บทที่ 2. ความจำเป็น
“อย่าลืมเอากับข้าวที่ใส่ปิ่นโตไว้ไปฝากเตี่ยกับม้าด้วยนะต้นหลิว”
“จ้าไม่ลืม แหม.. ของฟรีใครๆ ก็ชอบ”
“ขอบใจนะต้นหลิว ที่มาช่วยขายของแล้วยังมาส่งปรางอีก” เฌอปรางยิ้มหวานให้เพื่อนรักหลังจากที่วันนี้ขายของหมดเร็วทำให้เธอกลับมาอาบน้ำแต่งตัวมางานเลี้ยงของรีสอร์ตทันเวลา และการมัววุ่นวายขายของก็ช่วยให้เธอคลายความเคร่งเครียดกับงานที่จะต้องทำในคืนนี้ไปชั่วคราว
“เป็นอะไรปรางหน้าเครียดเลยไม่อยากมางานเลี้ยงสุดอลังการหรอกหรือ” ต้นหลิวทักท้วงเมื่อเห็นสีหน้าของเธอ
“เปล่าหรอกแค่ห่วงแม่น่ะ”
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า หมอก็บอกไม่ใช่เหรอว่ามีพยาบาลดูแลตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ก็ปรางบอกเองว่าอีกไม่กี่วันแม่ปิ่นก็จะได้ผ่าตัดแล้ว อีกหน่อยแม่ปิ่นก็หายน่าหลิวจะช่วยดูให้นะ”
“จ้ะ งั้นปรางไปนะ กลับบ้านดีๆ ล่ะ อย่าเหลวไหล” เฌอปรางพยายามข่มความกังวลยิ้มให้เพื่อนรักแล้วเดินเข้าไปในรีสอร์ตด้วยฝีเท้าที่ค่อนข้างสั่นเล็กน้อย
เธอต้องนึกถึงแม่ให้มากๆ นะปราง แม่ต้องผ่าตัดด่วน เฌอปรางบอกตัวเองแล้วนึกถึงเหตุการณ์เมื่อสองปีก่อนหน้านี้
มีอยู่วันหนึ่งมารดาของเธอกำลังข้ามถนนหลังจากกลับจากตลาด ทันใดนั้นก็มีรถที่วิ่งมาด้วยความเร็วสูงพุ่งเข้าชนมารดาของเธอจนได้รับบาดเจ็บอาการค่อนข้างสาหัสและเสียเลือดมาก บังเอิญราเชนทร์เข้ามาพบเหตุการณ์เขาช่วยนำมารดาของเธอส่งโรงพยาบาลได้อย่างทันท่วงทีไม่เช่นนั้นมารดาของเธอคงเสียเลือดจนตายไปตั้งแต่วันนั้น และเขาก็ช่วยดูแลค่าใช้จ่ายในการรักษาทั้งหมดและยังตามเจ้าของรถคันนั้นซึ่งหนีไปทันทีหลังก่อเหตุมารับผิดได้ด้วย
ในตอนนั้นเฌอปรางรู้สึกชื่นชมราเชนทร์มาก ราเชนทร์เป็นชายหนุ่มรูปงามภูมิฐานสง่างามดูมีจิตใจดี หลังจากนั้นเขาก็มาเยี่ยมเธอกับมารดาบ่อยๆ จนมารดาของเธอหายดี เฌอปรางเห็นราเชนทร์เหมือนพี่ชายคนหนึ่งและทุกคนในครอบครัวของเธอก็ชอบเขา ความรู้สึกนั้นไม่ได้มากไปกว่าชื่นชมอย่างจริงใจและไม่ได้มีความรู้สึกแบบชายหญิงแอบแฝง
แต่ในวันนี้ไม่รู้ทำไมเฌอปรางถึงได้รู้สึกกระอักกระอ่วนใจ ความนิยมยินดีในตัวราเชนทร์ลดน้อยลงไปเรื่อยๆ กับข้อเสนอของเขา เธอไม่รู้ว่าเฌอปรางมีเหตุผลอะไรที่จะต้องทำแบบนี้ เพราะเรื่องส่วนตัวของเขาเธอก็ไม่รู้มากไปกว่า ราเชนทร์เป็นนักธุรกิจคนหนึ่ง แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาทำธุรกิจเกี่ยวกับอะไร แต่ตอนนี้เธออยากรู้เสียแล้ว...
“มาสายไปสองนาที” เสียงของคนที่กำลังนึกถึงดังขึ้นทำให้เฌอปรางรู้สึกเย็นเฉียบไปทั้งตัว
“คุ คุณราเชนทร์...”
“ทำไมทำเสียงตกใจแบบนั้นล่ะปราง ไม่ดีใจเหรอที่ได้พบฉัน เราไม่ได้เจอกันมาสี่เดือนเลยนะ”
ราเชนทร์มองสาวน้อยตรงหน้าที่มองเขาตาโตอย่างตระหนก ความจริงแล้วเขาชอบเฌอปรางเพราะเธอเป็นเด็กดีน่ารักและกตัญญู แต่ตอนนี้เขาต้องทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการที่สุด โดยไม่สนใจว่าใครจะเป็นคนดีมาจากไหน คนเรามันก็เห็นแก่ตัวกันทุกคนนั่นล่ะ...
“เอ่อ คือ ปรางขอโทษค่ะ” เฌอปรางตอบอ้อมแอ้ม หลบตาสายตาแปลกๆ ของเขา
“พรุ่งนี้แม่ของเธอจะได้เข้ารับการผ่าตัด และย้ายไปโรงพยาบาลที่ดีกว่านี้มีพยาบาลพิเศษคอยดูแลตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง”
“ค่ะ... ขอบคุณนะคะที่ช่วยเรื่องการผ่าตัดของแม่”
เฌอปรางกลั้นความขมขื่นลงไปอย่างรู้สึกอดสูใจเล็กน้อย ลำพังเงินที่ขายกับข้าวในตลาดก็คงไม่พอค่าผ่าตัด ไหนจะค่าเล่าเรียนของหลานๆ อีก ดีที่ว่าบ้านเป็นของตัวเองไม่ต้องเช่า มีพื้นที่นิดหน่อยให้ปลูกผักสวนครัวพอได้ลดต้นทุน
“นี่ชุดที่เธอจะต้องใส่ในคืนนี้ จำไว้ว่าเธอจะต้องสวยโดดเด่นที่สุดในงานคืนนี้” ราเชนทร์ยื่นถุงกระดาษใบใหญ่ลายสวยที่มีแบรนด์ชื่อดังอยู่บนถุงใบนั้น มันค่อนข้างหนักเลยทีเดียวเมื่อรับมาถือไว้
“ค่ะ”
“อย่าทำให้ฉันผิดหวัง เพราะมันคือชีวิตของแม่เธอ”
“ค่ะ” เฌอปรางได้แต่รับคำ ทั้งหนี้บุญคุณและค่าผ่าตัดมันค้ำคออยู่และเธอก็เสี่ยงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น...
“จำไว้ว่าเธอแค่ต้องสวยที่สุดในงาน” เสียงแหบห้าวย้ำตามหลังมาทำให้เธอต้องสูดลมหายใจลึกๆ เพื่อเรียกกำลังใจให้ตนเอง ขณะก้าวเดินไปยังห้องแต่งตัวที่พี่ลิลลี่นัดไว้
