาทั้งหมดนั้นเป็นเพียงทูลขอให้ไอศูรย์ยินยอมส่งเจ้าศวรรย์ไปดูตัวกับองค์ยุพราชแห่งสราลีในกำหนดระยะเวลาสามเดือนเท่านั้น หาใช่ให้อภิเษกกันเป็นคู่ตุนาหงันแต่อย่างใดทั้งที่จริงแล้วอยากจะให้เป็นอย่างนั้น ทว่าก็ใช่ว่าสราลีจะไม่รู้ว่าจอมทัพอสุราผู้นี้หวงแหนลูกเพียงใด หากบุ่มบ่ามขอลูกมาเป็นเขยขวัญ มีหวังดินแดนได้พินาศย่อยยับไปกับตาเป็นแน่ จึงได้หยอดชักชวนเพียงเท่านี้ก่อน การต่อไปจะเป็นเช่นไร ค่อยวางแผนให้แยบยลอีกครา

“แต่น้องวิรัลย์ เจ้าเขี้ยวน้อยทั้งสองของพี่นั้นยังเล็กนัก”

เห็นพ่อขวัญตาไม่เข้าข้าง ไอศูรย์ก็ส่งเสียงโอด

“สิบแปดขวบปี หาได้เล็กแล้ว”

ไอศูรย์ถึงกับหรี่ตา ไม่แน่ใจว่าที่ยอดดวงใจบอกว่าไม่เล็กนั้นหมายถึงสิ่งใด วิรัลย์เห็นแววตานั้นก็รู้ทัน รีบโพล่งออกมาก่อนที่อีกฝ่ายจะคิดเป็นอื่น

“ตัวโตเป็นยักษ์ฉกรรจ์แล้ว ข้าหมายความเช่นนั้น”

ไอศูรย์ร้องอ๋อ ทำเอาวิรัลย์ถึงกับย่นคิ้ว

โง่งมจริงหรือแสร้งโง่กัน!

กระนั้น ไอศูรย์ก็ไม่ยอมอยู่ดี

“แต่พี่อยู่ไม่ได้หากไม่มีเจ้าเขี้ยวน้อยทั้งสองของพี่”

“ผู้ใดว่าต้องส่งไปทั้งคู่กันเล่า ทางสราลีร้องขอเพียงเจ้าศวรรย์เท่านั้น”

ก็เจ้าศวรรย์นั่นล่ะ แก้วตาดวงใจของเขาเลยนะ! ลูกคนเล็กเช่นนั้นจะยกให้ผู้ใดได้อย่างไรกัน!

“แต่เจ้าศวรรย์ช่างไร้เดียงสา...”

“หากเจ้าเป็นห่วงลูกในอุทรนักก็ลองคิดดูสิว่าเมื่อเจ้าตายไป เจ้าศวรรย์จะมีผู้ใดดูแล เป็นปึกแผ่นกับแคว้นสราลีก็หาได้แย่ อีกทั้งองค์ยุพราชของสราลีนั้นก็องอาจเข้มแข็ง หากทั้งสองมีจิตปฏิพัทธ์ต่อกัน เจ้าศวรรย์ก็จะได้มีผู้ดูแลตราบสิ้นอายุขัย ให้ลองไปดูจะไม่เป็นการดีกว่ารึ”

เรื่องเป็นปึกแผ่นกับแคว้นสราลีนั้น ไอศูรย์หาได้สนใจหรอก แต่ที่เงียบงันไปนั้นก็เพราะได้ยินว่าเมื่อเขาสิ้นไป เจ้าศวรรย์จะได้มีคนดูแล เขาก็อดไม่ได้ที่จะคล้อยตามขึ้นมา

แม้จะรักสุดดวงใจแค่ไหน แต่ก็มิอาจอยู่ยืนยงค้ำฟ้าเป็นเทวดาปกปักลูกรักได้ชั่วนิรันดร์...

ไอศูรย์ตระหนักได้ถึงข้อเท็จจริงนี้แล้ว พลันระบายลมหายใจออกมาราวกับจะศิโรราบ กระนั้นก็ไม่ยอมพ่ายแพ้

“แต่องค์ยุพราชแห่งสราลีเป็นยักษา เจ้าศวรรย์ก็เป็นยักษา ไยจะครองคู่กันได้”

“แล้วข้าเป็นยักษีหรือไร”

ถูกวิรัลย์ตอกหน้าคืนมาเช่นนี้ ไอศูรย์ก็พูดต่อไม่ออก ย่นปากมองยอดรักราวกับจะโอดครวญ ก่อนที่วิรัลย์จะถามขึ้นอีก

“ว่าอย่างไร เจ้าจะยินยอมให้เจ้าศวรรย์ไปดูตัวหรือไม่”

ดวงเนตรคู่สวยจ้องมองราวกับคาดคั้นเอาคำตอบ ถึงครานี้ ไม่ตกลงก็ต้องยอมแล้ว

“แค่ดูตัวใช่ไหม”

“อืม”

“หากเจ้าศวรรย์หาได้มีจิตปฏิพัทธ์ก็จะกลับคืนสู่อ้อมอกพี่ใช่ไหม”

“ใช่”

ไอศูรย์พ่นลมหายใจออกมาอีกครา

“ก็ได้ ไปก็ไป”

เหล่าเสนาอำมาตย์ถึงกับเก็บความดีใจกันไว้ไม่อยู่ ยิ้มร่าออกนอกหน้ากันพัลวัน ทำเอาไอศูรย์แยกเขี้ยวขู่

“ดีใจอะไรกันหนักหนา ประเดี๋ยวก็สั่งประหารล้างโคตร!”

เงียบกริบกันทั้งท้องพระโรงอีกครา มีเพียงวิรัลย์เท่านั้นที่กลั้วหัวเราะในลำคออย่างขบขัน

หวงราวกับเป็นทรัพย์ล้ำค่าเช่นนี้ พระอิศวรคงจะทรงปลาบปลื้มพระทัยยิ่งอย่างแน่นอนที่ไอศูรย์รักใคร่เทวดาที่ส่งมาอุบัติเป็นสองเขี้ยวน้อยเช่นนี้

คิดเช่นนั้นโดยหารู้ไม่ว่าสีหน้าของไอศูรย์นั้นดำมืดไปหลายส่วนราวกับถูกราหูอมไปเรียบร้อยแล้ว...

***

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel