บทที่1. พายุทราย
พายุทรายโหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่งราวกับจะกลืนกินทุกชีวิตในห้วงทะเลทรายแห่งนี้ ทว่าพายุทรายที่รุนแรงไม่อาจกลบเสียงปืนที่ดังขึ้นหลายนัด เสียงเอะอะโวยวายจากผู้คนที่เผชิญชะตากรรมที่มิอาจคาดฝันแต่กระนั้นกลิ่นคาวเลือดกลับไม่เจือจางไปกับลมพายุ
ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งสะดุ้งเฮือกเมื่อกระสุนนัดหนึ่งแหวกอากาศเข้าฝังในร่างของเขาถึงสามนัด! ก่อนสติสุดท้ายจะหายไปเขาจำได้เพียงร่างของตนเองทรุดลงในพื้นทราย
“พระเจ้า อย่าเพิ่งพรากลมหายใจข้าไปตอนนี้” ชายหนุ่มพึมพำ ดวงตาสีควันบุหรี่กำลังจะปิดสนิทเพราะทนความเจ็บปวดไม่ไหว
“ข้าไม่กลัวความตายเลยแม้แต่น้อย แต่ประชาชนของเรา”
ชายหนุ่มสำลักลิ่มเลือดจนไม่อาจฟื้นกายให้ลุกขึ้นขึ้น ทว่าในพายุฝุ่นทรายอันบ้าคลั่งเขามองเห็นดวงตาสีฟ้าสดใสใต้ผ้าคลุมหน้าสีดำก้าวเท้าเข้ามาใกล้ เขาเผลอคิดไปว่า...นั่นเป็นมัจจุราชผู้นำพาดวงวิญญาณของเขา
‘ช่างเป็นมัจจุราชที่มีดวงตางดงามเหลือเกิน’ เขาได้บอกกับตนเองก่อนที่จะโลกของตนจะถูกความดำมืดเข้าครอบงำ
“หลังพายุใหญ่ท้องฟ้ามักงดงามเสมอ”
หญิงสาวพึมพำเมื่อมองไปนอกหน้าต่าง เธอเองก็ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าหลังจากผ่านพายุทรายมาได้สี่วัน หมู่บ้านเล็กๆ ชายแดนประเทศบาฮาเนียก็เริ่มกลับสู่สภาวะปกติราวกับไม่เคยเกิดสิ่งใดร่างเพรียวลมลุกขึ้นบิดตัวไปมาไล่ความเมื่อยขบหลังจากนั่งทำงานจนสว่างไม่รู้ตัว เธอวางมือจากกองเอกสารตรงหน้าแล้วก้าวเท้ามาตามทางเดินเพื่อมาอีกห้องหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก บ้านของตระกูลอัลเนฮัลไม่ใหญ่โตหรูหราแตกต่างจากเศรษฐีคนอื่นๆ แต่ก็สุขสบายไม่น้อยและเป็นที่พอใจของหญิงสาวเป็นอย่างยิ่ง
“คิดถูกจริงๆ ที่มาพักที่นี่ตามที่พี่ราเฟย์แนะนำ” เธอบอกกับตัวเองขณะที่ผลักบานประตูเข้าไปในห้องนอนที่มีร่างชายหนุ่มร่างสูงใหญ่นอนไม่ได้สติอยู่
“คุณจัสมินมาพอดีเลย” ไนราทักด้วยรอยยิ้ม หญิงสาวอายุเพียงสิบเก้าปีรูปร่างเล็กและผิวสีน้ำผึ้งตามแบบฉบับสาวบาฮาเนียนแท้ๆ เธอวางมือจากการจัดดอกไม้ในห้องคนป่วยแล้วถลาเข้ามาหาหญิงสาวผู้เข้ามาใหม่
“ขอโทษนะไนรา ฉันทำงานเพลินจนลืมมาช่วยเธอเลย” จัสมินกล่าวแล้วยิ้มขอโทษจากใจ แต่ไนราส่ายหน้าไปมาจนผมเปียยาวๆ สะบัดไปมา
“ไม่เป็นไรค่ะ ไนราเข้าใจ ว่าแต่คุณจัสมินได้นอนหรือยังคะ” ไนราถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายส่ายหน้าเป็นการตอบรับก็รีบอาสาขึ้นมา “เช้าๆ อย่างนี้รับนมสดดีกว่าไหมคะ จะได้สดชื่น ดื่มสักแก้วแล้วคุณจัสมินก็ไปพักดีกว่า”
“แต่...”
“ไม่มีแต่ค่ะ รอเดี๋ยวนะคะ” ไนรายิ้มกว้างแล้วกึ่งวิ่งกึ่งเดินออกไป
จัสมิน หรือ จัสมิน บิน อัจฟาห์ องค์หญิงแห่งบาฮาเนีย ยิ้มให้กับความไร้เดียงสาของเด็กสาวผู้เป็นลูกสาวคนเล็กของเจ้าบ้านที่เธอพักอาศัยอยู่ได้สองสัปดาห์แล้ว อีกราวๆ สามเดือนข้างหน้าจะมีพิธีอภิเษกสมรสขององค์รัชทายาทราเฟย์ บิน อัจฟาห์และจะมีพิธีสถาปนาแต่งตั้งเป็นองค์กษัตริย์แห่งบาฮาเนียดินแดนที่โอบล้อมด้วยทะเลทราย ทุกคนในวังต่างมีงานล้นมือแต่ดูเหมือนคนที่สนุกสนานที่สุดน่าจะเป็นเสด็จพ่อมากว่าว่าที่เจ้าบ่าวด้วยซ้ำไป ส่วนว่าที่เจ้าสาวช่างเป็นคนสมถะและเรียบง่ายแม้ว่าตอนนี้จะอุ้มท้องลูกคนแรกแต่กลับดูเปล่งปลั่งอย่างยากจะอธิบาย จัสมินเผลอหัวเราะน้อยๆ ออกมาเมื่อนึกถึงเรื่องราวความรักที่กว่าจะลงตัวของพี่ชายและเพื่อนสาวชาวไทยนามอารยา กว่าความรักจะลงตัวก็เกือบจะสูญเสียคนรักไปแล้ว
“เมื่อไหร่ฉันจะมีคนรักบ้างนะ” จัสมินบอกกับตัวเองพลางเดินมานั่งบนเตียงนอนที่มีร่างสูงใหญ่สลบอยู่นานสี่วันแล้ว
เมื่อสี่วันที่แล้วขณะที่เดินทางกลับจากหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง แต่ก็ต้องเผชิญพายุทะเลทรายเข้า เธอและผู้ร่วมเดินทางตั้งใจจะหลบพายุทรายที่โอเอซิสแต่กลับกลายเป็นว่าเจอการต่อสู้จากกลุ่มใดไม่อาจไม่รู้ได้ เสียงกระสุนราวกับห่าฝนทำให้เธอตกตะลึงแทบทำอะไรไม่ถูก ดีที่ว่ามีบอร์ดี้การ์ดมือดีคอยคุ้มกันทำให้รอดปลอดภัย แต่ก็สุดกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่นอนจมกองเลือดและบาดแผลของเขาฉกรรจ์จนไม่คิดว่าจะมีชีวิตรอด
“ช่วยเขาเถอะกีวอน อย่าปล่อยให้เขาตายโดยที่เราไม่ได้ลงมือช่วยอะไรเลย”
