บทที่9. ข่าวคราว
ไปรยาจ่ายค่าแท็กซี่ไปร้อยกว่าบาท เธอไม่กล้านั่งรถมาลงหน้าบ้านจึงลงรถแค่ปากซอยแล้วเดินเข้ามา
ปกติเธอไม่ใช่คนที่จะเสียเงินกับค่าแท็กซี่นักหรอกเว้นแต่กรณีพิเศษเช่นเมื่อเช้าเพราะเธอไม่รู้ว่าอยู่ส่วนไหนในกรุงเทพฯ
จากปากซอยเดินเข้าไปที่บ้านเช่าราวๆ ห้าสิบเมตรเป็นระยะทางที่เธอเดินประจำทำให้ไม่รู้สึกไกลนัก เธอทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนแล้วก็อดสั่นไหวในใจไม่ได้ ถ้าเกิดไม่มีคนมาช่วยเธอทันเวลา เธออาจกลายเป็นเหยื่อของคนใจมารก็ได้ แต่ทำไมคนที่มาช่วยเธอต้องเป็นคนที่เธอเหม็นหน้าด้วยก็ไม่รู้ ไปรยายกฝ่ามือขึ้นดูแล้วก็รู้สึกผิดเล็กๆ ที่ไปตบหน้าเขา จริงๆ เขาเป็นคนช่วยเธอแต่สิ่งที่เขาทำกลับทำให้เธอรู้สึกอับอายไม่แพ้กัน หญิงสาวถอนหายใจหนักๆ เหตุการณ์ครั้งคงทำให้เธอต้องทบทวนการทำงานพิเศษแบบนี้แล้ว หรือทางที่ดี มันควรเป็นงานแรกและงานสุดท้ายของเธอจะดีที่สุดเพื่อความปลอดภัยของเธอเอง
หญิงสาวออกจะแปลกใจที่หน้าบ้านมีรถเก๋งคันเล็กน่ารักและรถมอเตอร์ไซค์ของนริศจอดอยู่ เธอเดินเข้าไปในบ้านได้ยินเสียงพูดคุยของแม่
“ใครมาเหรอคะแม่” ไปรยาถามผู้เป็นแม่ที่นั่งอยู่ในที่โซฟาตัวเก่า เสียงทักของเธอทำให้สองหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงข้ามแม่หันมาแล้วยิ้มให้ ไปรยายกมือไหว้พี่ลอยที่นั่งอยู่ข้างเจฟฟ์
“มาแล้วเหรอ” เจฟฟ์ทักพร้อมรอยยิ้ม “เจ้าต๊ะออกไปซื้อขนมเดี๋ยวก็เข้ามาแล้วล่ะ”
“มานานแล้วเหรอคะ” ไปรยายิ้มทักทายแล้วไปนั่งข้างๆ แม่ มีคนอยู่บ้านเยอะๆ ก็ดีแม่จะได้ไม่ซักเธอเรื่องที่หายไปทั้งคืน
“สักพักแล้วละครับ” ลอยพูดขึ้น “ต้องขอโทษที่มาโดยไม่ได้บอกก่อน พอดีมันมีเรื่องกะทันหันมาขอความช่วยเหลือน่ะ”
“เรื่องอะไรคะ” ไปรยาหันไปมองหน้าแม่ที่ยิ้มน้อยๆ
“เจฟฟ์กับเพื่อนมาขออนุญาตแม่ เขาอยากให้หนูไปเป็นนางแบบถ่ายภาพจ๊ะ”
“นางแบบ” ไปรยาทำตาโต
“คืออย่างนี้นะ” ลอยตั้งต้นอธิบายอีกรอบ “มันเป็นโปรเจคถ่ายภาพของชมรมโฟโต้ที่ทำเป็นประจำทุกปี โดยเราจะวางคอนเซปของงานแล้วให้สมาชิกถ่ายภาพในโจทย์ที่ได้รับแล้วนำภาพเหล่านั้นมาคัดเลือกจัดเป็นงานนิทรรศการ ปีที่แล้วเราถ่ายภาพทิวทัศน์หน่ะแล้วเอารูปมาทำโปสการ์ดขายรายได้มอบให้มูลนิธิเด็กพิการ”
“แล้วคอนเซปปีนี้ล่ะคะ” ไปรยาถามอย่างสนใจ
“Doll”
“Doll? ตุ๊กตานะหรือคะ”
“ใช่”ลอยพยักหน้ารับ “ตุ๊กตา แต่เราจะใช้คนมานำเสนอ ที่นี่พวกเราไม่มีทุนไปจ้างนางแบบชื่อดังมาเป็นนางแบบในโปรเจคของเรา แล้วเจ้าเจฟฟ์มันเสนอชื่อน้องไป๋ พี่ก็เห็นว่าไป๋ก็เหมาะกับคอนเซปงานนี้”
“แล้วแม่ว่ายังไงละคะ” ไปรยาหันไปถามมารดา
“เจฟฟ์กับเพื่อนเอาแบบเสื้อผ้าที่วางไว้คราวๆ ที่จะใช้ในงานถ่ายแบบมาให้แม่ดู” คุณบุษบาเลื่อนเฟ้มภาพให้ลูกสาวดู
ไปรยาเลื่อนเฟ้มภาพดูชุดที่จะใส่เพื่อถ่ายภาพ “สวยจังเลยค่ะ เหมือนชุดเจ้าหญิงในเทพนิยายเลย”
“แม่ว่ามันไม่โป๊ก็ใช้ได้แล้วละ”
“แบบนี้ก็แสดงว่าโอเคแล้วใช่ไหมฮะ” เจฟฟ์พูดขึ้นอย่างดีใจ
“ถ้าแม่ไม่ว่าอะไรไป๋ก็ไม่มีปัญหาหรอกจ๊ะ แล้วจะถ่ายรูปเมื่อไหร่เหรอ”
“อีกราวๆ สองอาทิตย์ครับ ตอนนี้พวกน้องๆ ไปหาดูโลเกชั่นอยู่ถ้าได้สถานที่แน่นอนแล้วจะโทรบอกอีกหนนะ”
“ได้ค่ะ”
“ขนมมาแล้วจ้า อ้าว...ไป๋กลับมาแล้วเหรอ” นริศยิ้มกว้างอย่างดีใจแล้วรีบเดินเข้ามาหาไปรยา “เราเป็นห่วงแทบแย่แหน่ะ ปกติไม่เห็นไป๋ไปค้างที่อื่น”
โธ่! ไม่น่าพูดแบบนี้ออกมาเลย ไปรยานึกต่อว่าเพื่อนในใจแต่ก็ได้แค่ยิ้มแล้วมองไปที่ถุงพลาสติกที้นริศหิ้วเข้ามา “บัวลอยไข่หวานใช่ไหม เดี๋ยวไป๋เอาไปใส่ชามให้เองนะ”
“เราช่วยนะ”
นริศพูดแล้วไม่ยอมให้ไปรยาถือถุงเอง เขาเดินนำไปในครัวราวกับเป็นบ้านของตัวเองแล้วจัดแจงหยิบชามออกมาเพื่อใส่ขนมหวานโดยมีไปรยาค่อยช่วยแกะถุงอยู่ใกล้ๆ
“เมื่อคืนแม่ของไป๋โทรเข้ามือถือต๊ะตั้งหลายหน” นริศพูดขึ้นแล้วมองหน้าเพื่อนสาว “ไป๋ไปไหนมาทุกคนเป็นห่วง”
“ไป๋อ่านหนังสือที่บ้านเพื่อนแล้วเผลอหลับไปหนะ” เธอโกหกและพยายามหลบสายตา แต่นริศจับไหล่สองข้างของเธอไว้
“ถ้าไม่ใช่เรื่องงานไป๋ไม่ค่อยไปค้างที่อื่น แล้วปกติไป๋ก็ไม่ค่อยมีเพื่อนด้วย” นริศจ้องมองเพื่อค้นหาคำตอบ
ไปรยาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ข่มอารมณ์โกรธ “ไป๋ไม่มีเพื่อน ไป๋มันดูน่าสงสารมากนักหรือไงในสายตาของต๊ะ”
“ต๊ะไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”
“จะหมายความว่ายังไงไม่รู้ละ รู้แต่ว่าไป๋คิดไปแล้ว”
เธอโกรธจัดแล้วสะบัดหน้าจะเดินหนีแต่นริศกลับยึดข้อมือเธอไว้ก่อน ไปรยายกข้อมือขึ้นแล้วมองสลับไปที่ใบหน้าของเพื่อนสนิท “อย่าทำแบบนี้ไป๋ไม่ชอบ”
“ต๊ะเป็นห่วง ไป๋ไม่เคยรู้รึไงว่าต๊ะรู้สึกยังไงกับไป๋”
“ต๊ะจะคิดยังไงไป๋ไม่รู้หรอกแล้วไป๋ก็ไม่สนใจด้วย” ไปรยากระชากข้อมือกลับแต่นริศออกแรงนิดเดียวก็ดึงไปรยาเข้ามาใกล้ ดวงตาปวดร้าวของนริศทำให้ไปรยาลืมคำพูดที่จะต่อว่าเขาไปหมด
“มีอะไรให้ช่วยไหม” เจฟฟ์ถามก่อนที่จะเดินเข้ามา เสียงของเขาทำให้ไปรยาผละจากนริศอย่างรวดเร็ว
“เสร็จแล้วล่ะ เจฟฟ์มาช่วยยกออกไปหน่อยซิ เดี๋ยวไป๋จะยกน้ำออกไปเอง” ไปรยาหมุนตัวไปจะไปหยิบขวดน้ำแต่เจฟฟ์ห้ามไว้ก่อน
“น้ำข้างนอกยังไม่หมดขวดเลยไม่ต้องเอาไปหรอก” เจฟฟ์ยิ้ม “ไป๋ออกไปนั่งคุยกับพี่ลอยดีกว่าเผื่อพี่ลอยจะคุยอะไรเพิ่มเติม”
นริศมองแผ่นหลังของไปรยาที่เดินออกไปจากห้องครัวแล้วกำหมัดแน่นก่อนจะชกใส่ผนังห้อง แต่เจฟฟ์กลับคว้าข้อมือของเพื่อนไว้ทันก่อนที่มือจะกระแทกกับผนังปูน นริศตวัดสายตามองเพื่อนอย่างหงุดหงิด
“จะทำไปทำไมให้เจ็บตัวเปล่าๆ” เจฟฟ์เตือนสติเพื่อน “นายก็รู้ว่าเรารักไป๋มากแค่ไหนทำไมยังพาใครต่อใครมารู้จักไป๋อีก”
“พูดแบบนี้มันพาลหาเรื่องนี่หว่า” เจฟฟ์ปล่อยมือแล้วโคลงศีรษะไปมา “เรายกชามขนมออกไปเองดีกว่า นายอยู่สงบสติอารมณ์ที่นี่เถอะ”
เจฟฟ์ยกถาดขนมมาเสิร์ฟทุกคนที่โต๊ะไปรยากับพี่ลอยคุยกันสนุกสนาน โดยปกติไปรยาเป็นคนเข้ากับคนง่ายแต่เธอมักจะเลือกคบเพื่อนจึงดูเหมือนเธอไม่ค่อยมีเพื่อนนัก เจฟฟ์รู้สึกว่าบัวลอยเจ้าอร่อยกลับรสชาติแปลกไปอาจเป็นเพราะภาพที่เห็นเมื่อครู่ ทำไมเขาจะไม่เข้าใจความรู้สึกของนริศเล่าก็เพราะตัวเขาเองก็ตกอยู่ในบ่วงความรู้สึกนั้นเช่นเดียวกัน เพียงแต่สิ่งที่เขารู้สึกเป็นสิ่งที่บอกใครไม่ได้เท่านั้นเอง
คุณบุษบามองดูลูกสาวแล้วก็ยิ้ม เมื่อคืนนางเป็นกังวลมากแต่เมื่อรู้ว่าลูกสาวปลอดภัยก็โล่งอก คนเป็นแม่ไม่ว่าลูกจะอายุเท่าไหร่ลูกก็ยังเด็กในสายตาของแม่เสมอเสียงแตรรถมอเตอร์ไซค์ดังอยู่หน้าบ้าน ไปรยาทำท่าจะลุกออกไปดูแต่มารดาโบกมือห้ามไว้ก่อนแล้วเดินออกมาเอง
“เซ็นรับจดหมายด้วยครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
คุณบุษบาแปลกใจกับซองจดหมายสีน้ำตาลที่มาจากต่างประเทศ คราแรกเธอคิดว่ามันคงเป็นเอกสารเกี่ยวกับงานแปลที่เธอรับผิดชอบอยู่แต่เมื่อตราประทับและที่มาคือ ‘อิตาลี่’ มือของนางถึงกับสั่นระริก
“จดหมายจากแฟนคลับหรือคะแม่” ไปรยาถามมารดาที่เดินกลับเข้ามาในบ้านแล้ว
“อ่อ จ๊ะ” นางฝืนยิ้มออกมา “แม่เพลียๆ ขอไปนอนสักหน่อย ลูกก็อยู่คุยกับเพื่อนละกัน”
ไปรยาพยักหน้ารับ อย่างไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าของมารดา เธอกำลังสนใจฟังเรื่องราวสนุกๆ ของพี่ลอยเมื่อครั้งดรอปเรียนไปเป็นครูดอยอยู่ครึ่งปี คุณบุษบาเดินเข้ามาในห้องส่วนตัวแล้วลงกลอนเรียบร้อยก่อนจะแกะซองสีน้ำตาลออกอ่าน ความสามารถของนักแปลทำให้อ่านและทำความเข้าใจกระดาษหนึ่งหน้าเอสี่ได้อย่างรวดเร็ว สิ่งที่ทำให้เธออ่านทวนซ้ำไปซ้ำมาคือเงื่อนไขที่ทำให้นางมึนงง แต่ที่สำคัญกว่าคือข่าวการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของใครบางคน
“อะไรกัน นี่ นี่เขาตายแล้วเหรอ”
กริ๊งงงงงงงงงงงงง
คุณบุษบาสะดุ้งกับเสียงโทรศัพท์มือถือ นางรีบคว้ามารับสายทันทีแม้หัวใจจะยังไหวๆ หวิวๆ กับข่าวที่เพิ่งทราบ
“คงอ่านจดหมายเรียบร้อยแล้วนะครับ”
“อะไรหนะคะ”
“จดหมายในซองสีน้ำตาลที่ได้รับเมื่อครู่ อ่านเรียบร้อยแล้วใช่ไหมครับ”
“คุณ คุณเป็นใคร”
“ขอโทษที่ทำให้ตกใจนะครับ แต่ผมเกรงว่าถ้าจะอธิบายทางโทรศัพท์อาจทำให้ความเข้าใจของเราคลาดเคลื่อนได้ ฉะนั้นผมจึงต้องการนัดเจอคุณบุษบา พรภวิษย์เพื่อพูดคุยเรื่องเกี่ยวกับคุณโทนี ลินตันครับ”
คุณบุษบาหลับตาอย่างปวดร้าว ไม่ว่าจะพยายามหลีกหนีเรื่องพวกนี้เท่าไหร่แต่ก็เหมือน ‘เขา’ ยังคงอยู่ใกล้ๆ นางเสมอ “มันคงถึงเวลาที่ต้องเผชิญความจริงแล้วใช่ไหม” นางถามแต่เหมือนกับพูดกับตัวเองมากกว่า “พรุ่งนี้บ่ายได้ไหม ฉันต้องออกไปสำนักพิมพ์พอดี”
“ได้ครับ สถานที่แล้วแต่คุณบุษบาครับ”
คุณบุษบาระบุร้านอาหารที่อยู่ชานเมือง นางไม่ต้องการเจอคนรู้จักหรืออยู่ในสายตาคนพลุกพล่านและปลายสายก็ตอบรับอย่างไม่มีเงื่อนไข
“พรุ่งนี้เจอกัน”
“ครับ”
มือที่ถือโทรศัพท์ค่อยๆ ทิ้งตัวลงข้างลำตัวอย่างอ่อนแรงนางมองเอกสารในมือสลับกับมองรูปถ่ายบนโต๊ะที่เป็นรูปคู่ของเธอกับไปรยา-ลูกสาวคนเดียว นางรู้ดีกว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาลูกเก็บงำถามที่ปรารถนาคำตอบที่สุดไว้ในใจ นางยังจำได้ดีถึงทำเสียงสะอึกสะอื้นของลูกสาวที่ถามถึงเรื่องราวของบิดาตนเอง
‘พ่อหนูเป็นใครคะแม่ พ่อของหนูเป็นใคร’
เวลากว่ายี่สิบปีที่ผ่านมาแม้นางจะให้เหตุผลกับสิ่งที่ทำลงไปว่าเป็นการปกป้องลูกสาวคนเดียวแต่แท้จริงแล้ว นางรู้ดีแก่ใจว่านางบอบช้ำกับอดีตจนไม่อยากรับรู้อะไรอีก คงถึงเวลาแล้วที่ต้องเผชิญหน้ากับความจริงเสียที
ชายหนุ่มคลึงโทรศัพท์มือถือในมือตนเองเล่นหลังจากที่ปลายสายตัดสัญญาณไปนานแล้ว ฟรานเชสโก้มองผ่านรั้วเตี้ยๆ เข้าไปในบ้านเช่าหลังเล็กและซอมซอ เขาแอบขับรถตามไปรยากลับมาถึงบ้านด้วยเหตุผลที่ว่า เขาอยากรู้ว่าเธอเป็นอยู่ยังไง แต่ไม่ยอมรับว่าลึกๆ เขาห่วงใยเธอมากแค่ไหน ชายหนุ่มยกนิ้วโป้งขึ้นแตะที่ริมฝีปากแล้วเผลอหัวเราะในลำคอ เขาควรจะโกรธเธอแต่กลับรู้สึกว่าตัวเองถูกท้าทายด้วยแมวป่าตัวหนึ่ง
ฟรานเชสโก้สตาร์ทรถแล้วเคลื่อนออกไปเพื่อจัดการธุระที่ต้องสะสาง เพราะคาดว่าพรุ่งนี้เขาอาจต้องใช้เวลามากกว่าหนึ่งหรือสองชั่วโมงในการพูดคุยกับคุณบุษบา พรภวิษย์ ภรรยาลับๆ ของคุณโทนี่ ลินตัน!.
