๖.๒ วันวานยังหวานอยู่
สายลมเอื่อยๆ ที่พัดพาเอาไอร้อนของแดดจ้าเข้ามาในช่วงกลางวันไม่ได้ทำให้นักเรียนจำนวนมากรู้สึกถึงความร้อนของมันสักเท่าไหร่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกจำนวนมากที่กำลังยืนจับกลุ่มอยู่หน้าหอประชุมต่างส่งเสียงคุยกันเซ็งแซ่เพื่อรอเวลาที่อาจารย์จะเรียก บ้างคุย บ้างฟังเพื่อนคุย เพราะนี่เป็นเสมือนกิจกรรมสุดท้ายที่ทุกคนจะได้ทำร่วมกันในโรงเรียนแห่งนี้ในฐานะนักเรียนมัธยม
ทุกคนทยอยเดินขึ้นหอประชุมเพื่อฟังปัจฉิมโอวาทจากคณาจารย์ที่ได้รับเชิญมาในงานวันนี้ นักเรียนทุกคนต่างใจฟังอย่างสงบ บ้างเริ่มที่จะน้ำตาซึมเมื่อหันไปมองหน้าเพื่อนที่อยู่ข้างๆ และรู้สึกใจหาย เมื่ออีกไม่กี่วันที่จะถึงทุกคนต้องแยกย้ายกันไปดำเนินชีวิตตามวิถีทางของตนเองและไม่รู้เมื่อไหร่จะได้หวนกลับมาพบเจอกันอีกครั้ง
ปริมาหันไปสบตากับฐิติพรที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ทั้งที่น้ำตายังคลอตา
“ปริมรักแก้มนะ”
“แก้มก็รักปริม” สองสาวโผกอดกันหลังจากที่พิธีการผ่านไป
ตอนนี้บนเวทีเป็นการร้องเพลงของวงดนตรีโรงเรียนเพื่อให้นักเรียนได้สนุกสนานร่วมกัน ปากกาเมจิกถูกละเลงลงบนเสื้อสีขาวด้วยข้อความต่างๆ ที่เพื่อนอยากสื่อถึงเพื่อน ปริมาไม่ทันสังเกตว่ามีใครคนหนึ่งกำลังมองมายังเธอจนกระทั่งเขาคนนั้นมายืนอยู่ใกล้ๆ และพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงห้าวทุ้ม
“ขอโทษครับ…”
หญิงสาวหันไปตามเสียงเรียกและต้องหันกลับมาทางฐิติพรอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าตอนนี้คนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เธอจะเป็นเขา ‘จีรวัฒน์’
“คะ?” คิ้วเรียวสวยเลิกขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย
“ผมจีครับ” เขาเอ่ยแนะนำตัวเอง เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้มีโอกาสได้คุยกับเธอหลังจากที่แอบมองเธอเงียบๆ มาเป็นเวลาแรมปี ผู้หญิงที่ดูเรียบๆ แต่มีเสน่ห์อย่างประหลาด จนเขาต้องแอบมองบ่อยๆ
“ชื่อปริมค่ะ” หญิงสาวแนะนำตัวเองเช่นกัน
“ดอกไม้นี่ผมให้ปริมนะครับ” เขายื่นดอกกุหลาบสีแดงดอกโตให้เธอ ขณะนั้นสายตาหลายๆ คู่มองมาพร้อมกับเสียงกรี๊ดกร๊าดเพราะไม่คิดว่าหนุ่มหล่อที่เป็นขวัญใจของใครหลายๆ จะยื่นดอกไม้ให้สาวโนเนมที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักอย่าง ปริมา
“เอ่อ…”
“รับไว้นะครับ…ไม่งั้นผมหน้าแตกแน่ๆ เลย…ปริมไม่เห็นเหรอ คนจ้องเพียบเลย” เขาพูดติดตลกพร้อมกับยกมือขึ้นลูบท้ายทอยตัวเองอย่างเขินๆ
“ก็ได้ค่ะ…ขอบคุณนะคะ” ปริมาเอื้อมมือไปรับกุหลบดอกสวยนั้นมาไว้ในมือ
“ปริมเป็นผู้หญิงที่น่ารักมากนะครับ” เขาชมออกมาตรงๆ เพราะอยากจะพูดคำนี้กับเธอนานแล้ว
“ปริมเนี่ยนะคะ?” หญิงสาวทำตาโตอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ครับ ผมอยากบอกตั้งนานแล้วแต่ไม่กล้า” เขายิ้มอย่างมีเสน่ห์ ทำให้ปริมาอดที่จะหัวเราะกับท่าทางน่ารักของเขาไม่ได้
“แล้วทำไมตอนนี้ถึงกล้าล่ะคะ”
“ก็ถ้าไม่บอกผมอาจจะไม่มีโอกาสแล้ว”
“ขอบคุณค่ะ จีเองก็น่ารักนะคะ ปริมก็แอบปลื้มจีเช่นกัน” ปริมาพูดออกมาด้วยความจริงใจ หากแต่เป็นเพียงความรู้สึกที่ชื่นชมใครคนหนึ่งเท่านั้น ไม่เหมือนความรู้สึกที่มีให้กับใครอีก
“ครับ...จริงเหรอ เสียดายเนอะ แหะๆ” หนุ่มนักดนตรีประจำโรงเรียนบอกอย่างเสียดายจริงๆ แต่เขาก็ดีใจที่อย่างน้อยวันนี้เขาก็ไม่หน้าแตกกลับไปอย่างที่คิด
เขายืนคุยกับเธอต่อได้สักพักหนึ่งก็ถูกเพื่อนๆ ห้องเขามาดึงตัวไป ฐิติพรปรี่เข้ามาหาปริมาทันทีที่คล้อยหลังจีรวัฒน์
“เป็นไปได้ไงอ่ะปริม” ฐิติพรถามอย่างตื่นเต้นแทนเพื่อน
“นั่นสิ ปริมก็งงๆ”
“หุบยิ้มได้แล้ว” เสียงทุ้มๆ ของรัชภูมิเอ่ยขัดขึ้นทันที โดยที่ทั้งปริมาและฐิติพรไม่ทันได้สังเกตว่าเขามาตั้งแต่เมื่อไหร่
ปริมาสะบัดหน้าหนีจากใบหน้าคมคายที่จ้องมองมายังเธอทันที พร้อมกับดึงแขนฐิติพรให้เลี่ยงไปด้วย
“ไปกันเถอะแก้ม”
ฐิติพรมีท่าทีงงๆ กับท่าทางของปริมาเธอสังเกตมาสักระยะหนึ่งแล้วว่าเพื่อนรักของเธอมีท่าทีที่หมางเมินกับรับภูมิโดยที่เธอเองก็ไม่รู้สาเหตุ
“เดี๋ยวก่อนสิปริม นี่เราจะพูดกันดีๆ ไม่ได้เลยเหรอ” เขาตัดพ้อ
“นายมีอะไรจะพูดกับเรา”
“มากมายหลายเรื่อง วันนี้ขอก้องไปส่งนะ” เขามองไปทางฐิติพรเชิงขออนุญาตอยู่ในที ฐิติพรพยักหน้าก่อนจะเดินเลี่ยงไปเพื่อเปิดโอกาสให้เพื่อนทั้งสองคนได้ปรับเข้าใจกัน
“นายมีอะไรก็ว่ามา” ปริมาเอ่ยถามขณะเดินไปนั่งที่ศาลาริมน้ำ ในสวนสาธารณะประจำจังหวัด โดยที่มีรัชภูมิเป็นคนพามาที่นี่หลังจากเลิกกิจกรรมปัจฉิมนิเทศแล้ว
“ทำไมหมางเมินจังปริม” รัชภูมิถามในสิ่งที่ค้างคาใจทันที
“แค่ไม่อยากเป็นตัวตลกให้ใครหัวเราะเยาะ”
“ก้องไม่เคยเห็นปริมเป็นตัวตลก” น้ำเสียงห้าวทุ้มพูดจริงจัง
“เราจะไม่เชื่อคำพูดของคนที่หน้าไหว้หลังหลอกอย่างนายอีกต่อไป” ปริมาพูดพร้อมกับเดินเฉี่ยวผ่านหน้าของเขาไปเตรียมจะเดินลงจากศาลาเพื่อหนีหน้าคนที่เธอไม่อยากเห็นในตอนนี้
“จะคิดอย่างนั้นก็ได้…แต่ปริมรู้ไว้นะว่าก้องชอบปริม” เขาพูดตามหลังทันทีอย่างไม่คิดจะปิดบังความรู้สึกของตัวเองอีกต่อไปแล้ว
เท้าที่กำลังก้าวย่างของปริมาหยุดชะงักไปในทันที ก่อนจะยืนนิ่งๆ อยู่กับที่ราวกับหูฝาด วันนี้เธอได้ยินผู้ชายสองคนมาสารภาพว่าชอบเธอในเวลาห่างกันไม่ถึงสองชั่วโมง คนแรกเป็นผู้ชายที่เธอแอบปลื้มมาตลอดแล้วไม่เคยคิดหวังว่าเขาจะชอบเธอตอบ แต่ทำไมเมื่อได้รับรู้ความรู้สึกว่าเขาก็ชอบเธอเช่นกัน เธอกลับไม่ได้รู้สึกยินดีมากสักเท่าไหร่ แต่ทำไมคำพูดประโยคที่เพิ่งได้ยินเมื่อสักครู่ของคนที่เป็นเหมือนคู่ปรับมาตลอดอย่างเขาถึงได้ทำหัวใจเธอเต้นแรงแบบนี้ ทำไมหัวใจดวงน้อยถึงรู้สึกเบ่งบานเมื่อได้ยินประโยคสั้นๆ นั้น…
“ที่ผ่านมาก้องแอบชอบปริมมาตลอด และมีความสุขทุกครั้งที่ได้เห็นปริมยิ้ม เห็นปริมหัวเราะ”
“ชอบมากจนคิดจะช่วยเพื่อนมาจีบปริมงั้นเหรอ”
“ปริม!! ได้ยินเหรอ เพราะอย่างนี้ใช่ไหมถึงแทบจะไม่มองหน้าก้องเลย”
“นี่เหรอที่บอกว่าชอบเรา”
“ก้องไม่ได้ตั้งใจนะ ที่พูดไปทั้งหมดก็เพราะไม่อยากให้ปริมรู้ กลัวปริมรู้แล้วจะทำตัวห่างเหิน” คำพูดทุกคำพร่างพรูออกมาเป็นสายน้ำ
“เชอะ!” ปริมาสะบัดหน้าใส่ แต่รัชภูมิกลับเห็นว่านั่นช่างเป็นภาพที่น่ารักที่สุด ปริมาคนเดิมของเขากลับมาแล้ว
“ที่โกรธนี่เพราะปริมก็ชอบก้องเหมือนกันใช่ไหม” เขาย้อนถามเอาดื้อๆ
“บ้า! ใครชอบนาย” ปริมาหน้าม้านอย่างเขินอายที่ถูกเขาตลบหลัง
“ใครบางคนแถวนี้แหละ”
“นี่!” เธอหันหลังให้เขาทันทีเพราะไม่กล้าสู้สายตาคมกริบที่จ้องมา รัชภูมิอ้อมข้างหน้าพร้อมกับเชยคางของเธอขึ้นช้าๆ ดวงตาคมลึกจึงลงไปในดวงตาคู่กลมโต พร้อมกับถ่ายทอดความรู้สึกมากมายผ่านลงไปในนั้น
“อีกนานกว่าจะได้พบกันอีก” เขาเปรยขึ้นในขณะไล้นิ้วเรียวยาวไปตามแนวขากรรไกรและเลยขึ้นไปที่แก้มนวลอย่างเบามือ
“นายว่าอะไรนะ” ปริมาถามอย่างไม่เข้าใจ
“ที่บ้านก้อง อยากให้ก้องไปเรียนต่อเมืองนอก”
“หา!” คนร่างบางตกใจกับข่าวที่เพิ่งได้รู้
“ก้องคิดว่าจะไม่ไป” เขาบอกอย่างตัดสินใจเด็ดขาด
“ไม่ได้นะ นั่นมันอนาคตของนาย”
“แต่ก้องไม่อยากไป คิดถึงใครบางคน เป็นห่วง ไม่อยากจากไปไหนไกลๆ ถ้าก้องไม่อยู่ใครจะดูแลปริม”
คำพูดมากมายของเขาทำให้ปริมาอดน้ำตาซึมไม่ได้ เพราะเพิ่งจะช๊อคกับข่าวที่เพิ่งได้รู้ ถึงปากจะบอกว่าอยากให้เขาไปเพื่ออนาคตแต่ก็อดใจหายไม่ได้เพียงแค่คิดว่าจะไม่ได้อยู่ผืนแผ่นดินเดียวกันแล้ว
“อย่าขี้แยสิ” เขาไล้มือมาปาดน้ำตาที่กลั่นออกมาไหลลงมาตามแก้มของเธออย่างอ่อนโยน
“ก้องต้องไปนะ” ปริมาพูดเสียงสั่นแต่ก็ยังพยายามยิ้มให้เขา
“ถ้าก้องไปแล้วจะรอก้องไหม”
“อยากให้ปริมรอเหรอ”
“อยากสิ อยากมากที่สุด” ใบหน้าคมก้มลงมาพร้อมกับกดจมูกลงบนแก้มนวลใสเป็นครั้งแรก ปริมามือเย็น หัวใจเต้นแรงแทบจะทะลุออกมานอกอก
“รอนะ” เขาเชยคางเธอขึ้นสบตาอีกครั้งพร้อมทั้งออดอ้อนดุจดั่งวอนขอสัญญา “ได้ไหมครับ”
“ค่ะ ปริมจะรอ” ประโยคนั้นแว่วดังออกมาและนั่นคือคำสัญญาที่เธอเก็บไว้ในหัวใจเสมอ….
…เธอบอกให้รอฉันก็รอเธอเรื่อยมา
เธอบอกให้รักฉันก็รักเธอเรื่อยมา
แล้วเธอเล่า ไฉนทิ้งคำนั้นไปอย่างไม่ไยดี…..
ปริมารอเขาเรื่อยมาแต่เขาเองที่เป็นฝ่ายโลเลเมื่อเจออติมาที่ต่างประเทศ จากความใกล้ชิดของคนทั้งสองก่อให้เกิดเป็นความรักครั้งใหม่จนเกิดอาการ ‘รักแท้แพ้ใกล้ชิด’ สุดท้ายเขาก็ปล่อยให้เธอรอคอยโดยไม่ติดต่อกลับมาหาเธออีก เพราะเขาขี้ขลาดเกินไปที่จะบอกความจริงกับปริมาว่าเขามีคนอื่นไปแล้ว
จากความสัมพันธ์ที่ไม่ตั้งใจครั้งนั้น กลับกลายเป็นสิ่งร้อยรัดผูกพันเขาและอติมาไว้จนรัชภูมิไม่อาจจะสลัดมันทิ้งได้ง่ายๆ ความรู้สึกผิดต่อผู้หญิงที่รักเกาะกินใจในครั้งแรกแล้วแต่มาก็กลายเป็นความเคยชิน โดยที่ปริมาไม่เคยรู้เลยว่าบัดนี้ผู้ชายที่เธอรอคอยได้เปลี่ยนไปแล้ว…เปลี่ยนไปโดยที่ปริมาไม่เคยรู้ตัวเลย เพราะเขายังคงทำทุกอย่างเป็นเหมือนปกติ และหลังจากที่เธอเรียนจบปริญญาตรี ข่าวคราวของเขาก็เริ่มห่างหายไป แต่เธอก็ยังรอ รอวันที่จะได้กลับมาพบกันอีกครั้ง วันที่เขาจะมาดูแลเธอเหมือนดั่งคำที่เขาเคยสัญญาไว้ก่อนจากกัน….
