บทที่ ๗ :: ข่าวดี 2
“อยู่ที่นี่คนเดียวมันอันตรายนะครับ”
“ไอซ์คงไม่โชคร้ายถูกงูกัดหรือเจอผู้ร้ายเหมือนในละครหรอกค่ะ คุณทิวไปเถอะนะคะ...ไอซ์สัญญาว่าจะรอตรงนี้ ไม่หายไปไหนเด็ดขาดเลยค่ะ” ธีร์ธยาน์ส่ายหน้ายิ้มๆ เมื่อรู้ว่าคงไม่อาจล้มเลิกความตั้งใจของอีกฝ่ายได้แน่
“ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงครับ ผมจะกลับไปที่รีสอร์ทคนเดียว ส่วนคุณไอซ์ก็ต้องรออยู่ตรงนี้เท่านั้น ห้ามหายไปไหนเด็ดขาดเลยนะครับ”
“รับทราบค่ะ” ไอลดาหันมาสบตากับชายหนุ่ม พร้อมรับคำเสียงใส ก่อนจะหันกลับไปชื่นชมความงดงามของธรรมชาติต่อ รอยยิ้มสวยประดับอยู่บนใบหน้าตลอดเวลา และมันก็ทำให้ชายหนุ่มพลอยยิ้มไม่หุบตามเธอไปด้วยอีกคน
ธีร์ธยาน์เดินกลับไปที่เรือยนต์เพียงลำพัง และก้าวขึ้นไปนั่งประจำตำแหน่งคนขับ ชายหนุ่มบิดกุญแจเพื่อสตาร์ทเรื่องยนต์ หากแต่ก็ต้องชะงักมือลง เพราะจู่ๆก็เกิดรู้สึกเป็นห่วงไอลดาขึ้นมาอย่างประหลาด มีอะไรบางอย่างบอกว่าเขาไม่ควรทิ้งเธอเอาไว้ที่นี่
ระหว่างที่ธีร์ธยาน์กำลังตัดสินใจ ว่าควรกลับไปหาไอลดาที่ชะง่อนผา หรือมุ่งหน้ากลับไปเอาข้าวของที่รีสอร์ท ตามที่ตั้งใจเอาไว้ เสียงกรีดร้องก็ดังลั่นขึ้นเสียก่อน แน่นอนที่สุดว่าเจ้าของเสียงนั้น จะเป็นใครไปไม่ได้เด็ดขาด นอกจากผู้หญิงที่มากับเขา
“คุณไอซ์!” ชายหนุ่มตะโกนเสียงดัง รีบกระโดดลงจากเรือเพื่อวิ่งกลับไปหาหญิงสาว
เมื่อมาถึงชะง่อนผา ตรงที่เคยมีร่างบอบบางยืนยิ้มหวานอยู่ ธีร์ธยาน์ก็พบว่าเธอกำลังนั่งอยู่บนพื้นดิน มือบางกุมข้อเท้าเอาไว้แน่น พร้อมปล่อยหยาดน้ำตา ไหลรินรดแก้มนวลไม่ขาดสาย และเมื่อชายหนุ่มกวาดสายตามองห่างออกไปเล็กน้อย จึงได้รู้ว่าต้นเหตุที่ทำให้เธอหวาดกลัว คือตะขาบตัวเขื่องนั่นเอง
ธีร์ธยาน์เลิกให้ความสนใจกับเจ้าสัตว์ขาข้อลำตัวเป็นปล้อง ก่อนจะรีบตรงเข้าไปช้อนร่างบางขึ้น ไอลดาตวัดเรียวแขนขึ้นโอบรอบคอเขาไว้แน่น แต่เมื่อความเจ็บปวดแล่นขึ้นมาเป็นริ้วๆหนักกว่าเดิม เธอจึงต้องลดมือลงกุมข้อเท้าเอาไว้อีกครั้ง
“ไม่ต้องกลัวนะครับ แค่ตะขาบกัด ไม่เป็นอันตรายมากหรอก” ถึงแม้ปากจะบอกให้อีกฝ่ายคลายความกังวลลง แต่คนพูดเสียเองที่กลับกังวลมากขึ้นทุกขณะ ยิ่งเมื่อได้เห็นหยาดน้ำตาของคนในอ้อมแขน ธีร์ธยาน์ก็ยิ่งเร่งฝีเท้าเดินไปที่เรือให้เร็วขึ้น หลังจากนั้นก็รีบพาไอลดาขึ้นเรือ มุ่งหน้ากลับไปยังรีสอร์ทไอรักทันที
เสียงโทรศัพท์ที่ดังก้องขึ้นในช่วงเที่ยง ดึงให้หนุ่มหล่อรูปร่างกำยำยันกายขึ้นนั่งพิงหัวเตียง ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก ที่เขาต้องเผชิญกับอาการปวดศีรษะ หลังจากดื่มเหล้าจำนวนมากเข้าไป แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้เข็ดขยาด มีแต่จะต้องการมันมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อลบความเจ็บปวดในหัวใจ
ภพตะวันยังไม่คิดจะเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ ที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงนอนขึ้นมารับในตอนนี้ เพราะเขากำลังรู้สึกแย่มากเหลือเกิน นอกจากจะปวดร้าวศีรษะอย่างหนักแล้ว ยังรู้สึกเมื่อยเนื้อเมื่อยตัว จนแทบขยับเขยื้อนร่างกายไม่ไหวอีก
“หวาน! ขึ้นมาข้างบนหน่อย” ชายหนุ่มตะโกนเรียกสาวใช้ ด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง ซึ่งแน่นอนว่าเธอคงไม่มีทางได้ยินแน่ๆ นอกเสียจากว่าเขาจะเปิดประตูออกไปเรียก หรือไม่ก็ต่อโทรศัพท์ลงไปข้างล่างอย่างทุกครั้ง
ภพตะวันกำลังจะเอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์ ทว่าเสียงเคาะประตูกลับดังขัดขึ้นก่อน ตอนแรกเขาคิดว่าคนที่เข้ามาคงจะเป็นหวาน แต่สุดท้ายแล้วกลับไม่ใช่
“ตื่นได้แล้วเหรอตะวัน พ่อนึกว่าแกจะตื่นขึ้นมาอีกที ก็ตอนออกไปดื่มข้างนอกเสียอีก” คุณภาคภูมิเอ่ยกระทบบุตรชายด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเดินตรงเข้ามาหยุดยืนอยู่ข้างเตียงนอน ส่ายหน้าน้อยๆ เมื่อเห็นสภาพของอดีตนักบินหนุ่ม
“สภาพแบบนี้หนูไอซ์คงไม่อยากหมั้นกับแกหรอก” เมื่อเห็นอีกฝ่ายเมินหน้าหนีไม่พูดไม่จา คนเป็นพ่อก็เริ่มจุดชนวนขึ้นเองทันที
“คุณพ่อไม่ต้องมาซ้ำเติมความพ่ายแพ้ของผมหรอกครับ ผมรู้ตัวดีว่าคนอย่างผมมันไม่มีอะไรดีหรอก” ดูเหมือนคุณคุณภาคภูมิจะเอ่ยถูกจุดสำคัญเข้าพอดี ภพตะวันถึงได้รีบหันกลับมาจ้องหน้าเขา แล้วโต้กลับอย่างเยือกเย็น ไม่ได้เกี้ยวกราดเหมือนทุกครั้ง
“รู้มั้ยว่าคนอย่างแกน่ะ มีดีมากมายเลยล่ะตะวัน เพียงแต่บางครั้งยังมีความคิดเหมือนเด็กอยู่ ก็เลยทำให้ตัวเองกลายเป็นคนไร้ค่า” ผู้สูงวัยกว่ายังเท้าความไม่เลิก หากแต่ชายหนุ่มกลับเข้าใจว่า ตัวเองกำลังโดนดูถูกอย่างร้ายแรง
“เลิกพูดจากระทบกระเทียบผมได้แล้ว! คุณพ่ออยากจะด่าว่าอะไรก็เชิญพูดออกมาตรงๆเถอะครับ!” ภพตะวันแทบสติแตก เพราะไม่คิดว่าบิดาจะเข้ามาหาเขา เพื่อต่อว่าอย่างเป็นทางการแบบนี้
“พ่อไม่ได้อยากจะด่าว่าอะไรแกหรอก พ่อแค่เข้ามาเตือนสติ ให้รู้ว่าตัวแกเองยังมีหน้าที่อีกมากมายให้รับผิดชอบ ไหนจะเรื่องงาน แล้วไหนจะเรื่องพิธีหมั้นที่กำลังจะมีขึ้นในอีกสองวันนี้อีกล่ะ”
“จะพูดถึงงานหมั้นบ้าบออะไรนั่นอีกทำไมล่ะครับ คุณพ่อก็รู้นี่ว่ามันจบแล้ว...คนที่ผมรักหนีผมไปจนหมดแล้ว!” ภพตะวันสวนทันควัน รู้สึกหงุดหงิดจนแทบทนไม่ไหว เมื่อเห็นคุณภาคภูมิยังยิ้มกว้างอยู่
“แสดงว่าแกไม่อยากหมั้นแล้วใช่มั้ย พ่อจะได้โทรกลับไปบอกคุณธาดา...ว่าทุกอย่างเป็นอันยกเลิก อีกอย่างหนูไอซ์ก็จะได้กลับไปพักผ่อนต่อที่ต่างจังหวัดเหมือนเดิมด้วย” คำพูดประโยคสุดท้าย ทำเอาภพตะวันดีดตัวลุกขึ้นจากเตียงทันที ร่างสูงเซเล็กน้อย แต่ก็ยังพอประคองตัวเองให้ยืนนิ่งไหวอยู่บ้าง
“คุณพ่อพูดแบบนี้ หมายความว่าน้องไอซ์ยอมกลับมาแล้วใช่มั้ยครับ!” คุณภาคภูมิยักไหล่ เหมือนอย่างที่บุตรชายมักทำใส่เขา ก่อนจะเดินออกจากห้องไป โดยไม่คิดจะตอบคำถาม
ภพตะวันรีบคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาดู ก็พบว่ามีสายเรียกเข้าที่ไม่ได้รับจากนพนที หัวใจที่เต้นเนิบนาบเชื่องช้าอยู่ตลอดหลายวัน เต้นแรงจนแทบร่วงหล่นออกมากองบนพื้น เขาแทบลืมไปเสียสนิทเลย ว่าตัวเองกำลังปวดศีรษะและอ่อนเพลียอยู่ นิ้วมือเรียวยาวรีบกดเบอร์โทรกลับไปหาเพื่อนสนิททันที สุดท้ายแล้วข่าวดีที่กำลังรอคอย ก็ถูกยืนยันจากปากของนพนทีอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“ตกลงน้องไอซ์กลับมาที่บ้านแล้วจริงๆใช่มั้ยนที!” ภพตะวันถามซ้ำไปซ้ำมา จนอีกฝ่ายทอดถอนใจ
“เฮ้อ แกจะถามฉันแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่วะเพื่อน ฉันว่าแกเอาเวลาไปโมดิฟายด์ตัวเอง ให้มันดูเหมือนผู้เหมือนคนก่อนดีกว่ามั้ยเนี่ย” นพนทีแนะนำตามจริง เพราะช่วงหลายวันที่ผ่านมา ภพตะวันไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจากดื่มเหล้า ข้าวปลาก็ไม่ยอมแตะ พักผ่อนก็น้อยซ้ำยังผิดเวลาอีก ฉะนั้นสภาพของเขาจึงดูโทรมลงไปถนัดตา ขอบตาคล้ำลึกโหล หนวดเคราขึ้นเขียวครึ้มเสียจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม
“ฉันรู้น่าว่าควรทำยังไง ว่าแต่ตอนนี้น้องไอซ์อยู่ที่บ้านหรือเปล่า ฉันขอคุยด้วยหน่อยสิ”
“ไม่ได้หรอก!...เอ้อ ฉันหมายความว่าตอนนี้คงยังไม่ได้หรอก คือว่ายัยไอซ์ออกไปข้างนอกกับเพื่อนๆน่ะ อีกนานเลยกว่าจะกลับมาที่บ้าน” นพนทีจำเป็นต้องโกหก เพราะอลงกตจะยังไม่กลับมาที่บ้าน จนกว่าจะถึงเวลาที่ตกลงเอาไว้กับคุณธาดา ซึ่งนั่นก็คือช่วงหกโมงเย็น
“ออกไปกับเพื่อนเหรอ...นอกจากผึ้งแล้ว ฉันก็ไม่เห็นน้องไอซ์จะออกไปไหนมาไหนกับใครเลยนี่นา แน่ใจนะว่าแกไม่ได้ปิดบังอะไรฉันอยู่” ภพตะวันถามกลับ เมื่อจู่ๆเกิดสงสัยอะไรบางอย่างขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้จริงจังมากมายนัก
“แหม แกก็รู้นี่ว่าไอซ์กับผึ้งมีเรื่องเข้าใจผิดกันอยู่ มันเป็นธรรมดาแหละที่ยัยไอซ์จะออกไปไหนมาไหนกับเพื่อนคนอื่นๆบ้าง น้องฉันมีเพื่อนฝูงเยอะออก” เหตุผลของนพนทีฟังดูน่าเชื่อถือ เสียจนอีกฝ่ายเลิกติดใจสงสัย
“โอเคๆ หวังว่าแกคงไม่มีอะไรปิดบังฉันหรอกนะ...ถ้ารู้ทีหลังแกเจ็บหนักแน่นที” ภพตะวันขู่ทิ้งท้าย
“รู้แล้วเว้ย เพื่อนกันไม่มีอะไรต้องปิดบังกันหรอกน่า คิดมากไปได้...แค่นี้นะ ไว้เจอกันเพื่อน” นพนทีตอบรับส่งๆ ก่อนจะเป็นฝ่ายชิงวางสายโทรศัพท์ไป
ถึงแม้ว่าปากจะพูดกับภพตะวันไปแบบนั้น ทว่าในใจกลับหวาดกลัวขึ้นมาเหมือนกัน ว่าหากวันหนึ่งความจริงเปิดเผย ภพตะวันจะจัดการกับเขาแบบไหน แต่ถ้าลองคิดในแง่ดี เรื่องที่ความจริงจะถูกเปิดเผยนั้น คงไม่มีโอกาสได้เกิดขึ้น เพราะอลงกตจะมาแทนที่ไอลดา เพียงแค่ไม่นานเท่านั้น หลังจากพิธีหมั้นผ่านพ้นไป หรือไม่ก็หลังจากที่ไอลดายอมกลับบ้าน อลงกตก็จะต้องกลับไปอยู่ในความดูแลของคุณมุกดาตามเดิม
นพนทีสงสัยมาตลอดเหมือนกัน ว่าทำไมทุกคนถึงต้องยกน้องสาวของเขาให้กับป้าแท้ๆ อีกทั้งยังไม่ยอมติดต่อกัน อย่างที่ควรจะทำอีก แต่ในเมื่อความสงสัยนี้ไม่เคยได้รับคำตอบ ชายหนุ่มจึงต้องทำเป็นไม่ใส่ใจ ทั้งที่ลึกๆแล้ว เขาเองก็คิดถึงอลงกตอยู่เสมอ และไม่เคยลืมความน่ารักในวัยเด็กของเธอเลยแม้แต่วินาทีเดียว...
....................................................................................................................................................
