บท
ตั้งค่า

๕.๓ รอยอดีต

เช้าวันเสาร์...

ปริมา ฐิติพร และรัชภูมิมาพร้อมกันที่บ้านของวิฑูรย์หรือตั้ม เพื่อทำโครงงานชิ้นใหญ่ของปีนี้ ซึ่งสมาชิกทั้งหมดในกลุ่มตกลงกันว่าจะทำวงจรแบบจำลองการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์มารดา

บ้านของวิฑูรย์เป็นบ้านสองชั้นอยู่ทางถนนรอบเมืองซึ่งไม่ไกลจากโรงเรียนมากนักทำให้หาง่าย วันนี้พ่อแม่ของวิฑูรย์ไปทำธุระนอกบ้าน ปล่อยให้เด็กๆ ทำงานกันตามลำพัง

วิฑูรย์กับรัชภูมิเป็นเพื่อนสนิทกัน เขามาที่บ้านวิฑูรย์บ่อยๆ จึงทำให้คุ้นเคยกับที่บ้านของวิฑูรย์เป็นอย่างดี อีกทั้งยังสนิทสนมกับผู้เป็นบิดามารดาของวิฑูรย์จนเรียกได้ว่าแทบจะเป็นลูกชายคนที่สองของบ้านหลังนี้ไปแล้ว

ทุกคนในกลุ่มเริ่มลงมือทำงานด้วยบรรยากาศที่เงียบสงบ รัชภูมิจึงเดินไปเลือกแผ่นเพลงก่อนจะใส่มันเข้าไปในเครื่องเล่นดีวีดีอย่างคล่องแคล่ว แล้วไม่กี่วินาทีต่อมาเสียงเพลงก็ดังขึ้นทำลายบรรยากาศที่เคยเงียบเชียบลงไปได้

เพลงที่รัชภูมิเปิดเป็นเพลงช้า ฟังดูโรแมนติก ซึ่งปริมาเองก็ชอบคล้ายๆ กับเขา เด็กหนุ่มเดินกลับมานั่งลงก่อนจะตั้งใจทำงานต่อไป ปริมาอดมองเขาอย่างทึ่งๆ ไม่ได้เพราะรัชภูมิมีการวางแผนงานแต่ละขั้นตอนได้อย่างดีและกระจายงานแต่ละส่วนให้กับเพื่อนๆ ช่วยทำ

ทุกคนในกลุ่มต่างตั้งใจทำงานและมีการพูดคุยปนสอดแทรกมุขตลกเฮฮาบ้างทำให้งานไม่เครียดและต่างพยายามใช้ฝีมือของตัวเองทำงานที่ถนัดจนทำให้โครงงานเป็นรูปเป็นร่างและรุดหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว

เมื่อใกล้เที่ยง...ทุกคนในกลุ่มลงความเห็นว่าจะหยุดพักเพื่อรับประทานอาหารก่อนโดยวิฑูรย์และฐิติพรอาสาออกไปซื้อกับข้าวข้างนอกโดยใช้รถมอเตอร์ไซด์เป็นยานพาหนะ ทิ้งให้ปริมาและรัชภูมิอยู่กันตามลำพัง

“เปล่า...” เขาตอบเรียบๆ แต่ยังไม่ละสายตาจากใบหน้าเนียนใส

“แล้วนายมองหน้าเราทำไมตั้งนานแล้ว” เธอถามเสียงดังอย่างพยายามกลบเกลื่อนอาการขัดเขินของตัวเอง

“ก็อยากมองให้เต็มตาสักวัน” เขาพูดเหมือนไม่คิดอะไรแต่น้ำเสียงจริงจังจนปริมารู้สึกแปลกๆ

“อ้อ…แสดงว่าทุกวันมองปริมไม่เต็มตาเหรอ”

“มองเต็มตาและเต็มหัวใจทุกวัน”

คำพูดนั้นที่ไม่ได้แฝงแววขี้เล่นเหมือนเช่นทุกครั้ง ทำเอาเด็กสาวเก้อๆ ทำอะไรไม่ถูกเพราะไม่เคยถูกใครจ้องตาแวววาวแบบนี้มาก่อน

“นายอย่ามาล้อเล่นกับปริมนะ ปริมไม่ใช่สาวๆ ของนาย ที่นายจะมาหยอดคำหวานใส่”

“ก็ใครว่าใช่ ยัยตัวเล็ก” รัชภูมิกลับมาพูดจาแบบที่ชอบล้อเธออีกครั้ง

“นี่นาย!” เธอเริ่มเสียงดัง ยกมือขึ้นทำท่าทาจะทุบเขา

“จ๋า…ก้องอยู่ใกล้แค่นี้ไม่ต้องเรียกเสียงดังก็ได้ครับ” ใบหน้าหล่อคมเปื้อนด้วยรอยยิ้มแล้วชะโงกหน้ามาใกล้ๆ อย่างจงใจแกล้ง จนปลายจมูกโด่งๆ ของเขาเกือบชนแก้มใสๆ ของเธอ ปริมาผงะหน้าหนีก่อนจะผลักเขาออกห่าง รัชภูมิได้แต่หัวเราะอย่างถูกใจ

“ทำไมนายชอบแกล้งเรานักนะ” เธอบ่นเขาอย่างจริงจัง

“ก็แกล้งปริมแล้วมีความสุข ก็เลยอยากแกล้งอยู่บ่อยๆ”

เขาพูดหน้าตาเฉยพร้อมกับจ้องลึกลงไปในดวงตากลมโตคู่สวย ตาคู่นี้คล้ายตากวาง สวยแต่เหมือนมีอะไรแฝงอยู่ลึกๆ ทำให้อยากจะเข้าไปค้นหา รัชภูมิรู้สึกว่าหัวใจตัวเองเบ่งบานทุกครั้งยามที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับเพื่อนสาวคนนี้

“ชิ!” เธอสะบัดหน้าหนีสายตาคมกริบของเขาเอาดื้อๆ

“ปริมจ๋า” เสียงเรียกหวานนั้นทำเอาปริมารู้สึกปั่นป่วนในช่องท้องขึ้นมาอีกครั้ง “ขอก้องมองหน้าหน่อยสิ คืนนี้จะได้ฝันถึง”

เสียงออดอ้อนดังอยู่ใกล้ๆ ฟังแล้วชวนวาบหวามจนขนลุกซู่ขึ้นมา แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ได้คิดที่จะล่วงเกินเธอ

“วันนี้นายกินยาผิดขวดหรือไง”

ปริมาหน้าแดงกับน้ำเสียงและท่าทางกะลิ้มกะเหลี่ยของเขา สาวน้อยแกล้งทำเป็นเสียงแข็งกลบเกลื่อนความอ่อนไหวที่กำลังเกิดขึ้นอย่างรุนแรงจนยากจะต่อต้านในตอนนี้

รัชภูมิมองจุดสีแดงที่ถูกแต้มขึ้นบนแก้มใสๆ ของเธออย่างพึงพอใจ หนุ่มน้อยริรักรู้สึกชอบนักหนาเวลาที่ปริมาเขินเพราะยิ่งน่ารักน่ามองกว่าเวลาที่เธอทำหน้าเฉยๆ เป็นไหนๆ

“เขินเหรอ”

“ใครเขิน”

“ก็คนบางคนแถวนนี้”

“ทำไมต้องเขินด้วย”

“แล้วทำไมต้องหน้าแดงล่ะครับ”

ประโยคสุดท้ายทำให้ปริมาอ้าปากค้าง ดวงตากลมโตเบิกกว้างอย่างตกใจเมื่อคิดว่าตัวเองเผลอแสดงพิรุธต่อหน้าเขามากขนาดนี้เลยหรือ

รัชภูมิมองภาพนั้นอย่างตกตะลึงไปชั่วขณะ ให้ตายสิ ทำไมน่ารักแบบนี้ ใบหน้าคมก้มลงมาต่ำพร้อมกับเตรียมฝังจมูกลงบนแก้มนวลใสของเธออย่างลืมตัว

“ทำอะไรกันอยู่” ฐิติพรส่งเสียงเรียกมาแต่ไกลก่อนที่จมูกโด่งจะชนกับ แก้มนวลใสทำให้ทั้งสองคนรีบผละไปอยู่กันคนละมุม

“ไปนานจังหิวจะแย่อยู่แล้ว” รัชภูมิแกล้งทำเป็นบ่น ส่วนปริมาเอาแต่เงียบด้วยกลัวว่าเพื่อนทั้งสองคนจะจับพิรุธบนสีหน้าของเธอได้

“ขอโทษด้วยจ้า ก็คนมันเยอะนี่นา” ฐิติพรพูดก่อนจะเดินไปหยิบจานในครัวมาเพื่อแกะอาหารใส่ ปริมาผละไปช่วยโดยที่ทั้งสองหนุ่มต่างแยกย้ายกันไปล้างมือ

ทั้งหมดมานั่งรับประทานอาหารเที่ยงรวมกัน โดยมีฐิติพรเจื้อยแจ้วเสียงอยู่เป็นหลัก เมื่อรับประทานอาหารกลางวันเสร็จแล้วทุกคนก็ช่วยกันทำงานต่อจนถึงบ่ายแก่ๆ แล้วจึงแยกย้ายกันกลับบ้าน

“ไปแล้วนะทุกคน” รัชภูมิเอ่ยลาเพื่อนๆ ก่อนจะแยกตัวกลับไป เขาส่งสายตามาหาปริมาเป็นพิเศษแต่ปริมาแสร้งทำเป็นไม่สนใจสายตาคมกริบของเขาที่ส่งมาทางเธอ

ส่วนวิฑูรย์เดินออกมาส่งเพื่อนสาวทั้งสองคนที่หน้าบ้านและรอจนกระทั่งเพื่อนขึ้นรถประจำทางที่ผ่านมาพอดีจึงเดินหันหลังกลับเข้าบ้านของตัวเอง

“บอกมาเดี๋ยวนี้เลย ตอนที่แก้มไม่อยู่นายก้องทำอะไรปริม” ฐิติพรคาดคั้นถามเพื่อนรักทันทีในขณะที่ทั้งคู่กำลังนั่งรถโดยสารกลับบ้าน

“เปล่าซะหน่อย” ปริมาปฏิเสธเสียงแข็ง

“เปล่า...แล้วทำไมเธอต้องหน้าแดงด้วย” ทุกสิ่งทุกอย่างไม่อาจรอดพ้นสายตาอันเฉียบแหลมช่างสังเกตของฐิติพรไปได้

“เขาก็แค่กินยาผิดขวด มาหวานใส่ปริม” เธอตอบอายๆ เมื่อเจอสายตาค้นคว้าของผู้เป็นเพื่อน

“แล้วก็เลยทำเอาปริมหน้าแดงแบบนี้ใช่ไหม”

“ก็...” ปริมาพูดไม่ออกเอาดื้อๆ

“ตกลงคู่นี้เป็นยังไงกันแน่ เราว่ามันชักจะยังไงๆ แล้วนะ” ฐิติพรตั้งข้อสังเกตพร้อมกับจ้องหน้าเพื่อนอย่างจับพิรุธ

“บ้าน่าแก้ม” ปริมารีบตัดบทอีกครั้ง

“จ้า แล้วแก้มจะคอยดูต่อไป” เธอพูดพร้อมกับหัวเราะเพื่อนสาวน้อยๆ แล้วส่งสายตาล้อเลียนมาที่ปริมาเป็นระยะ เด็กสาวได้แต่หลบตาด้วยความเอียงอาย

ท้องฟ้าในยามเช้าของเดือนสิงหาคมเช่นเช้านี้เต็มไปด้วยความมืดครึ้ม ฝนตกหนักเทกระหน่ำมาตั้งแต่เช้า แสงจากพระอาทิตย์ไม่มีโอกาสได้ส่องแสงสว่างตลอดทั้งวัน ตอนนี้ทั้งโรงเรียนเงียบกริบเนื่องจากอาจารย์ปล่อยนักเรียนห้องอื่นกลับเกือบหมดทุกห้องแล้วเนื่องจากสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย เหลือเพียงห้องของปริมาที่ยังไม่เลิกเรียนเพราะเป็นวิชาเคมีที่ตรงกับคาบที่ต้องทำการทดลองจึงต้องอยู่ทำต่อเนื่องจนเสร็จ

บรรยากาศช่วงห้าโมงเย็นมืดสนิทอย่างรวดเร็วราวกับเวลาตอนกลางคืนก็ไม่ปาน บ้านเรือนผู้คนรวมถึงต้นเสาต่างๆ สว่างไสวไปด้วยแสงไฟหลากหลายดวง

ปริมาและฐิติพรเดินออกมาที่หน้าโรงเรียนเพื่อขึ้นรถโดยสารกลับเหมือนเช่นทุกวันหลังจากเรียนเสร็จ แต่วันนี้รถโดยสารประจำทางไม่มีแม้แต่คันเดียวคงเป็นเพราะบรรยากาศที่มืดครึ้มทำให้คนขับรถเหล่านั้นเร่งรีบกลับบ้านก่อนเวลา

“ทำไงดีแก้ม” ปริมาหันมาทางฐิติพรอย่างปรึกษา สองสาวได้แต่หันรีหันขวางอย่างครุ่นคิดเพราะไม่รู้จะทำอย่างไรในสถานการณ์เช่นนี้

“นั่นสิ รถหายไปไหนหมดนะ” ฐิติพรบ่นปอดแปดตามแบบฉบับของเธอ

“ก็วันนี้ฝนตกไงเขาเลยรีบกลับ”

“ไม่คิดถึงนักเรียนตาดำๆ อย่างเราบ้างเลยหรือไงนะ ช่างไม่มีจรรยาบรรณเอาซะเลย” ฐิติพรอดที่จะพูดกระแทกคนขับรถเหล่านั้นไม่ได้

สองคนยืนกันอยู่ตามลำพังอย่างเคว้งคว้างอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี เพื่อนๆ คนอื่นต่างทยอยกันกลับหมดแล้ว บ้างก็มีผู้ปกครองมารับ บ้างก็ขับรถกลับกันเองเพราะบ้านอยู่ในเมือง แต่ทั้งสองคนโชคร้ายตรงที่บ้านอยู่ต่างอำเภอจึงประสบปัญหามากกว่าเพื่อนคนอื่นๆ ยามอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้

แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีปนอยู่บ้างเมื่อวิฑูรย์และรัชภูมิขับรถมอเตอร์ไซด์ผ่านมาพอดี

“จะกลับยังไงสองสาว” วิฑูรย์เอ่ยถามก่อนในขณะที่รัชภูมิก็จอดรถเช่นกันแต่ยังสตาร์ทเครื่องรออยู่ใกล้ๆ

“ไม่มีรถกลับเลย” ฐิติพรเป็นฝ่ายตอบ

“งั้นเดี๋ยวไปส่ง”

“ขอบใจจ๊ะ” ฐิติพรบอกก่อนจะก้าวขึ้นไปนั่งซ้อนท้ายรถของวิฑูรย์

“ก้องนายไปส่งปริมก็แล้วกันนะ” วิฑูรย์หันมาบอกก่อนจะออกรถไป

วิฑูรย์พาฐิติพรขับรถออกไปไกลแล้วแต่ปริมากลับยืนเก้อๆ อยู่

“ขึ้นรถสิ” รัชภูมิบอกด้วยน้ำเสียงทุ้มอ่อนโยน

“ขึ้นซ้อนท้ายรถนายเนี่ยเหรอ” สาวน้อยถามอย่างอึกอัก ทำอะไรไม่ถูก

“ครับ ซ้อนท้ายรถก้องสิ” รัชภูมิหัวเราะพร้อมกับมองหน้าปริมาที่ทำหน้ากระอักกระอ่วนด้วยดวงตาพร่าพราย สาวรุ่นเก้อเขินแทบทำอะไรไม่ถูกแต่ก็ตัดสินใจเดินอ้อมไปที่ท้ายรถ ก่อนจะค่อยๆ ก้าวขึ้นไปนั่งในท่าเฉียง หัวใจดวงน้อยเต้นแรงเมื่อลำแขนเรียวของตัวเองเบียดกับแผ่นหลังของเขาจนรู้สึกถึงไออุ่นจากเจ้าของแผ่นหลังนั้น

รัชภูมิเร่งคันสตาร์ทเครื่องขึ้นก่อนจะออกรถช้าๆ ไปตามถนนเส้นหลักมุ่งสู่เส้นทางที่จะไปบ้านของปริมา บ้านของปริมาอยู่ต่างอำเภอที่ไกลออกไปจากตัวเมืองประมาณยี่สิบกิโลเมตร รัชภูมิเคยมาทางนี้เขาจึงขับอย่างรู้ทาง หนุ่มน้อยขับรถไม่เร็วมากนักเพราะต้องการถ่วงเวลาให้ได้อยู่ใกล้เธอนานๆ

“ทำไมเงียบจัง” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นเมื่อคนที่นั่งอยู่ข้างหลังเอาแต่เงียบไม่พูดไม่จา

“เปล่าเงียบ ก็ไม่รู้จะพูดอะไร” ปริมาพูดออกมาเป็นครั้งแรกในรอบหลายนาที

“กำลังคิดว่า ถ้าเป็นนายจีมาส่งคงจะดีกว่าก้องใช่ไหม” อยู่ๆ รัชภูมิก็แขวะเอาดื้อๆ

“งั้นมั้ง” ปริมาประชดกลับเช่นกัน

คำพูดของเธอทำให้รัชภูมิแกล้งกระทืบเบรกรถเครื่องเต็มแรงจนรถหยุดกึกเป็นเหตุให้ร่างบางไถลเลื่อนเข้ามาใกล้เขามากขึ้น หญิงสาวรีบขยับตัวออกมาในระยะเท่าเดิมก่อนจะกระแทกเสียงใส่เขา

“นี่! แกล้งเราอีกแล้วใช่ไหม”

“เปล่าแกล้ง แต่คำพูดปริมมันขัดใจเรา” เขาพูดออกมาตรงๆ

“คนบ้า เอาแต่ใจ ไม่มีเหตุผล” สาวน้อยได้แต่ค้อนอยู่ข้างหลังเขา โดยที่รัชภูมิไม่มีโอกาสได้เห็น

“ก็เอาแต่ใจกับปริมคนเดียวนั่นแหละ”

คำพูดนั้นทำให้หัวใจดวงน้อยเต้นผิดปกติอีกครั้ง ช่วงนี้เธอมีอาการแบบนี้บ่อยยามอยู่ใกล้ๆ เขา

“ทำไมนายไม่ตามหาคนตามใจล่ะ”

“เจอแล้ว” เขาตอบกลับเกือบทันที

ปริมาอยากจะถามต่อว่าคนที่เขาบอกเจอแล้วนั้นเป็นใคร แต่ก็หยุดอยู่แค่นั้นเพราะกลัวคำตอบที่จะได้ยินนั่นเอง

รัชภูมิขับรถมาถึงบ้านของปริมาในอีกสี่สิบนาทีต่อมา พ่อและแม่ของปริมากำลังชะเง้อมองทางอย่างเป็นห่วงลูกสาว แล้วก็รู้สึกโล่งออกเมื่อเห็นปริมากลับบ้านมาอย่างปลอดภัย

“ขอบใจมากนะพ่อก้องที่มาส่งปริม” แม่พิมเอ่ยปากขอบคุณหลังจากรู้ชื่อเขาจากปริมา

“อย่าเกรงใจเลยครับแม่พิม ปริมเป็นเพื่อนยังไงผมก็ต้องดูแลให้ดีที่สุด”

รัชภูมิมีท่าทางเรียบร้อยและอ่อนน้อมถ่มตนกับผู้ใหญ่ ทำให้ผู้เป็นบิดามารดาของปริมาจึงรู้สึกเอ็นดูรัชภูมิตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น ผู้ใหญ่ทั้งสองกล่าวขอบใจรัชภูมิที่มีน้ำใจมาส่งปริมาให้ และนั่นเป็นครั้งแรกที่รัชภูมิได้มีโอกาสมาเห็นบ้านของปริมา

“ขับรถดีๆ นะ ขอบใจที่มาส่ง” เด็กสาวเอ่ยกำชับในขณะที่รัชภูมิกำลังจะขับรถกลับ

“เข้าบ้านได้แล้ว ก้องขับแป๊บเดียวก็ถึง”

“อย่าซิ่งแล้วกัน”

“เป็นห่วงก้องเหรอ” เขาถามด้วยสีหน้าที่ยิ้มกริ่ม

“ห่วงในฐานะเพื่อนย่ะ” ปริมาย่นจมูกใส่

“ครับ เพื่อนก็เพื่อน” คิ้วเข้มยกขึ้นยักให้เธอครั้งหนึ่งอย่างอารมณ์ดีก่อนจะรีบบึ่งรถกลับไปทางเดิม

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel