2
บุรินทร์เห็นแววตาของอีกฝ่ายแล้วก็ค่อยหันหน้าตรงอย่างเดิม มุมปากปรากฏรอยยิ้มเพียงนิดเดียวก่อนจางหายไป ถึงรถ เขาหยิบกุญแจออกมาปลดล็อก เดินไปเปิดประตูอีกฝั่งให้เธอขึ้นนั่ง เหมือนทำไปตามมารยาทมากกว่า
สาริศาหน้าตึงเล็กน้อย ขึ้นนั่งได้ก็ถอนใจเบา ๆ ขยับถอดรองเท้าออก ตามองสำรวจในรถด้วยความรู้สึกทึ่งนิด ๆ รถยุโรปคันใหญ่ แต่ไม่ใช่รุ่นใหม่ล่าสุดอย่างที่เคยเห็นบ่อย ๆ บนถนนเป็นยานพาหนะของเขาเอง สวยคลาสสิกทีเดียว
ดูแล้วเหมาะสมกันดี ทั้งคนแล้วก็รถ เก่าพอกัน
“บ้านที่ในซอย... หรือเปล่า”
เสียงเขาเอ่ยถามชื่อซอยทำลายความเงียบก่อนออกรถ เลยตอบเขาสั้น ๆ ไปว่าใช่ ตลอดเวลาชั่วโมงครึ่ง ไม่มีใครชวนใครคุย เขาเงียบ เธอเองก็เงียบ ได้แต่ภาวนาขอให้รถไม่ติด จะได้ถึงบ้านไว ๆ
รถออกนอกเมืองผ่านความพลุกพล่านวุ่นวายยามราตรี จนมาจอดลงที่หน้าบ้านของเธอในที่สุด
“จอดตรงนี้ก็ได้ค่ะ เดี๋ยวเดินเข้าไปเอง”
เขาไม่ได้จอดตามที่เธอบอก เห็นเอาหัวรถปักเข้าไปในช่องทางเข้าหน้าประตูรั้วเหล็ก พร้อมกับบีบแตรรถเรียกคนที่อยู่ด้านใน รอไม่นาน มีคนมาเปิดประตูให้ จึงพารถคลานเข้าไปจอดที่หน้าบ้าน
“ขอบคุณค่ะ”
สาริศาขอบคุณเขาแล้วรีบพาตัวเองลงไปให้ไวที่สุดเท่าที่จะไวได้ หวังใจไว้ว่าคราวหน้าคงไม่ต้องเจอกันที่งานเลี้ยงไหนอีก
คิดอย่างอารมณ์ดี เมื่อเห็นท้ายรถของเขาพ้นจากอาณาบริเวณบ้านไปแล้ว
“ใครมาส่งหรือคะ” เสียงถามดังมาจากทางด้านหลัง
สาริศาเดินเข้าไปคล้องแขนคนถาม พาเข้าบ้าน นั่งลงที่เก้าอี้โซฟาตัวใหญ่ด้วยกัน พร้อมกับคลายแขนที่คล้องออก โน้มตัวลงไปถอดรองเท้าเจ้ากรรม ลูบมือไปมาตรงที่ถูกรองเท้ากัด ใบหน้างามบึ้งตึงเล็กน้อย
“ป้าเยาขา ซินเจ็บจังเลย”
“ไหนคะ ให้ป้าดูหน่อย” ป้าพเยาพยายามจะช่วยดู แต่ติดพุงของแก ยังไม่เห็นหรอกว่าสาริศาเจ็บขนาดไหน ถึงอย่างนั้น แกก็ยังอุตส่าห์พาร่างอ้วนอมโรคกุลีกุจอจะลุกไปเอายามาทาให้ นึกได้ว่าอีกฝ่ายยังไม่ได้อาบน้ำ จึงว่า “ไปอาบน้ำก่อนดีไหมคะ เดี๋ยวป้าทายาให้”
สาริศายอมลุกแต่โดยดี แล้วเข้าไปคล้องแขนกับป้าพเยาอีกครั้ง อ้อนพร้อมระบายความอัดอั้นตันใจให้ฟัง “ซินเหนื่อยจังเลยค่ะ ซินแค่อยากช่วยงานคุณพ่อ แต่ซินไม่อยากไปงานเลี้ยงกับคุณพ่อเลย ซินจะบอกคุณพ่อยังไงดีคะ”
ป้าพเยาลูบศีรษะของเธอเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู สาริศาไม่ใช่เด็กที่ดูอ่อนหวาน บอบบางเท่าไรนัก ออกจะดื้อรั้นด้วยซ้ำไป แต่กระนั้นเจ้าตัวก็ไม่สามารถขัดคำสั่งของบิดาได้ สรสิชสั่งให้ทำอะไร บุตรสาวก็มีแต่จะต้องทำตามเท่านั้น ตนเองก็ไม่รู้จะช่วยได้อย่างไร แล้วทวนถามหญิงสาวอีกครั้ง
“ยังไม่บอกป้าเลยว่าใครมาส่ง แล้วนี่รถหายไปไหนคะ ทำไมขับไปแล้วไม่ขับกลับมาด้วย”
“คุณพ่อเอารถซินไปค่ะ แล้วก็ให้เพื่อนคุณพ่อนั่นแหละมาส่ง”
“อีกแล้วหรือคะ” ถามอย่างไม่ใคร่สบายใจเท่าไรนัก “ตาเฒ่าหัวงูอีกหรือยังไงคะคราวนี้”
นึกถึงหน้าคนมาส่งแล้วก็ย่นจมูก ตอบรับป้าพเยาไปว่า “ใช่ค่ะ”
ตอนสาริศาจบมาใหม่ ๆ สรสิชพาออกงานเป็นว่าเล่น
ด้วยใบหน้างดงาม แววตาสุกใส ใครได้พบก็มักจะถูกตาต้องใจทั้งนั้น มีไม่น้อยที่เข้ามาทาบทามให้บุตรชายของตนเอง แต่มีอยู่ครั้งที่ทาบทามให้ตัวเองเลย อย่างเจ้าสัวคนดังคนนั้น
สรสิชเองก็ทำท่าพออกพอใจ จับลูกสาวใส่พานให้เจ้าสัวหัวหงอก ดีที่เมียคนที่สิบสี่ของเจ้าสัวมาโวยวายจนเสียเรื่องไปก่อน ไม่อย่างนั้น ป่านนี้คงได้ไปนอนในกรงทอง เป็นเมียคนที่สิบห้าไปแล้ว
“ไม่ใช่ว่ารอบนี้คิดจะเอาลูกไปเร่ขายอีกหรือคะ ถึงได้ยอมปล่อยให้มาส่งบ้านได้แบบนี้น่ะ ไม่เข้าตามีหรือจะยอมให้ไปไหนตามลำพังได้” พเยาบ่นยืดยาว ถอนหายใจด้วยอาการหนักอก ใบหน้าอวบอูมฉายแววไม่สบายใจในทันที
สาริศาก็นึกแบบนั้นเช่นกัน ไม่อยากเสริมอะไร ทำทีเป็นเปลี่ยนเรื่องคุย “เห็นคุณพ่อบอกว่าได้คิวผ่าแล้วนะคะ เตรียมตัวหรือยัง คนดีของซิน”
ป้าพเยาได้ยินอย่างนั้นก็หน้าถอดสี บอกเสียงอ่อย “ไม่ผ่าแล้วได้ไหมคะ กลัวจังเลยค่ะ”
“กลัวทำไมกันคะ หมอที่นั่นเก่งจะตายไป สมราคาหรอกค่ะ อีกอย่างนะ ซินขอคุณพ่อลางานไว้แล้วด้วย ซินจะไปเฝ้าที่หน้าห้องผ่าเลย รับรองว่าผ่าเสร็จปุ๊บ ป้าเยาจะต้องหายปั๊บเลยล่ะค่ะ”
พเยายิ้มฝืน ๆ พยักหน้าให้อย่างยอมจำนน “ค่ะ ผ่าก็ผ่า”
“ต้องอย่างนี้สิคะ ป้าเยาคนเก่งของซิน”
สาริศาปลอบพเยาไปตามเรื่อง พร้อมกับกอดเอวซุกหน้าไปมาอย่างต้องการความสบายใจ ความรัก ความอบอุ่น แล้วออกปากชวนอีกฝ่ายให้เข้าไปคุยกันต่อในห้อง ไม่เอาเรื่องของตัวเองขึ้นมาพูดอีก สุดท้ายก็จัดแจงทายาด้วยตัวเอง อาบน้ำแล้วไม่วายอ้อนให้พเยานอนด้วยกันเสียเลย
พเยานอนกล่อมราวกับเธอยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อย จนเห็นว่าหลับดีแล้วก็ค่อยกลับห้องของตนเอง
สาริศาบอกตัวเองว่าพเยาเป็นความอบอุ่นที่ไร้เงื่อนไขมาตั้งแต่เด็ก หากปราศจากท่านแล้วก็ไม่รู้ว่าชีวิตนี้ของเธอจะอยู่ จะเป็นอย่างไรต่อไป
สรสิชบ่นสารพัดเรื่องจุกจิกของรถบุตรสาวตลอดทางจวบจนถึงจุดหมาย เขาจอดทิ้งไว้ที่ลานด้านหน้า เข้าลิฟต์ขึ้นไปยังชั้นห้าที่มาเป็นประจำ ถึงหน้าห้องแล้ว ใช้คีย์การ์ดที่มีในมือเปิดเข้าไปอย่างอารมณ์ดี
เจ้าของห้องตกใจเมื่อเห็นสรสิชเปิดประตูเข้ามา ปรับท่านั่งที่กำลังอ้าซ่าอยู่ให้มิดชิดกว่าเดิม ชายมากวัยมองหญิงสาวเจ้าของห้องด้วยสายตากรุ้มกริ่ม เปิดเปลือยความปรารถนาอย่างไม่ต้องซ่อนเร้น มือปลดกระดุมเสื้อออกด้วยอาการร้อนอกร้อนใจ กระสันอยากกระโดดเข้าใส่อีกฝ่ายเสียในนาทีนั้นเลย
“ผมคิดว่าจะเจอคุณในงานเลี้ยงเสียอีก”
หญิงสาวในชุดนอนขอบลูกไม้สั้นแค่หน้าขา มองคนมาเยือนด้วยสายตาเอือมระอา ตอบกลับไปว่า “ฉันเบื่องานเลี้ยงพวกนั้น”
หนุ่มใหญ่เหวี่ยงเสื้อออกจากตัวเมื่อปลดกระดุมจนหมดแถว แล้วตรงไปที่เตียง วางเข่าข้างหนึ่งบนนั้น ก่อนจะวางอีกข้างตามมา พาตัวเองคลานเข้าไปหาร่างเย้ายวนด้วยความปรารถนาที่พุ่งทะยานมากยิ่งขึ้น
“ผมมองหาแต่คุณรู้ไหม”
หญิงสาวเบือนหน้าหลบ แต่ก็ถูกสรสิชพลิกให้หันไปรับจุมพิตจากเขา แล้วไฟราคะก็ค่อยลุกฮือครอบร่างของทั้งสองคน นานราวชั่วโมง กว่าที่ทุกอย่างจะสงบจบสิ้นลง
“คุณได้หาแผนสำหรับสองคนนั่นหรือยัง” สรสิชถามหลังพลิกตัวมานอนอยู่ด้านข้างร่างเย้ายวนของหญิงสาวที่ตักตวงจนพอใจแล้ว
ขวัญสุดาขยับตัวหนี ถามเสียงปนหอบนิด ๆ “แผนอะไรคะ”
“แผนจับคู่ไง”
หญิงสาวครางรับในลำคอเบา ๆ พาร่างเปลือยของตัวเองลุกหนีจากเตียงไปล้างตัวในห้องน้ำ โดยมีสรสิชเดินตามหลังมาด้วย
“ว่ายังไง จะใช้แผนไหนให้สองคนนั่นได้เจอกันอีก”
“กำลังคิดอยู่ค่ะ คุณหมอกหลอกง่ายที่ไหนกัน แค่วันนี้ไม่ไปงานเลี้ยงด้วย เขาก็มองฉันด้วยสายตาแปลก ๆ แล้วรู้ไหม” บอกจบ นึกถึงสายตาบุรินทร์ตอนที่ขอว่าจะไม่ไปงานเลี้ยงค่ำนี้ ด้วยข้ออ้างปวดหัวเหมือนมีไข้
สรสิชเย้ายิ้ม ๆ “คงไม่ถึงกับต้องวางยาสองคนนี้หรอกใช่ไหมทูนหัว”
สาวงามที่ถูกหนุ่มใหญ่เรียกว่าทูนหัวเบ้ปากเมื่อได้ยินเขาเอ่ยถึงเรื่องวางยา ถามด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “แล้วเมื่อไรคุณจะลบคลิปนั่นทิ้งไปเสียที”
“ผมลบไปตั้งนานแล้ว”
“ฉันไม่เชื่อ ไหนเอาโทรศัพท์เครื่องที่คุณอัดคลิปไว้มาดูสิคะ”
“ไม่มีแล้วจริง ๆ ผมจะเก็บไว้ทำไม ไม่ได้มีประโยชน์กับตัวผมหรอกน่า บอกแล้วไงว่าผมอัดไว้ดูเล่น ๆ ตอนผมมีอารมณ์ คิดถึงคุณมาก ๆ ไง ไม่ได้ตั้งใจจะเอาไว้แบล็กเมลใครทั้งนั้นแหละ”
ขวัญสุดาออกอาการหัวเสียที่ทั้งอ้อนทั้งขู่แค่ไหน สรสิชก็ยังไม่ยอมลบคลิปครั้งนั้นทิ้งไปเสียที ไล่ด้วยเสียงเนือย ๆ “พรุ่งนี้ฉันต้องเข้างานแต่เช้า”
“ไล่ผมใช่ไหมเนี่ย” สรสิชถามกระเซ้า
ขวัญสุดาเบื่อจะคุยอะไรด้วยอีกแล้ว จึงชักสีหน้าบอกด้วยความรำคาญ
หนุ่มใหญ่ที่ได้ปลดปล่อยอารมณ์เปลี่ยวไปพอสมควรแล้ว หยิบเครดิตการ์ดใบใหม่วางลงที่โต๊ะให้เป็นรางวัล ก่อนเข้าไปกอดเบา ๆ ร่ำลาก่อนจากว่า “ผมกลับก็ได้”
รอจนสรสิชจากไปแล้ว ขวัญสุดาถึงได้ตามไปกระแทกประตูปิดไล่หลังอย่างต้องการระบายอารมณ์ของตัวเองที่พลุ่งพล่านขึ้นมา
หากคืนนั้นตนไม่เมาเละเทะในงานเลี้ยงที่พัทยา ก็คงไม่ต้องมากลายเป็นลูกไล่ให้คนอย่างสรสิชบี้อยู่อย่างนี้
เดินไปหยิบเครดิตการ์ดที่อีกฝ่ายทิ้งไว้ให้ขึ้นมอง ก็พอจะผ่อนอารมณ์ฉุนเฉียวลงได้หน่อยหนึ่ง บอกตัวเองว่าจะไม่ยอมถูกใช้ไปตลอดหรอก แม้อีกฝ่ายจะทำปากหวาน พูดหว่านล้อมเรื่องแต่งงานด้วย แต่ขวัญสุดารู้ดีว่าคนอย่างสรสิชไม่มีทางตกล่องปล่องชิ้นกับใคร ไม่อย่างนั้นจะโสดจนถึงวันนี้หรือ
และคนที่ขวัญสุดาหมายตาอยากได้ อยากครอบครองตัวจริงก็ไม่ใช่สรสิช แต่เป็นบุรินทร์ เจ้านายของเจ้าหล่อนนั่นเอง
