4
“ฉลองอะไรกันคะ”
“วันเกิด...อยากน่ะครับ คุณรัลดื่มด้วยกันไหมครับ”
“ขอบคุณค่ะ แต่เผอิญว่าไม่ได้อยากเท่าไร อ้อ รบกวนว่าอย่ายิงปืนขึ้นฟ้าอีกเลยนะคะ เกิดไปโดนใครเข้าจะรับผิดชอบชีวิตเขาไม่ไหว” ดรัลรัตน์เดินกลับไปที่ท้ายรถ เปิดออกแล้วลากเอาเครือกล้วยลงมาวางข้าง ๆ ที “ของขวัญวันเกิด...อยากค่ะ มีความสุขมาก ๆ นะคะ สร้างประโยชน์บ้าง อย่าเอาแต่สร้างปัญหา” บอกจบเดินกลับขึ้นรถ ขับออกไปในเวลาต่อมา ทิ้งให้ชายเจ้าของชื่อ ‘ที’ ยืนงงอยู่เล็กน้อย แล้วชี้นิ้วไล่หลังไปด้วย
“หลอกด่าผมอีกแล้วนะอาเจ้”
ค่อยให้คนมาลากเอากล้วยไปวางให้เจ้าของวันเกิดตัวจริง ที่กำลังจะแวะมาพักที่นี่ในค่ำคืนนี้
จี๊ปเชอโรกีคันใหญ่สวนกับกระบะสีเขียวที่ตรงทางเข้าพอดี แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครให้ความสนใจใครทั้งนั้น คงเพราะจมกับความคิดของตัวเองด้วยกันทั้งคู่
ทันทีที่รถจี๊ปจอดลงเรียบร้อย ทีเห็นก็รีบวิ่งเหยาะ ๆ เข้ามาเปิดประตูให้ด้วยท่าทางเอาอกเอาใจ ก่อนจะทำท่าตะเบ๊ะทำความเคารพนายอย่างหยอกเย้า
“ฉลองอะไร” เสียงถามดังมาจากคนที่เพิ่งมาถึง
‘ที’ ผู้จัดการความเรียบร้อยของที่นี่ยิ้มกว้าง ตอบผู้เป็นเจ้าของอาณาบริเวณนี้ทั้งหมด ทั้งยังเป็นเจ้าของกิจการลานรับซื้อผลผลิตทางการเกษตร และแน่นอนว่าเป็นเจ้านายของตนอีกด้วย
“วันนี้ วันเกิดคุณใหญ่ยังไงล่ะครับ”
เจ้าของวันเกิดที่ถูกเอาชื่อไปแอบอ้างเพื่อจัดกินดื่มส่ายหัวน้อย ๆ ลูกน้องทั้งก๊วนหาเรื่องฉลอง กิน ดื่มกันได้ทุกวี่วัน แล้วเดินผ่านกลุ่มลูกน้องที่ขยับลุกมาต้อนรับ แต่เขาโบกมือว่าให้ถอยออกไป
ผู้จัดการตัวดีที่ชื่อที ขยับไปยืนขวางหน้าคนเป็นนาย บอกด้วยสภาพเมามายนิด ๆ “เพื่อนบ้านเอาของขวัญมาให้ด้วยนะครับคุณใหญ่”
ได้ยินอย่างนั้น ค่อยหันกลับมามองที ลูกน้องตัวดีผายมือไปทางกล้วยดิบเครือใหญ่ แววตาเจ้าของวันเกิดเข้มขึ้นนิดเดียว นึกได้ว่ามีรถกระบะขับสวนเขาตรงทางเข้าเมื่อกี้นี้
“เอาไปแบ่งกันกินไป”
บอกลูกน้องแล้ว เดินเลยไปทางด้านหลังของตัวบ้านในนาทีต่อมา
ดรัลรัตน์กลับบ้านมาแล้วก็ตรงเข้าไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย ถึงได้พบว่าเด็กชายสิปปภาสนั่งเล่นของเล่นอยู่ รถ หุ่นยนต์ในกล่องสมบัติของเจ้าตัว มีไม่มาก ถูกรื้อออกมาวางบนเบาะนอน ที่ใช้ตั้งแต่แรกเกิดยันวันนี้
พอเห็นเธอ พ่อตัวดีก็เรียกเสียงอ้อน “แม่รัลครับ”
ดรัลรัตน์พาตัวลงนั่งข้าง ๆ ขานรับ “อะไรครับ”
เด็กชายนั่งเงียบไปเดี๋ยวเดียว เงยหน้าขึ้นสบตากับเธอ ถามเสียงอ่อยว่า “สิปมีพ่อไหม”
ดรัลรัตน์มองแล้วส่งยิ้มน้อย ๆ กลับไป ไม่นึกโกรธ ไม่เคยคิดน้อยใจ ไม่เคืองเลยสักนิดกับคำถามแบบนี้ นี่คงมีเพื่อนหรือใครเอามาพูดให้คิดอีกล่ะสิ ถึงได้เอากลับมาถามเธอ
ขยับไปนั่งเบียด ลากเอาร่างกลมขึ้นมาบนตัก แล้วก้มลงหอมแก้มฟอดใหญ่ จะว่าไป พ่อตัวดีนี่เคยถามเรื่องพ่อมาแล้ว และเธอก็ตอบแบบนี้ทุกที
“มีสิลูก ทำไมจะไม่มีเล่า” แล้วเปลี่ยนเสียงตอบให้เข้มกว่าเดิม “ก็มีแม่รัลที่เป็นทั้งพ่อแล้วก็แม่แล้วนี่ไง ยังจะเอาใครอีกฮะเจ้าอ้วนสิป”
บอกจบก้มลงซุกจมูกกับพุงใหญ่ ๆ ของเด็กชาย
เรียกเสียงหัวเราะของเด็กชายให้ดังลั่นบ้านในนาทีต่อมา ดรัลรัตน์พาเด็กชายสิปปภาสเข้านอน แล้วก็ค่อยออกมาที่ด้านนอกอีกครั้ง เพื่อตรวจดูความเรียบร้อยของบ้าน ญาติผู้น้องเดินหน้าตาตื่นมาหา “พี่รัล”
ดรัลรัตน์ร้องเสียงเนือย “มีอะไรอีกล่ะ”
“ป้ารองหายไปไหนก็ไม่รู้จ้ะ”
“อีกแล้วหรือ” รำพึงด้วยอาการเป็นห่วงมากกว่าจะหงุดหงิด
แล้วเดินออกจากบ้าน ร้องหามารดาไปพลาง ไม่พบที่รอบ ๆ บ้าน ค่อยเดินตรงไปยังสวนด้านหลัง สาวเท้าเดินอย่างไว ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาเบา ๆ เมื่อเห็นท่านนั่งอยู่ตรงเก้าอี้ม้าหินอ่อนตัวเก่ามองตรงไปยังที่ข้าง ๆ กัน ตรงนั้นมีลำรางเล็กกั้นพื้นที่ทั้งสองแปลงเอาไว้เพียงเท่านั้น
ดรัลรัตน์เคยทำรั้วรอบขอบเขตไว้แล้ว แต่ก็พังไปตามกาลเวลา เห็นทีต้องเจียดเงินในบัญชีมาทำรั้วอีกรอบเสียแล้ว จะได้เป็นสัดส่วน เธอกับคนในบ้านไม่เข้าไปในที่ของเขาอยู่แล้ว แต่ในนั้นมีพวกคนงานสารพัดสัญชาติ กลัวจะหลุดเข้ามาทางนี้เสียมากกว่า
เรียกมารดาด้วยเสียงอ่อนอกอ่อนใจ “แม่ มืดค่ำแล้วนะ มานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้”
นางรังรองไม่ได้หันมองที่บุตรสาว แต่ถึงอย่างนั้นก็ร้องตอบไปว่า “แม่คุยกับเจ้าที่อยู่”
ถอนใจกับคำตอบของมารดา ใครไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ได้ยินแบบนี้เข้าคงคิดว่าแม่ของเธอป่วย แล้วก็คงกลัวกับคำตอบของแกเป็นแน่ ยิ้มแล้วเดินเข้าไปหา ปากก็ร้องถามไปพลางอย่างนึกขำ
“เจ้าที่ว่าไงบ้างล่ะรอบนี้”
เสียงตอบของนางรังรองสวนกลับมาทันที “เห็นว่าอยากได้เมีย”
ดรัลรัตน์ร้องเหอะใส่ ย้อนมารดาว่า “อยากได้เมียแล้วไง เป็นถึงเจ้าที่หาเองไม่ได้เรอะ เลยต้องมาบอกแม่งั้นหรือ”
นางรังรองไม่สนใจคำเหน็บแนมของเธอ กล่าวตอบกลับมา “แม่ว่าจะลองถามดู ว่าอย่างแม่นี่พอไหวไหม”
ได้คำตอบจากท่านแล้ว ตรงไปโอบไหล่ พาลุกขึ้นยืน “บอกให้มาเอารัลนี่มา”
แม่จับมือเธอแน่น แล้วหันไปถามอีกทาง “เอาไหมคะ ลูกสาวฉันขยันทำงานนะ แต่มันมีลูกติดคนหนึ่ง รับรองว่าได้ไปเป็นเมีย ก็กำไรเห็น ๆ เลยล่ะค่ะ” มารดาของเธอกล่าวจบ ดรัลรัตน์ก็ได้แต่ส่ายหัวเบา ๆ ที่ท่านคุยเป็นคุ้งเป็นแควตอบโต้กับลมฟ้าได้ถึงขนาดนี้ ก่อนจะเห็นจุดไฟสีแดงสว่างวาบขึ้นพร้อมกลิ่นบุหรี่จาง ๆ ตามมาด้วยเสียงทุ้ม ถามกลับว่า
“ลูกสาวสวยไหมครับ”
