บท
ตั้งค่า

1

เห็นมีช่องจอดว่างอยู่ บุรินทร์จึงพารถตรงไปจุดหมาย แต่แล้วกลับถูกอีกคันตัดหน้าเข้าไปจอดเสียก่อน ดีที่เขาเบรกทัน เลยไม่เฉี่ยวชนจนต้องเสียเวลา

ไม่ได้ติดใจเอาความเมื่อไม่มีเหตุอะไรเกิดขึ้น พารถเคลื่อนตัวออกไปอีก ไกลจากที่หมายตาเมื่อครู่นี้ มีรถออกจากช่องจอดพอดี จึงหยุดรถลงที่ตรงนั้นแทน ดับเครื่องยนต์แล้วค่อยเปิดประตูรถลงไป

เขาเดินย้อนกลับทางเดิมเพื่อเข้าประตูของโรงแรม จึงได้เห็นว่าเจ้าของรถคันที่ตัดหน้าเป็นหญิงสาวร่างเล็ก แบบเดียวกับรถของเจ้าหล่อน ปราดเปรียว แลดูคล่องตัวดี กระนั้นก็พอมองออกว่ายังเด็กอยู่มากหากเทียบกับเขา ที่อีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ก็จะย่างเข้าสามสิบเก้าปีแล้ว

หญิงสาวคนนั้นดูวุ่นวายอยู่กับรองเท้าที่ท้ายรถ ไม่สนใจใครทั้งสิ้น ไม่รู้ว่าเป็นแบบนี้ทุกครั้งหรือเปล่า หากว่าจอดรถที่ลับตาคนก็น่าห่วงเรื่องความปลอดภัยอยู่ไม่น้อย

ละสายตาไปยังทางเข้า พาตัวเองเดินไปเรื่อย ๆ หญิงคนเดิมเดินตัดหน้าเขาอีกครั้ง เธอหันมามองเขานิดเดียว เมื่อทำท่าว่าจะชนกันอีกรอบตรงประตู เลยผายมือให้เดินนำหน้าเข้าไปก่อน เห็นทำท่าพยักหน้าให้เบา ๆ เดินผ่านประตูเข้าไปแล้ว บุรินทร์จึงตั้งท่าจะเข้าไปบ้าง แต่มีคนโทรศัพท์มาพอดีจึงหยุดรับสาย แล้วสายตาของเขาก็มองตามแผ่นหลังของหญิงสาวคนนั้นที่เดินฉับ ๆ เข้าไปด้านใน จนลับสายตาของเขาไปในที่สุด

“เลทเกือบสิบนาที”

สรสิชบ่นบุตรสาวด้วยสีหน้าไม่พอใจ กระนั้นยังคุมอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ได้ เพราะคนที่ตนหมายตาอยากให้ได้พบกับบุตรสาวสักครั้ง ยังไม่เข้ามาในงานเลี้ยง

“ซินรีบสุดชีวิตแล้วค่ะ” อ้าปากจะบอกว่าการประชุมที่ให้ตนเข้าแทน ยืดเยื้อจนเลยเวลาไปเป็นชั่วโมง กว่าจะเสร็จสิ้นการประชุมก็ห้าโมงครึ่ง แล้วไหนยังต้องฝ่าการจราจรช่วงวิกฤตสุด ๆ ของวันเข้ามาที่โรงแรมย่านกลางเมืองนี่อีก สายสิบนาทียังถือว่าไวไปด้วยซ้ำ นี่เธอขับปาดหน้ารถคนอื่นมาแล้วกี่คัน บิดาจะรู้บ้างหรือเปล่า ขนาดที่จอดรถ หากไม่ปาดหน้าแย่งมาก็คงสายกว่านี้

พลันนั้นเองที่แววตาสีดำคมลึกของชายเจ้าของรถคันที่ถูกเธอปาดหน้าแย่งที่จอดมาก็ค่อย ๆ ผุดเข้ามาในหัว

หวังว่าคงจะไม่ได้มางานเดียวกันนี่หรอกนะ

“แต่งตัวแบบนี้อีกแล้ว”

สรสิชมองบุตรสาวด้วยสายตาไม่สบอารมณ์ วางแก้วลงกับถาดของบริกรที่ผ่านมาพอดี หันหลังให้คนอื่นในห้องจัดเลี้ยงเพื่อยืนบังบุตรสาว แล้วยื่นมือดึงสาบเสื้อตรงกระดุมเม็ดบนสุดด้วยเรี่ยวแรงพอประมาณ จนมันขาดออกจากรังดุมในทันที เม็ดหนึ่งกระเด็นตกไปที่พื้น อีกเม็ดยังคาอยู่ที่รังดุมของมัน จนเห็นเนินอกของเธอราง ๆ

สาริศาคิดไม่ถึงว่าบิดาจะทำกับตัวเองแบบนี้ ร้องเรียกท่านด้วยความตกใจ “คุณพ่อ!” พร้อมกับยกมือขึ้นกุมคอเสื้อตรงที่ถูกกระตุกจนกระดุมขาดออกจากกัน

สรสิชส่งเสียงขัดใจ ปัดมือเธอที่วุ่นวายกับคอเสื้อออก

และหญิงสาววัยยี่สิบสี่ปีก็ไม่กล้าเถียงอะไรท่านอีก ชีวิตนี้ของเธอ ตั้งแต่จำความได้ก็มีเพียงบิดา เธออาจเก่งกล้า ต่อล้อต่อเถียงกับคนอื่น แต่ไม่กล้าหือหรือดื้อรั้นกับบิดา ท่านสั่งอย่างไรก็ต้องเป็นไปอย่างนั้น

“กุญแจรถอยู่ไหน”

สรสิชถามพร้อมกับยื่นมือออกมารอ เธอมองท่านด้วยอาการน้อยเนื้อต่ำใจ พร้อมความสงสัยที่แทรกเข้ามาแทนที่นิด ๆ ว่าจะเอาไปทำไม แต่ไม่ได้ถาม ทำเพียงล้วงหยิบกุญแจส่งให้เท่านั้น

“จอดตรงไหน” เสียงถามห้วนเล็กน้อยของสรสิชไม่ดังนัก

“ตรงหน้าประตูทางเข้านี่เลยค่ะ” ตอบไม่ทันจบประโยคดี ถูกตำหนิต่ออีก

“ยืนยืดไหล่ให้ดูเป็นสาวมั่นหน่อย ไม่ใช่งอตัวเป็นกุ้งสุกแบบนี้ เดี๋ยวจบงานพ่อต้องคุยกับครูแจมใหม่แล้ว ว่าสอนลูกยังไงถึงได้ไม่มีพัฒนาการเลย สอนเหมือนไม่ได้สอน หมดคอร์สพอดีใช่ไหม หมดแล้วก็ไม่ต้องไปมันแล้วนะ พ่อหมดเงินกับซินเท่าไรแล้วรู้ไหม”

ท่านบ่นไปถึงครูสอนบุคลิกภาพคนดังที่ส่งเธอไปเข้าคอร์สตั้งแต่เรียนจบออกมาช่วยงานที่บริษัท

สาริศาอยากช่วยบิดาทำงาน งานหนักแค่ไหน เธอไม่เคยบ่น

เธออยากเป็นผู้หญิงที่ทำงานเก่ง แต่ไม่ได้อยากเป็นสาวมาดมั่น ไฟแรง เปรี้ยว เฉี่ยว สวย สง่างาม อย่างที่บิดาต้องการให้เป็นเลยสักนิด แต่ดูเหมือนสรสิชจะมีความต้องการสวนทางกับบุตรสาว

คนเป็นพ่อมองด้วยสายตากดดันแกมผิดหวัง ก่อนสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ หันไปที่ทางเข้าห้องจัดเลี้ยง ใบหน้าเฉยฉาบรอยยิ้มในทันที ปากพูดกับเธอ แต่ตามองไปยังทางนั้น

“พี่เขาเดินมานู่นแล้ว ยิ้มด้วยเวลาที่พูดน่ะ ไม่ใช่ยิ้มโง่ ๆ ทำตัวให้มีเสน่ห์เข้าไว้ ตามองตอบบ้าง หลบตาบ้าง ไม่ใช่เอาแต่หลบตาตลอดเวลาอย่างกับพวกผู้หญิงบ้าน ๆ”

สั่งเสร็จ สรสิชยกมือทักทายชายคนที่ว่านั้น สาริศาจึงหันไปมองตามบิดา พบชายร่างสูงสง่าดูโดดเด่นที่สุดในงานเลี้ยง เขากำลังตรงมาทางนี้ และเธอจะไม่รู้สึกร้อนไปหมดทั้งหน้าอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้เลย หากว่าชายคนนั้นจะไม่ใช่คนเดียวกันกับที่เธอแย่งที่จอดรถเมื่อครู่

อย่าเรียกว่าแย่งเลย อันที่จริงเธอก็แค่เหยียบคันเร่งเข้าไปจอดให้ไวกว่าเขาเท่านั้นเอง ก็ตรงนั้นมันไม่ได้มีป้ายกำกับว่าของใครนี่นา เอาเป็นว่าเลิกคิดเรื่องนั้นไปก่อนก็แล้วกัน มาแก้เหตุการณ์เฉพาะหน้านี่ดีกว่า ไม่รู้ว่าเขาจะเอาเรื่องเธอหรือเปล่า

“ทางนี้หมอก”

สรสิชมีท่าทียิ้มแย้มดีใจมากขึ้น เมื่อชายร่างสูงคนนั้นเดินมาจนถึงตรงที่สองพ่อลูกยืนอยู่ เขายกมือไหว้บิดาของเธอด้วยกิริยาอย่างที่คนอาวุโสน้อยกว่าควรทำ ดูไว้ตัวระดับหนึ่ง ถึงอย่างนั้นก็ยังสร้างความพึงใจให้สรสิชไม่น้อย

“สวัสดีครับอาสิช”

“ซิน ลูกสาวอา ที่เคยคุยให้ฟังบ่อย ๆ ไง”

เขาละสายตาจากสรสิชมาสบตากับเธอชั่วขณะ เป็นจังหวะเดียวกันกับเธอเงยหน้ามองเขาพอดี ถึงได้พบว่าชายคนที่บิดารอคอยมีดวงตาสีดำสนิท ประกายตากร้าวแกร่งคล้ายไม่หวั่นเกรงผู้ใด คิ้วเข้มพาดเฉียงเรียงตัวเป็นระเบียบ ยิ่งส่งให้ใบหน้าเข้มดูดุดันมากยิ่งขึ้น

เขาเอ่ยตอบ แบบที่สาริศาพอจะฟังออกว่าอีกฝ่ายไม่ได้รู้สึกชื่นชมอย่างที่ปากว่า “ไม่แปลกใจแล้วครับที่บริษัทของอาสิชจะทำกำไรได้เกินคาดขนาดนั้น มีลูกสาวคนเก่งคอยช่วยงานนี่เอง”

“อาไม่ได้อวยลูกสาวของตัวเองนะ แต่น้องซินนี่หัวไว ฉลาด ได้เลือดอามาเต็ม ๆ เลย บางครั้งก็แอบมีลูกไม้ลูกเล่นหน่อย ๆ ด้วยนะ อันหลังนี่คงไม่ใช่นิสัยอาหรอก สงสัยจะได้มาจากทางแม่เขา”

“ผู้หญิงเก่งก็ต้องรู้จักมีลูกไม้ลูกเล่นทั้งนั้นแหละครับ... ใช่ไหม”

ท้ายประโยคเขาถามเธอ น้ำเสียงและแววตาที่มองมาทำสาริศาหน้าร้อนฉ่า ชาวาบไปถึงใบหู รู้สึกเหมือนถูกว่ามากกว่าถูกชมอย่างไรก็ไม่รู้ เธอเองก็บอกไม่ถูก เม้มปากเบา ๆ นึกขุ่นใจ แอบคิดไปไกลว่าเขากำลังโยงถึงเรื่องแย่งที่จอดรถก่อนหน้านี้

ก็เธอกลัวไม่ทันเวลาที่บิดานัดเอาไว้นี่ พอเห็นตรงไหนว่างก็เสียบเลย ไม่ทันมองด้วยซ้ำว่ามีใครกำลังจะเข้าจอดหรือเปล่า ถ้าไม่เร่งด่วนจริง ๆ คนอย่างสาริศาไม่ทำหรอก ปกติเธอมีมารยาทออกจะตายไป

บอกตัวเองว่าอย่าคิดมาก เขาอาจไม่ได้โยงเข้าเรื่องที่จอดรถก็เป็นได้ ถึงคิด นั่นมันก็แค่ที่จอดรถ และที่ตรงนั้นไม่ใช่ที่ของใคร จังหวะเป็นของคนที่ไวกว่าเสมอ บิดาสอนเธอแบบนี้ทุกครั้ง

“ยังต้องเรียนรู้อะไรอีกเยอะ” สรสิชยื่นมือมาบีบไหล่เธอเบา ๆ ชวนชายอ่อนวัยกว่ารำลึกถึงความหลัง “ตอนหมอกกลับมาช่วงปิดเทอม อายังเคยพาน้องไปเล่นที่บ้านสวนเลย เคยเจอกันอยู่นะ”

บุรินทร์ยิ้มอีกครั้ง บอกไปตามตรงว่า “สารภาพเลยครับว่าผมจำไม่ได้”

ได้คำตอบไม่โดนใจนัก สรสิชเกิดอาการเคืองเล็กน้อย กระนั้นก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกไป มองซ้ายทีขวาที แล้วเอ่ยถามอีกฝ่ายต่อ “หมอกมาคนเดียวหรืองานนี้”

“ครับ” เขาตอบรับสั้น ๆ คล้ายกับเป็นลักษณะนิสัยของเขา

สรสิชคุยเสียเยอะ ครู่ใหญ่ก็ค่อยออกปากฝากบุตรสาวให้อยู่ตรงนี้ด้วยคน ส่วนตนเองขอไปทักทายแขกผู้ใหญ่กลุ่มสำคัญที่เดินเข้างานมาทางด้านโน้นพอดี สาริศายืนมองแผ่นหลังของบิดาที่จากไปแบบเงียบ ๆ เธอเคยออกงานกับบิดาอยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่มีครั้งไหนอึดอัดใจได้เท่ากับครั้งนี้เลย ให้ตายเถอะ

พยายามไม่ก้มหน้าอย่างที่บิดาย้ำ มองไปรอบ ๆ ยิ้มทักทายกับผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่ผ่านหน้าไปพอดี ทางนั้นจากไปแล้วก็จำใจต้องหันกลับมาอยู่ในบรรยากาศแสนอึมครึมกับเขา

เสียงทุ้มเอ่ยถามแทรกเสียงดนตรีที่คลอเบาภายในงาน “เครื่องดื่มไหม”

สาริศาหันมอง แต่ไม่ได้ตอบรับ เธอยื่นมือออกไปหยิบแก้วจากบริกรด้วยตัวเอง ไม่ใช่เพราะจำที่ครูสอนได้ว่าสาวมาดมั่นต้องไม่พึ่งพาพวกผู้ชาย มันเป็นการสร้างเสน่ห์อย่างหนึ่ง

เธอไม่ได้อยากสร้างเสน่ห์กับผู้ชายคนนี้ แต่ที่หยิบเองเพราะไม่อยากพึ่งพา แล้วก็ไม่อยากพูดจาพาทีเสวนาใด ๆ กับเขาเลยต่างหากเล่า

“เพิ่งเรียนจบหรือ” เขาถามสั้น ๆ

สาริศายิ้มก่อนตอบกลับสั้น ๆ เช่นกันว่า “ค่ะ”

“อาสิชชมลูกสาวให้ฟังบ่อย”

เรื่องนี้เธอพอรู้อยู่บ้าง ว่าบิดามักนำเธอไปเป็นหัวข้อสนทนา คุยกับใครต่อใครล้วนแล้วแต่กล่าวอวย ชื่นชมอยู่บ่อย ๆ เลยตอบเขากลับไปว่า “คุณพ่อก็ชมคุณให้ฟังเหมือนกันค่ะ”

“ว่ายังไง” เสียงของเขาทุ้มละมุนหูดี

สาริศาฟังเพลิน จนเห็นว่าเขามองมาที่เธอเหมือนกับรอคอยอะไรอยู่ ทวนถามกลับว่า “คะ?”

“ก็ที่อาสิชชม ท่านว่ายังไง”

ตาบ้าเอ๊ย สาริศาได้แต่ร้องครวญอยู่ในใจ ก็ไหนครูแจมบอกว่าเวลาใครเอ่ยชม ให้หาโอกาสชมกลับไปอย่างไรเล่า เธอก็เลยชมเขากลับ แต่สมาธิของเธอมันคงแกว่งไปแกว่งมา เลยตามไม่ทัน ไม่คิดด้วยละ ว่าอีกฝ่ายจะถามอย่างกับรู้แกวเธอแบบนี้

“ก็…” ชักจะไปไม่เป็น สาริศาอึกอักเล็กน้อย

แว่วเสียงเขาพึมพำคล้ายกับสอนว่า “ยังต้องฝึกอีกเยอะ”

ทำมาสอนคนอื่น เก่งตายล่ะ ถ้าเก่งจริง เธอต้องคุ้นหน้าค่าตาเขาบ้างสิ นี่คนเก่งคนดังแบบไหนกัน ไม่เห็นเคยเป็นข่าวเลย ไม่เคยจะคุ้นหน้า ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชื่ออะไร ได้ยินแต่บิดาเรียกเขาว่า ‘หมอก’

แล้วก็ค่อยหายใจหายคอโล่งขึ้น เมื่อเห็นบิดาเดินกลับมาแล้ว

สรสิชถามยิ้ม ๆ “คุยอะไรหรือ ท่าทางถูกคอกันแล้วนี่”

“แลกเปลี่ยนแนวคิดเรื่องธุรกิจน่ะครับ” คนตอบก็ยิ้มเช่นกัน แต่หาใช่รอยยิ้มแบบเดียวกับบิดาของเธอไม่

สาริศายืนรวมกลุ่มตรงนั้นเป็นนาน จนงานเริ่มได้ครู่เดียว บิดาของเธอก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ขมวดคิ้วเล็กน้อย หันมาแตะแขนบุรินทร์

“อารับสายสักครู่นะ”

สาริศามองตามจนท่านลับหายจากประตูไป ก็ค่อยหันกลับมา พบว่ามีคนมากหน้าหลายตาแวะเวียนมาคุยกับเขา จนผ่านไปห้านาทีเห็นจะได้ บิดาของเธอเดินหน้าเคร่งเข้ามาในงานอีกครั้ง ท่านตรงมาที่เธอ บอกว่าจะกลับ

สาริศาได้ยินก็โล่งใจ มองหาบริกรเพื่อให้มารับแก้วในมือ แต่แล้วสรสิช

กลับเอ่ยว่า “อาต้องเอารถน้องไปธุระ พอดีว่ารถอา คนขับเอาไปชนท้ายกับคู่กรณี กว่าจะเคลียร์ทางนั้น กว่าจะมาถึง อาคงไปไม่ทันนัดกันพอดี อาวานหมอกที รบกวนพาน้องติดรถไปด้วยได้ไหม บ้านอาน่ะทางผ่านหมอกอยู่นะ”

เขาตอบรับสั้น ๆ แบบเดิมว่า “ครับ”

สาริศาได้แต่ยืนนิ่ง มองบิดาที่เดินจากไปแล้ว หลังฝากเธอกลับบ้านกับคนที่ไม่ได้รู้จักหน้าค่าตากันมาก่อน

เขาบอกเธอด้วยท่าทีสุภาพว่าจะไปลาผู้ใหญ่ทางนั้น เห็นเดินหายไปทางกลุ่มที่ว่า ยืนคุยอยู่เป็นนาน จนเธอหมดความอดทน เริ่มหาหนทางกลับบ้านเอง เขาหันมามองแล้วยืนคุยอีกครู่แล้วถึงเดินกลับมา ใบหน้าไม่มีรอยยิ้มอีกต่อไป ผายมือให้เดินนำไปยังประตูทางออกของห้องจัดเลี้ยง

พอพ้นประตูจนถึงลานจอดรถก็ค่อยแว่วเสียงเขาเอ่ยขึ้น

“พี่มาช้าไป เลยได้ที่จอดรถไกลหน่อย”

สาริศานึกค่อนคนพูด ทำมาพูดเหน็บใส่ รู้หรอกว่ากำลังว่าเธอแย่งที่จอดรถ

แล้วก็เลยนึกค่อนไปถึงบิดาด้วย

พานนึกค่อนรองเท้าคู่ใหม่ที่สวมอยู่นี่ด้วย เพราะกำลังเล่นงานเท้าเธอเข้าแล้ว จึงเดินได้ช้าลง เพราะถูกบีบ เสียดสีจนเจ็บไปหมด เดินไปก็ถอนหายใจไปพลาง ก้มมองเท้าตัวเองด้วยความสังเวชใจ พอเงยหน้าขึ้น ทันได้เห็นว่าเขามองลงมาพอดี ก็นึกเอะใจว่ามองอะไรของเขา

เลยก้มมองตาม ตาสะดุดเข้ากับร่องอกของตัวเอง แล้วก็นึกได้ว่ากระดุมเสื้อขาดไปสองเม็ด นี่ไม่ใช่ว่ามองหน้าอกของเธออยู่หรอกหรือ

ไอ้คนทุเรศ!

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel