
บทย่อ
ซีรีส์เล่ห์รักผู้กอง ประกอบด้วย 1. เล่ห์รักผู้กองเพลิง 2. ผู้กองปราบกำราบรัก ซึ่งหลังจากลงภาคแรกจบ นักอ่านสามารถอ่านภาค 2 ต่อได้เลย เพราะไรต์ลงเนื้อเรื่องต่อกันค่ะ ฝากผู้กองเพลิงและผู้กองปราบ สองหนุ่มสุดหล่อ พระเอกธงเขียวของไรต์ด้วยนะคะ ***** ตัวอย่าง “ผู้กองเพลิง” นายตำรวจหนุ่มแห่งหน่วยปฏิบัติการพิเศษได้เข้าจับกุมทลายแก๊งค้ามนุษย์ข้ามชาติ จนได้พบกับ “ณิชญารีย์” หรือ หนูนิด ที่กระโดดเอาตัวขวางหน้ารถระหว่างที่เขากำลังขับรถกลับบ้าน หญิงสาวอ้างตัวว่าไม่มีที่ไป ออกจากบ้านมาหางานทำแต่กลับไม่มีใครรับ ทั้งที่บ้านก็ยากจนข้นแค้น เมื่อได้ฟังเรื่องราวที่ถูกเธอปั้นแต่งผู้กองหนุ่มจึงรับเธอมาเลี้ยงต้อย เอ๊ย! เลี้ยงดูด้วยความจำใจ ทว่าความจริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะเธอคือลูกสาวของผู้บังคับบัญชาผู้เป็นนายของเขา เขาจะทำอย่างไรเมื่อหนูนิดคนนี้ทั้งเอาแต่ใจและดื้อรั้น แต่ก็มากไปด้วยความอ่อนหวานไร้เดียงสาที่พร้อมจะเขย่าหัวใจเขาตลอดเวลา ผู้กองหนุ่มจะตัดสินใจแบบไหน ระหว่างส่งคืนเธอให้ผู้เป็นพ่อ หรือ! เก็บเธอไว้ข้างกาย ***** ตัวอย่าง 2 ‘ผู้กองปราบ’ นายทหารหนุ่มแห่งหน่วยปราบปรามพิเศษได้ปฏิบัติภารกิจสืบหาตัวคนร้ายเกี่ยวกับคดีค้าไม้เถื่อนอย่างลับ ๆ จึงได้พบกับ ‘สามินี’ ครูสาวที่หวังมาใช้ชีวิตเรียบง่ายในชนบท แล้วก็มีเหตุให้เขาและเธอได้อยู่ด้วยกันระหว่างที่เขาสืบคดี ทุกอย่างเหมือนจะไปได้ดีหากไม่ติดว่านิสัยของครูสาวที่ใครหลายคนบอกว่าดีน่ารักนักน่ารักหนาแล้วล่ะก็เขาคงไม่ต้องปวดหัวแบบนี้ กับคนอื่นเธอดีแสนดีแต่กับเขาเธอกลับมีท่าทางพยศยิ่งกว่าม้าศึก ภายใต้ท่าทางเชื่อฟังแต่ความจริงกลับดื้อรั้น ดื้อเงียบ และชอบต่อต้านเขาของเธอนั้น ทำให้ผู้กองอย่างเขาต้องปาดเหงื่อไม้เว้นแต่ละวัน นั่นจึงเป็นเหตุให้ผู้กองหนุ่มต้องงัดทุกกลเม็ดเพื่อมาปราบและกำราบเธอโดยเฉพาะ ทว่าเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยเขาสามารถจับคนร้ายและปิดคดีได้ เรื่องก็สมควรจะจบ ทว่าความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะคดีความจบแต่คดีหัวใจกลับไม่จบ เขาจึงต้องทำทุกอย่างเพื่อกักขังเธอให้อยู่กับเขาตลอดไป
บทที่ 1 ภารกิจ
ปัง ปัง ปัง
เสียงปืนดังสนั่นอยู่ภายในโกดังเก็บสินค้าแนวตะเข็บชายแดนไทยพม่า โดยที่ฝั่งหนึ่งเป็นคนของทางการและอีกฝั่งเป็นผู้ร้าย ทั้งสองต่างสาดกระสุนเข้าห้ำหั่นกันทำให้ตอนนี้ภายในโกดังสินค้าอยู่ในช่วงโกลาหล
ฝั่งหนึ่งนำโดยผู้กองเพลิงและผู้กองปราบ สองเพื่อนรักต่างสังกัดแต่มีหน้าที่เดียวกัน นั่นคือเข้าปราบปรามโจรผู้ร้าย
ก่อนหน้านี้ทั้งสองได้รับข่าวจากสายข่าวที่แฝงตัวเข้ามาบอกว่า
ที่โกดังสินค้าร้างโกดังหนึ่งถูกซ่องสุมกำลังคน และมีการกักขังหน่วงเหนี่ยวทั้งยังมีการค้าขายมนุษย์ข้ามชาติ วันนี้ทั้งสองผู้กองจึงได้นำกำลังเข้าปราบปราม
ปัง ปัง ปัง
เสียงกระสุนยังดังต่อเนื่องต่างฝ่ายต่างสาดกระสุนใส่กันโดยไม่มีใครยอมใคร เพราะต่างคนก็ต่างก็มีหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายรวมถึงผ่านการฝึกทรหดทั้งสิ้น
ขณะที่ฝั่งทางราชการถูกฝึกมาเพื่อปราบปรามและตรวจความเรียบร้อยแนวตะเข็บชายแดน และอีกฝั่งล้วนเป็นนักรบเดนตายที่ถูกว่าจ้างให้เข้าร่วมเป็นกองกำลังค้ามนุษย์ข้ามชาติรายใหญ่ทางตอนเหนือของประเทศไทย
เมื่อมีโอกาสเผชิญหน้ากันทั้งสองฝ่ายจึงสาดกระสุนเข้าใส่กันโดยไม่มีใครกลัวใคร และไม่มีใครกลัวตาย ต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีมาก
“เร็วสิวะ รีบไป พวกมันตามมาแล้ว” เสียงของฝั่งผู้ร้ายคนที่เป็นหัวหน้ากองกำลัง เร่งสั่งลูกน้องของตัวเองหนีเอาตัวรอดตามช่องทางที่ได้ทำการบุกเบิกไว้ล่วงหน้า
“ไอ้ปราบแกไปทางนั้น ฉันจะไปทางนี้” ผู้กองเพลิงสั่งการเพื่อนตัวเองอย่างผู้กองปราบ เพราะทางฝั่งผู้ร้ายแบ่งแยกไปสองทาง ดังนั้นทั้งสองจึงต้องแบ่งกำลังกระจายกันออกไป
ปัง ปัง ปัง
“หลบ หลบ หลบ” ผู้กองเพลิงสั่งการลูกน้องเมื่อตามผู้ร้ายมาถึงทางเข้าก็มีเสียงปืนสาดกระสุนเข้ามาทุกทิศทาง
“มีคนเจ็บ มีคนเจ็บ” เสียงผู้ใต้บังคับบัญชาดังขึ้น ผู้กองหนุ่มหันไปมองก็พบว่าคนที่สู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันมาถูกยิงเข้าที่ท้องอย่างจัง
“พาคนเจ็บถอนกำลังออกไป”
“แล้วเราไม่ตามต่อแล้วเหรอครับผู้กอง”
“ไม่ต้อง! ถอยไปก่อน เพราะถ้าตามเราไม่รู้จะเป็นกับดักอีกหรือเปล่า วันนี้รักษาชีวิต วันหน้าค่อยกวาดล้างก็ยังไม่สาย”
ผู้กองหนุ่มหันไปตอบผู้ใต้บังคับบัญชา เนื่องจากตัวของผู้กองรักและให้เกียรติคนร่วมอาชีพเต็มที่ ดังนั้นหากหนทางข้างหน้าไม่สามารถคาดเดาความได้เปรียบได้ เขาจะเลือกถอยทันที เพื่อรักษาชีวิตเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาเอาไว้
“แต่ว่าถ้าเราปล่อยพวกมันให้รอดไปได้ ผู้กองอาจถูกเล่นงานได้นะครับ”
“ไม่เป็นไร ถอยก่อน ไป ไป ไป!” ไม่รอให้มีคำแย้งขึ้นมาอีก ผู้กองหนุ่มเร่งสั่งการลงไปทันที ไม่ช้าทั้งตัวผู้กองและเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหมดก็ถอนตัวออกจากเส้นทางที่ผู้ร้ายใช้หนีออกมาได้
ผู้กองหนุ่มหันไปมองเส้นทางที่เพิ่งถอนกำลังออกมาอีกครั้งด้วยสายตาหมายมาด พร้อมทั้งสัญญากับตัวเองว่าเขาจะต้องกวาดล้างพวกขายชาติกลุ่มนี้ให้ได้
“ไอ้เพลิง! ทางแกเป็นยังไงบ้างวะ” ชายหนุ่มหันไปตามเสียงก่อนจะพบว่าเพื่อนของตัวเองอย่างผู้กองปราบก็นำทีมถอนกำลังกลับมาเช่นกัน
“หนีไปได้ ทางข้างหน้าเป็นกับดัก ทางแกล่ะ” ผู้กองหนุ่มถามทั้ง ๆ ที่ภายในใจก็พอจะคาดเดาได้
“เหอะ! เหมือนกัน ฉันมีคนเจ็บสามคน เลยต้องรีบถอนกำลังกลับมา” ผู้กองปราบพูดด้วยความเจ็บใจ ที่ไม่สามารถจับกุมผู้ร้ายเอาไว้ได้
“ไม่เป็นไร วันนี้พวกมันหนีไปได้ แต่วันหน้าพวกมันไม่มีวันหนีพ้นแน่” ผู้กองเพลิงว่า พร้อมทั้งมองผู้กองปราบอย่างสื่อความหมาย
ผู้กองเพลิง หรือ ร้อยตำรวจเอกเพลิง พงศ์พิริยะ หน่วยปราบปรามพิเศษแห่งหน่วยเหยี่ยวดำ มีหน้าที่กวาดล้างองค์กรค้ามนุษย์ข้ามชาติและปราบปรามผู้ร้ายที่หลุดรอดเข้ามายังตะเข็บชายแดนโดยเฉพาะ
ส่วนผู้กองปราบ หรือร้อยเอกปราบดา จิตรดานนท์ เป็นหัวหน้ากองกำลังทหารหน่วยปราบปรามพิเศษของแนวตะเข็บชายแดน มีหน้าที่กวาดล้างและรักษาความสงบแนวตะเข็บชายแดนโดยเฉพาะ
ทั้งสองเป็นเพื่อนรักต่างสังกัด คนหนึ่งสังกัดตำรวจ อีกคนสังกัดทหาร ทว่าหน้าที่ของทั้งสองคนเหมือนกันและได้อยู่ในพื้นที่เดียวกัน ดังนั้นทั้งสองจึงทำงานด้วยกันบ่อย ๆ สุดท้ายก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกันในที่สุด
“ผู้กองครับทางนี้ครับ” หนึ่งในผู้ใต้บังคับบัญชาวิ่งเข้ามารายงานหลังจากที่ทำการเคลียร์พื้นที่และตรวจสอบโกดังเรียบร้อยแล้ว ทั้งผู้กองเพลิงและผู้กองปราบต่างเดินตามผู้ใต้บังคับบัญชาคนนั้นไปในขณะที่ปากก็ถามเรื่องราวไม่ได้ขาด
“มีอะไรทำไมถึงดูกระตือรือร้นแปลก ๆ”
“จากการที่ผู้กองสั่งให้พวกผมไปตรวจพื้นที่พวกเราก็เจอกับคนกลุ่มนี้ครับ” จบคำพูดของผู้ใต้บังคับบัญชา ผู้กองทั้งสองก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งรวมกันอยู่ในห้อง
ภาพที่เห็นคือ คนกลุ่มนี้ไม่มีใครที่มีสุขภาพดีเลยสักคน บางคนมีแผล บางคนพิการ มีทั้งเด็ก ผู้หญิงและคนชรา
“พวกคุณเป็นใคร ต้องการอะไร อย่าทำร้ายพวกเราเลยนะ”
หนึ่งในกลุ่มคนที่มีอายุเยอะที่สุดเอ่ยถาม พร้อมทั้งมองมาที่ฝั่งของผู้กองด้วยสายตาหวาดกลัว ขณะเดียวกันภายในสายตานั้นก็ยังมีความหวังซุกซ่อนไว้อยู่
“พวกเราเป็นตำรวจและทหารที่ได้รับรายงานว่าที่นี่คือแหล่งกบดานของพวกอาชญากรที่ทำการก่ออาชญากรรมค้ามนุษย์ข้ามชาติ จึงได้พากองกำลังเข้าปราบปราม” ผู้กองเพลิงตอบพร้อมทั้งมองคนที่อยู่ในห้องด้วยสายตาเห็นใจและสะท้อนในอก เพราะไม่คิดว่าคนที่ได้ชื่อว่าเป็นมนุษย์ด้วยกัน จะเลือดเย็นทำร้ายมนุษย์ด้วยกันเองได้ลงคอ
“จริงเหรอ พวกคุณไม่หลอกเราแน่นะ” คราวนี้เป็นเด็กผู้หญิงที่มีอายุราว ๆ สิบขวบเป็นคนถาม
“จริงสิ”
“แล้วทำไมไม่ใส่ชุดตำรวจหรือทหารอย่างที่พวกคุณบอกล่ะ” เด็กหญิงยังไม่วางใจ เธอจึงตั้งคำถามอีกครั้ง
“เพราะพวกเรามากวาดล้าง เพื่อไม่ให้ผู้ร้ายรู้ตัวเร็ว จึงได้ใส่ชุดปฏิบัติการของกองกำลังซึ่งเป็นสีดำ ไม่ได้ใส่ชุดที่บ่งบอกถึงยศหรือตำแหน่ง” เป็นผู้กองปราบที่เอ่ยอธิบาย
เมื่อคนภายในห้องได้ฟังก็รู้สึกโล่งใจ แต่ก็ยังไม่ได้เชื่อกลุ่มคนที่บอกว่าเป็นตำรวจและทหารมากนัก
“ผู้กอง! ผู้กองครับ! ทางนี้ครับ ผู้กอง!” หนึ่งในผู้ใต้บังคับบัญชาที่แยกตัวออกไปตรวจสอบพื้นที่อีกฝั่ง วิ่งเข้ามาตามนายเหนือหัวด้วยความร้อนรน
“มีอะไรจ่าแสน หรือว่าพบช่องทางการหลบหนีอีก” ผู้กองปราบเอ่ยถาม ในขณะที่สายตาก็มองด้วยความไม่พอใจ ที่ผู้ใต้บังคับบัญชาของตนไม่สามารถรักษาความนิ่งสงบอย่างที่ควรจะเป็นไว้ได้
“ไม่ใช่ครับ ผมว่าผู้กองทั้งสองไปดูด้วยตาตัวเองดีกว่า” จบคำพูดของจ่าแสน ผู้กองทั้งสองจึงได้เร่งรุดไปยังพื้นที่ที่ว่าทันที
ทว่าไปถึงใจแกร่งของชายชาติตำรวจและทหารอย่างผู้กองเพลิงและผู้กองปราบก็แทบทรุดลงทันที เพราะสิ่งที่เห็นคือเด็กบางคนถูกตัดแขนตัดขาให้พิการ นี่มันหนักกว่าห้องที่พวกเขาเพิ่งจากมาอีก
เพียงแต่ว่าทางห้องนี้ไม่ได้มีแค่คนไทย แต่ยังมีชาวต่างชาติรวมถึงชนกลุ่มน้อยปะปนอยู่ด้วย คนทั้งหมดอยู่ในสภาพที่เรียกว่าดีไม่ได้เลย
“สาบานเลยว่าฉันจะกวาดล้างพวกคนขายชาติพวกนี้ให้หมด”
ผู้กองปราบว่า มือทั้งสองข้างกำเข้าหากันแน่น
ในขณะที่ผู้กองเพลิงไม่ได้พูดอะไร มีเพียงสายตาที่แข็งกร้าวและแดงก่ำเพราะความโกรธที่ไม่สามารถจับกุมอาชญากรเอาไว้ได้
เมื่อตั้งสติได้จึงได้สั่งให้อพยพกลุ่มคนที่ตกอยู่ในชะตากรรมอันโหดร้ายออกจากพื้นที่ ก่อนที่จะทำการเคลียร์พื้นที่ครั้งใหญ่ เรียกได้ว่าโกดังร้างนี้จะไม่สามารถซ่องสุมกำลังคนหรือไว้สำหรับกระทำความชั่วได้อีก
