บท
ตั้งค่า

ตอนที่3

ในห้องรับประทานอาหารของวังสิขเรศเดิม ค่อนข้างเงียบ ทั้งที่ปกติก็ไม่เคยอึกทึกครึกโครม แม้กระทั่งสองเสียงที่เคยจ๋อยๆ ค่ำนี้ พากันนิ่งเงียบไปหมด

โต๊ะอาหารขนาดแปดที่นั่ง ปกติมีคนนั่งประจำอยู่หกคนด้วยกัน วันนี้เหลือเพียงห้า สมาชิกคนหนึ่งได้ขออนุญาตมารดาไปงานวันเกิดเพื่อน

เป็นที่น่าสังเกต สีหน้าแต่ละคน ที่กำลังตักอาหารเข้าปาก คล้ายจะไม่รู้รสอาหารที่แม่ครัวปรุงสุดฝีมือ

เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง รายการอาหารคาวสิ้นสุดลง สาวใช้ที่ยืนหลบอยู่หลังประตูห้องแพนทรี ถูกเรียกให้เสิร์ฟของหวาน และผลไม้เป็นลำดับ

เวลาของการรับประทานอาหารค่ำจบลง เมื่อประมุขของบ้านที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ เลื่อนถ้วยของหวาน พร่องไปไม่มากนัก ออกห่างตัว สักพัก จึงพูดขึ้น

“คุณชิลชัยส่งบัญชีรายจ่ายคร่าวๆ ของเดือนหน้าเข้ามา เมื่อบ่ายวันนี้”

เสียงห้าวมีกังวานทุ้ม แฝงความเด็ดขาดในที ทำให้มีคนขยับตัวอย่างอึดอัด ถึงขั้นรู้สึกว่า อากาศภายในห้อง ไม่พอสำหรับหายใจขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน

“มีรายการพิเศษเพิ่มเข้ามาเจ็ดแสน เจ็ดแสนนะไม่ใช่เจ็ดพัน หรือแม้แต่เจ็ดเหมื่น”

ดวงตาคมปลาบสีน้ำตาลเข้ม มองเขม็งตรงมายังบุรุษสูงวัยที่นั่งอยู่ทางซ้ายมือ

“รายการนี้ของผมเอง”

ปสันน์ กนกพงศ์ เผลอยกมือปาดเหงื่อที่ขมับ เมื่อไม่มีเสียงตอบมาว่ากระไร เขาก็ต้องอธิบายต่อ

“เห็นว่าด้านหลังวัง มีคอกม้าเก่า ที่ทางก็กว้างขวาง ยายจุ๋มกับยายแจ๋ม ก็โตพอที่จะมีม้าขี่ของตัวเองที่บ้านได้ ก็เลย... ”

หน่วยตาคมสีน้ำตาลจัดๆ มีขนตาดกหนาล้อมกรอบ ฉายแววคมกริ๊บ แม้จะดูสงบราบเรียบ แต่ประกายลึกๆ ที่เจ้าตัวปล่อยผ่านทางสายตาแวบหนึ่ง ก็ถึงกับทำเอาผู้สูงวัยกว่า ปล่อยคำพูดขาดหายไปดื้อๆ

“จุ๋มกับแจ๋ม อายุเก้าขวบกับแปดขวบ”

เสียงห้าวมีกังวานพูดขึ้น

“แต่อยากมีม้าราคาตัวละสามแสนห้า ไว้ในครอบครอง ไม่มากไปหรือ หรือว่าคุณแม่ก็เห็นด้วย ควรซื้อม้าตัวละสามแสนห้าให้เด็กสองคนนี้ไว้ดูเล่นในบ้าน?”

“แม่...เอ่อ...แม่...”

อดีตหม่อมสุธัญญา สิขเรศ ซึ่งขณะนี้เป็นเพียงนาง สุธัญญา กนกพงศ์ ภรรยาของปสันน์ กนกพงศ์ ที่นั่งประจำท้ายโต๊ะ มีสีหน้าจืดเจื่อน ทนสบตาคมสีน้ำตาลเข้มจัดของบุตรชายคนโต ที่ปัจจุบันเป็นหัวหน้าครอบครัว คอยดูแลทุกคนในบ้านให้อยู่ดีกินดี เพียงครู่เคียว ก็หลุบตามองผ้าปูโต๊ะพื้นขาวลายดอกเล็กๆ ชนิดแทบจะนับดอกเลยทีเดียว

เด็กหญิงสองคน นั่งขนาบข้างมารดาคนละด้าน มองบิดา มารดา ก่อนหยุดสายตาลงที่พี่ชายคนละพ่อ

สีหน้าขรึมเฉย จนดูเป็นเย็นชาของคุณชาย รุ่งรังสรรค์ สิขเรศ อ่อนโยนลงอย่างเห็นได้ชัด เมื่อหันไปมองน้องสาวสองคนเล็กที่ยังอ่อนเยาว์

“จุ๋ม แจ๋ม”

“ขา”

“คะ พี่รุ่ง”

เด็กหญิงทั้งสองขานรับเสียงเรียกของพี่ชาย อ่อนอ่อย

“เพียงแต่อยากได้ม้ามาเลี้ยงไว้ดูเล่นในบ้าน หรืออยากขี่ม้ากันอย่างให้เป็นการกีฬากันจริงๆ”

น้ำเสียงมีกังวาน ดุ เด็ดขาด อ่อนลงมาก เกือบจะฟังนุ่มนวลเลยทีเดียว เมื่อพูดกับน้องๆ

“แจ๋มชอบขี่ม้าค่ะ”

เด็กหญิงคนน้องตอบก่อน ไม่วายยิ้มแหยกับพี่ชายต่างศักดิ์ แต่ยังพยายามจะอธิบายถึงเหตุผลประกอบ

“แจ๋มชอบจริงๆค่ะ ชอบมากเลย แจ๋มเคยดูที่เขาถ่ายทอดสดทางทีวีช่วงที่มีการแข่งขันกีฬาเอเซียน เกมส์ ทำให้นึกอยากจะแข่งอย่างนั้นบ้าง ที่...พาม้ากระโดดข้ามสิ่งกีดขวางน่ะค่ะ แจ๋มพูดกับคุณพ่อ คุณพ่อบอกว่า... อย่างนั้น เขาต้องมีม้าของตัวเองไว้ฝึก แล้วก็ต้องฝึกทุกๆ วัน วันละหลายชั่วโมง ต้องมีครูสอนด้วย”

“จุ๋มก็ชอบค่ะ” เด็กหญิงคนพี่รีบเสริมคำพูดน้องสาวที่อายุห่างเพียงปีเดียว “เห็นด้วยกับแจ๋ม เราอยากมีม้าเอาไว้ฝึกขี่กันที่บ้าน จะได้ขี่กันทุกวันเลย ไม่ใช่น๊าน- - นาน- ที จะได้ขี่สักครั้ง”

“หมายความว่ายังไงนานทีจะได้ขี่สักครั้ง?”

คุณชายหนุ่มนิ่วหน้า มองน้องสาวเล็กทั้งสองเขม็ง ถามขึ้นอีกเมื่อยังไม่ได้รับคำตอบ

“จะให้พี่เข้าใจว่าจุ๋มกับแจ๋ม เคยขี่ม้ามาแล้วอย่างนั้นหรือ? ตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่ไหนกัน ทำไมพี่ไม่รู้เรื่อง?”

เด็กทั้งสองคนสบตากัน ก่อนมองไปทางบิดา เพราะไม่แน่ใจว่าควรบอกดีไหม

ปสันน์กระแอมคล้ายมีอะไรติดคอ พูดเสียงไม่มั่นคงนัก

“ผมเคยให้ลองขี่กันเล่นๆ ครั้งสองครั้ง เวลาติดรถไปที่สโมสร สองคนนี้เลยติดใจ”

ไม่มีเสียงตอบจากคุณชาย

สิรินุชรอฟังอยู่อึดใจ พอไม่ได้ยินพี่ชายตอบ ก็โพล่งขึ้นประสาเด็กที่รออะไรนานไม่ค่อยได้ โดยเฉพาะเรื่องที่ตัวเองกำลังใจจดใจจ่อ

“คุณพ่อบอกว่าท่าทางเราสองคนไปได้ ถ้ามีม้าอยู่ในบ้านก็จะดี”

“ต้องมีครูเก่งๆ มาช่วยฝึกฝนให้ด้วยค่ะ จะได้ถูกหลัก”

“ก็เป็นความคิดที่ไม่เลวนะ ซื้อม้า จ้างครูมาสอน”

กังวานเสียงเกือบจะมีแววหัวเราะน้อยๆ ขัดกับสายตาคมปลาบ ขณะมองพ่อเลี้ยง ทำเอาปสันน์รู้สึกเหมือนถูกปล้นลมหายใจ

“หวังว่าคุณอาจะวางแผนอนาคตของลูกๆ ให้ก้าวไปถึงสนามสำหรับกีฬาม้าแข่งจริงๆ ไม่ใช่จบลงที่สนามแข่งม้า มีการพนันขันต่อกันทุกอาทิตย์นะครับ”

เสียงมีกังวานทุ้มกล่าวต่อเนิบๆ

ปสันน์พูดไม่ออก

“แจ๋มอยากเป็นนักกีฬาขี่ม้าทีมชาติค่ะพี่รุ่ง”

สุทธิกาบอกพี่ชายถึงความฝันของตัวเองเสียงจริงจัง ให้พี่ชายรับรู้ถึงความตั้งใจจริง ไม่รู้เลยว่าได้ช่วยบิดาให้รอดพ้นจากการพูดไม่ออกอย่างไม่รู้ตัว

แววตาเยาะแกมหยันขณะมองหน้าพ่อเลี้ยง ฉายแววอบอุ่นขึ้นเมื่อมองหน้าเรียวเล็ก ล้อมกรอบด้วยผมหยักเป็นลอนธรรมชาติสีน้ำตาลเข้ม ที่กำลังมองมาอย่างกระตือรือร้นแบบเด็กๆ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel