บทที่ ๓ : ปล่อย... (๒)
กว่าพ่อจะมารับก็ล่วงเวลาเย็นไปมาก ขณิกาต้องอดทนกับความเอาแต่ใจของคุณอาที่ไม่รู้ว่าเกิดโมโหอะไรขึ้นมา จะกลับก็ไม่ยอมให้กลับ
ปรกตินายพิภพเป็นผู้ใหญ่ที่มีเหตุผล เป็นเจ้านายที่ดี เป็นเพื่อนที่ดี เขานั้นก็ดีกับทุกคน แต่สำหรับขณิกาในพักหลังมานี้เป็นตรงกันข้าม...
วันต่อมาเธอจึงตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ไปเที่ยวหาเขาอีก จากที่เคยไปหาอาภพจนกลายเป็นกิจวัตร
บางทีความอดทนของคนคงมีขีดจำกัด... กับความสัมพันธ์ครึ่ง ๆ กลาง ๆ ตลอดสามเดือนที่ผ่านมา
หากว่าเธอบอกรักเขา... จะตอบว่า ‘เป็นแบบนี้ดีแล้ว’
หากว่าเธอจะไปจากเขา... จะตอบว่า ‘อย่าทิ้งอา อยู่กับอา’
และถ้าหากว่าเธอจู่โจมด้วยวิธีใด ๆ เขาจะเว้นระยะห่างไว้ในความเหมาะสมของอาหลาน ทั้งที่สายตาที่มองมาไม่ต่างจากคนรัก เขาหวงเธอ ให้ความหวังเธอ ไม่ให้เธอไปมีผู้ชายคนไหน
แต่ถ้าหากว่าเขาหายไปเป็นอาทิตย์คือเขากำลังเสียใจ เรื่องของภรรยาเก่าที่ล่ำลาโลกนี้ไปถึงสิบห้าปีด้วยโรคมะเร็งปอด ต้นเหตุมาจากควันบุหรี่มือสอง แม้ว่าเขาจะเลิกบุหรี่ไปนานแล้วก็ตาม
อาภพไม่เคยเปิดใจให้ใครเข้าไปในพื้นที่แห่งความเจ็บปวดที่ไม่ต้องการการเยียวยา
บทสรุปของเธอคือไปไหนไม่ได้ และยังต้องติดอยู่ตรงนี้
ทำนองเพลงรักแสนเศร้าคลอไปกับแอร์เย็นฉ่ำของรถยนต์ ปลายเท้าเหยียบคันเร่งเบา ๆ ขณิกาเป็นคนขับรถเองไม่วานลุงนิ่ม ก็คงจะขับไปเรื่อย ๆ
ความเสียใจที่แบกมาตลอดทางจากฟาร์มหลั่งไหลออกมาจากสีหน้าดื้อรั้น ท่ามกลางสายฝนที่โหมกระหน่ำ บางครั้งก็มองแทบไม่เห็นทางจนต้องยกมือปาดหางตา ก่อนที่เธอจะกดปุ่มบนแป้นพวงมาลัยต่อสายหาชายหนุ่ม ที่ทำร้ายกันมาตลอดชั่วโมง
“คุณพี่ดีเจ... เปิดเพลงสนุก ๆ ได้ไหมคะ.. หนูอกหัก.. ไม่อยากฟังเพลงเศร้า” เสียงสั่นเครือบอกปลายสายที่ส่งเสียงเจื้อยแจ้ว
“โอเคครับน้อง! พี่จะจัดเพลงสนุกให้หนึ่งเพลง”
“เพลงเดียวเองเหรอคะ? แด๊นซ์ทั้งชั่วโมงไม่ได้หรือคะพี่...”
ไม่ว่าเธอจะน่าสงสารแค่ไหน คนที่กำลังทำงานผ่านสายก็ต้องทำตามหน้าที่คือรักษาเวลาของรายการ
“หาใหม่นะครับน้อง ชีวิตมันต้องเดินต่อไป ตามหาความฝัน เอ้า.. เรามาแด๊นซ์กัน ขอบคุณคุณพาย ขณิกาครับ!”
สายที่วางไปหลังจากนั้น เพลงอกหักตามมาติด ๆ แทบทั้งช่วงรายการ!
ทว่าคนฟังก็ไม่ได้เปลี่ยนมันไปไหน มือสั่นเทากุมพวงมาลัยแน่นหอบความเศร้าเสียใจไปจนถึงกรุงเทพฯ
กระทั่งมาถึงร้านกาแฟชื่อดังใกล้ ๆ บริษัทซึ่งอยู่ในย่านธุรกิจอย่างถนนสุขุมวิท ขณิกาได้นัดหมายเพื่อนสาวหุ้นส่วนไว้
อิงฟ้าเป็นสาวสวยเปรี้ยว ผิวขาวละเอียดถึงไม่ขาวเท่าเธอแต่ก็สวยขนาดว่าไปไหนมาไหน ผู้ชายส่วนใหญ่เหลียวหลังมอง
พอผลักประตูกระจกเข้าร้านร้านที่เต็มไปด้วยผู้คน เธอก็มองหาคนที่ส่งข้อความผ่านไลน์มายังส่งรูปถ่ายให้ด้วยว่าอยู่ตรงไหน
“รอนานไหมแก?” ทักทายเพื่อนสาวที่กวักมือเรียกตั้งแต่อยู่หน้าร้าน ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้โซฟาในฝั่งตรงข้าม
หญิงสาววัยเดียวกันอย่างอิงฟ้ามาถึงก่อนไม่นาน สังเกตได้ว่าใบหน้าสดสวยเศร้าหมองและขอบตาบวมช้ำ
“เป็นอะไรมาน่ะ? ว่าจะไม่ทักแล้วนะนังพาย อกหักจากคุณอามาอีกล่ะสิ”
“เปล่า... ดีเจมันเปิดเพลงเศร้า ฉันอิน” ปฏิเสธทันที วางกระเป๋าและแท็บเล็ตงานลงบนโต๊ะด้วยความพร้อมในการทำงาน
“แกโอนตังให้พนักงานยังอ่ะ เดือนนี้ติดลบไหม?”
“พอไหวว่ะ แต่กำไรน้อยขนาดนี้ กระเป๋าแกกับฉันรวมกันเท่ากำไรหกเดือนเจ็ดเดือน ฉันว่าเราไปเปิดร้านขายปาท่องโก๋กันดีไหมเพื่อน?” อิงฟ้ายอมเพิกเฉยกับเรื่องที่อีกคนไม่อยากพูดถึง บวกกับว่าหล่อนกำลังรู้สึกเหนื่อยหน่ายกับธุรกิจที่ติดลบ
หลังเรียนจบมาด้วยทุนทรัพย์จากพ่อแม่ ลงหุ้นเปิดบริษัทกันสามคนมีอิงฟ้า ขณิกา พิมพ์ลภัส ปริญญาโทด้านการตลาด มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดไม่ได้ช่วยอะไรสักอย่าง
“ฉันว่า... ปริญญาไม่ต่างจากกระดาษใบเดียว หางานทำ หาเงินยากกว่าเป็นร้อยเท่า” คนบ่นหยิบแป้งตลับออกมาจากกระเป๋าเพื่อจัดการกับสภาพใบหน้าของตัวเองให้ดูดีมากพอไปพบลูกน้องอย่างสง่าผ่าเผย
“แต่จะให้เกาะพ่อแม่กินไปตลอดชีวิตก็ไม่ไหวอ่าเนอะ”
“เออ... ก็ต้องทนกันไป... จนกว่าจำได้ดีล่ะ มันต้องมีสักวัน” ขณิกาบ่นปนให้กำลังใจเพื่อนและตัวเอง
ขณะที่อิงฟ้ามีเรื่องคันปากอยากเม้าส์กับกลุ่มเพื่อนสนิทจนตัวสั่น วางแก้วพลาสติกในมือลง ลดน้ำเสียงลงเอ่ย
“เออ... พาย แกได้ข่าวยัยวาป่ะ ฉันได้ยินว่านางรับช่วงต่อบริษัทโฆษณาจากพ่อ ที่นางชอบโม้อ่ะว่าเปิดเป็นเจ้าแรกรุ่นเดอะอะไรของนางสักอย่าง นางลงเฟซไปเที่ยวดิสนีย์แลนด์กับหนุ่มหล่อด้วยนะ ดูอู้ฟู่เชียว”
แค่ได้ยินชื่อเพื่อนร่วมรุ่นอีกคน ขณิกาชะงักนิ่ง เก็บแป้งใส่กระเป๋าด้วยหน้าตาเจื่อน ๆ
“ออ... ก็ดีนะ ฉันดีใจกับนางด้วย” แน่ว่าเธอโกหก ในเมื่อมันไม่ได้เป็นอย่างที่พูดเลย
อิงฟ้ากระแทกแก้วพลาสติกลงบนโต๊ะกระจกจนน้ำสีน้ำตาลเข้มข้างในกระเด็นเปรอะเปื้อนอย่างโมโห
“แต่ฉันหมั่นไส้! ฉันว่านางสร้างภาพ หนุ่มหล่อรวยอะไรนั่นเหรอ? ถ้าไม่ใช่เรื่องบนเตียงจะเอานาง ไม่แมงดาก็พวกหลอกฟัน”
“คงจะจริงอย่างที่แกว่ามั้ง...” ขณิกาทำเอออตาม
ด้วยความที่เธอเป็นเด็กดี ถึงจะจบเมืองนอกมาพร้อมวัฒนธรรมต่างชาติ ความเรียบร้อยช่างพูดดูน่าหมั่นไส้กับผู้หญิงด้วยกันเอง เธอจึงเป็นฝ่ายถูกกระทำมาตลอด
‘บูลลี่’ ขณิกานั้นโดนมาสารพัดจนห่างไกลคำว่าอ่อนแอ กลายเป็นว่าเธอคือผู้ชินชากับความเศร้า การกดขี่ข่มเหงซึ่งเคยสัมผัสมาหลากหลายรูปแบบ
