ตอนที่1
“คุณ...เข้าไปไม่ได้นะคะ!”
ร่างระหงก้าวฉับๆ ใบหน้าเรียวขณะนี้ค่อนข้างบึ้งตึง ไม่ฟังเสียงที่คล้ายจะตกใจแกมโมโหดังมาอีก
“คุณคะคุณ ผู้จัดการท่านมีแขก...”
พนักงานสาวหน้าห้องผู้จัดการ ที่ลุกจากโต๊ะทำงานผวาวิ่งตามมา เพื่อเข้าสกัดหน้าหญิงสาวที่โผล่มาราวพายุสลาตัน เบรคแทบหัวทิ่มหัวตำ เมื่อร่างโปร่งก้าวฉับๆ หยุดกึกก่อนหมุนตัวกลับมาในนาทีเดียวกัน
ผมยาวสลวยปล่อยสยายเต็มแผ่นหลัง สะบัดตามแรงหมุนของตัวผู้เป็นเจ้าของ
“มีแขก?”
“ค่ะ”
“ไล่กลับ”
เสียงพูดเรียบเฉยทำเอาอีกฝ่ายตาโต ร่างโปร่งหมุนกลับ นาทีต่อมาประตูห้องทำงานผู้บริหารบริษัทก็ถูกผลักเข้าไปเอย่างแรง
คนที่นั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานตัวใหญ่ เอี้ยวคอมามองด้วยความตกใจ ทว่าชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนอาร์มแชร์เบื้องหลังโต๊ะทำงานไม้มะฮอกกานี หันหน้าออกประตูเพียงเลิกคิ้วเข้มโก่งตามรูปดวงตาคมสีน้ำตาลสนิมเหล็กขึ้นนิดๆ สีหน้าของเขาไร้วี่แววตกใจ หรือแม้แต่ประหลาดใจ
“วันนี้มาหาพี่ถึงที่นี่ได้ มีธุระอะไรด่วนหรือเปล่า”
เขาทักคนถือวิสาสะด้วยเสียงห้าวมีกังวานทุ้มรื่นหู
ร่างโปร่งเพรียวดูงามชดช้อยในชุดกางเกงขาลีบ กับเสื้อผ้าโพลีแอสเตอร์เข้ารูปจนเห็นชัดในส่วนโค้งเว้าของสรีระอิสตรี โดยเฉพาะเนินทรวงกลมกลึงตั้งชันที่กำลังขยับเขยื้อนขึ้นลงตามแรงหอบหายใจ
“ค่ะ มี”
คำตอบสั้นห้วนทำให้วาสพละสายตาจากความงามอย่างหนึ่งไม่มีสอง กลับมาพูดกับบุรุษวัยกลางคนที่เขากำลังพูดคุยอยู่ก่อนหญิงสาวจะปรากฏกาย
“เห็นทีเราคงต้องหารือกันต่อพรุ่งนี้แล้วล่ะคุณบรรยง”
“ครับ ไม่มีปัญหา ว่าแต่จะสักกี่โมงดี”
“ผมให้คุณนัดเวลามาก็แล้วกัน”
“งั้นสักสิบเอ็ดโมง ผมจะได้ถือโอกาสเลี้ยงกลางวันคุณวาสพสักมื้อ”
“ตกลง พรุ่งนี้สิบเอ็ดโมงพบกัน ผมต้องขอโทษที่ทำให้เสียเวลา”
วาสพปิดแฟ้มบนโต๊ะเลื่อนไปรวมกันไว้ทางหนึ่ง เมื่อประตูห้องปิดลงตามหลังผู้มาเจรจาติดต่อเรื่องธุรกิจ
ร่างสูงใหญ่เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ตามสบาย ขณะสายตาจับนิ่งๆ อยู่ที่ดวงหน้าเรียวงามนวลผ่องของหญิงสาวผู้บุกรุก
“สวัสดีพี่วา”
นิชกานต์ก้าวเข้าไปหยุดอยู่เบื้องหน้าโต๊ะแต่ยังไม่ยอมนั่ง วาสพเลิกคิ้วสูงทั้งสองข้าง หัวเราะเบาๆ แต่สีหน้าแววตาดูระวังระไว
“มาตั้งนานเพิ่งจะทักทายพี่ได้ มีอะไรติดคออยู่หรือไง”
“ถ้ามีอะไรติดคอก็เห็นจะเป็นพี่วานั่นแหละ”
“อะฮ้า! อย่าบอกพี่นะว่านิชเป็นยักษ์กินคน”
“ไม่ต้องมาชวนเฉไฉเลย ยังไงวันนี้นิชก็ต้องพูดกับพี่วาให้รู้เรื่อง”
“เอาล่ะ มีอะไรจะพูดกันให้รู้เรื่องก็ว่ามาได้เลยพี่พร้อมแล้วที่จะรับฟัง”
ยิ่งวาสพอารมณ์เย็นเท่าไหร่ นิชกานต์ก็ร้อนขึ้นเท่านั้น
“ว่าไง นิชมีเรื่องด่วนอะไร ไหน ลองว่าไปซิ”
“เรื่องด่วนของนิชเกี่ยวกับพี่วา”
“ชื่นใจ”
“พี่วา! นิชไม่ได้พูดเล่นนะ รู้มั้ยว่าเวลานี้ถ้านิชฆ่าคนได้โดยไม่ผิดกฎหมาย นิชฆ่าพี่วาไปแล้ว”
“กระหายเลือดจริงนะเรา เอ้า...นั่งลงก่อนพี่เมื่อยคอเต็มทีที่จะต้องนั่งแหงนคอตั้งบ่ามองนิชอยู่อย่างนี้”
“ไม่นั่ง! นิชจะพูดสองสามคำแล้วจะไป”
“ตามใจ”
วาสพมองหญิงสาวตรงหน้าเขาอย่างกำลังมองเด็กดื้อ นิชกานต์สบตาคมไม่หลบ เมื่อพูดเสียงเน้นหนัก
“นิชจะไม่แต่งงานกับพี่วา”
คำพูดที่โพล่งออกมาของนิชกานต์ทำให้ไหล่กว้างหนาเกร็งขึ้นนิดๆ แล้วกลับผ่อนสบายดังเดิม หากทว่าดวงตาคมล้อมกรอบด้วยขนตายาวดกหนานั้นกลับหรี่ลง
“หัวเด็ดตีนขาดนิชก็ไม่แต่ง! คอยดูนะ ถ้าแม่บังคับให้นิชแต่งงานกับพี่วา เหมือนที่บีบให้นิชรับหมั้นพี่วา นิชจะหนีไปให้ไกลสุดขอบโลก!”
วาสพยังเงียบ มือหนาได้รูปวางพาดบนโต๊ะ นิ้วยาวแกร่งเคาะเบาๆ กับผิวโต๊ะ
“นิชทนไม่ได้หรอก”
นิชกานต์ไม่พูดต่อให้จบว่าที่หล่อนทนไม่ได้นั้น ไม่ใช่ทนแต่งงานกับเขาไม่ได้ หากแต่ทนไม่ได้ที่ต้องแต่งงานกับคู่หมั้นที่กำลังจะแต่งงานกับหล่อนเพียงเพราะหล่อนเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ถูกใจพ่อแม่ญาติพี่น้องของเขา อยากให้สกุลวานิชบดีกับนาถวัฒน์กระชับเกลียวกันแน่นขึ้น
นิชกานต์กำลังจะพูดต่อ ว่าหล่อนทนไม่ได้ที่จะแต่งงานกับใครในตอนนี้ แต่ยังไม่ทันจะได้พูด เสียงห้าวขัดขึ้นเสียก่อน
“ทนไม่ได้ก็ไม่ต้องทน”
แรกทีเดียวคิดว่าหูเชือน กระทั่ง...
“ไม่อยากแต่งก็ไม่ต้องแต่ง”
ชายหนุ่มพูดซ้ำ ด้วยกังวานเสียงเรียบสนิท
เมื่อแน่ใจในประสิทธิภาพหูของตัวเอง นิชกานต์กลับฉุนขึ้นมาอีก
ตกลงเขาจะพูดง่ายๆ อย่างนี้เองหรือ?
“พี่วา...พูดว่าอะไรนะคะ?”
เถอะน่ะ ขอถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจว่าได้ยินไม่ผิด
“นิชน่าจะได้ยินชัดแล้วนะ ทำไมต้องให้พี่พูดซ้ำ”
ในริ้วรอยน้ำเสียงมีแววรำคาญนิดๆ
“หมายความว่า...”
ถึงนาทีนี้นิชกานต์ไม่ค่อยแน่ใจอะไรสักอย่าง
“หมายความว่าถ้านิชทนที่จะแต่งงานกับพี่ไม่ได้ก็ไม่ต้องแต่ง ก็เท่านั้น”
“เท่านั้น?”
นิชกานต์ทวนเสียงสูง เริ่มสับสน
“พี่วาจะไม่พูดง่ายไปหน่อยหรือคะ”
มีเสียงถอนใจ ตามด้วยเสียงถามเนือยๆ
“ตกลงนิชจะเอายังไงกับพี่ นิชมาขอยกเลิกงานแต่งพี่ยอมแล้วไง หรือว่านิชอยากได้ยินคำพูดแบบไหนจากพี่อีก”
