หัวใจที่แตกสลาย
เจียงลี่เสวี่ย หญิงสาววัย 24 ปี ผู้เพิ่งสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทสาขาบริหารธุรกิจระหว่างประเทศ เธอมีรูปร่างเพรียวระหง สูง 165 เซนติเมตร ผมยาวสลวย รับกับใบหน้าที่สวยสะดุดตา เธอมีลักยิ้มสองข้าง และดวงตากลมโต ขนตางอนยาวดูแล้วมีเสน่ห์ ใครที่พบเจอเธอต่างก็ตกหลุมรักเธอแทบทุกคน
ลี่เสวี่ยเคยเชื่อมั่นว่าความรักที่เธอมีต่อหานเจิ้งหาว ชายหนุ่มผู้เพียบพร้อม ทั้งรูปลักษณ์โดดเด่น มาดเท่ และดีกรีวิศวกรปริญญาโทจะเป็นรักแท้ที่มั่นคงตลอดไป แม้เขาจะเป็นที่หมายปองของหญิงสาวมากมาย แต่เธอก็มั่นใจในสายสัมพันธ์ระของเขาและเธอ
ตลอดระยะเวลาสองปีที่คบหากัน ลี่เสวี่ยยึดมั่นในความสัมพันธ์ที่ให้เกียรติและเคารพซึ่งกันและกัน เธอไม่เคยปล่อยให้เขาล่วงเกินมากไปกว่าการจับมือ เพราะสำหรับเธอ รักแท้ไม่ได้วัดกันที่การครอบครอง แต่คือความเข้าใจและความมั่นคงที่มีให้กันเสมอมา
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ลี่เสวี่ยเหลือบมองหน้าจอพลางยิ้มบางๆ คิดว่าอีกฝ่ายคงโทรมาชวนเธอไปดูหนังตามที่นัดกันไว้ เธอกดรับสายด้วยความคาดหวัง
“ลี่เสวี่ย วันนี้ผมไม่ว่างไปรับคุณไปดูหนังนะ ผมติดงานจริงๆ ไว้ผมจะไปหาคุณวันหลังนะครับ... คิดถึงคุณนะ”
น้ำเสียงของเจิ้งหาวฟังดูรีบเร่ง แต่ก็ยังคงอ่อนโยนแบบที่เขาเป็นเสมอ ลี่เสวี่ยถอนหายใจนิดๆ แม้จะผิดหวัง แต่เธอไม่ได้เอะใจอะไร เธอเข้าใจดีว่างานของเขายุ่งแค่ไหน
“ถ้าคุณติดงาน ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไปกับชิงหยูก็ได้” เธอตอบเสียงเรียบ ก่อนกดวางสาย แล้วรีบโทรหาเพื่อนรักทันที
เสียงสัญญาณดังอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เธอจะได้ยินเสียง ของชิงหยูลอดมาตามสาย
“ที่รัก ปล่อยก่อนค่ะ! ลี่เสวี่ยโทรหาฉันแล้ว” ชิงหยูเหมือนบอกใครสักคน
เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย เสียงของชิงหยูฟังดูรีบร้อน แฝงไปด้วยความกระวนกระวาย
“ขอกอดขอหอมหน่อย คุณก็คุยไปนะ นิดเดียว ๆ ผมไม่เสียงดัง” น้ำเสียงผู้ชายอีกคนแทรกเข้ามาอย่างเย้าแหย่
“อ๊ะ... ที่รัก” เสียงหัวเราะคิกคักดังขึ้น ตามด้วยเสียงกระแอมเบา ๆ ของชิงหยู
“ฮัลโหลจ้า ลี่เสวี่ย ว่ายังไงเหรอ?”
ลี่เสวี่ยนิ่งไปเสี้ยววินาที แม้จะรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่างจากบรรยากาศทางนั้น แต่เธอก็ไม่ได้ติดใจอะไร
“ฉันจะชวนเธอไปเดินเล่นหน่อย เหงา...อยากไปช้อปปิ้งสักหน่อย ไปด้วยหันไหม”
ลี่เสวี่ยชวนเพื่อนรักของเธอ
“แย่จัง ฉันต้องไปหาพ่อกับแม่ที่ต่างจังหวัด ไม่สะดวกเลย ไว้คราวหน้านะเพื่อนรัก”
คำตอบถูกเอื้อนเอ่ยขึ้นอย่างรวดเร็ว… เร็วจนน่าสงสัย ราวกับว่าอีกฝ่ายเตรียมคำตอบไว้ล่วงหน้าแล้ว
“ไม่เป็นไรเลย เดี๋ยวฉันไปคนเดียวก็ได้จ้ะ”
เธอได้วางสาย แม้ในใจจะรู้สึกแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก บางทีเธออาจจะคิดมากไปเอง ทุกคนคงยุ่งกันหมด... ใช่ไหม?
ตลอดเวลาที่คบหากับเจิ้งหาว ชิงหยูก็มักจะไปไหนมาไหนกับเธอและเขาเสมอ เธอเห็นทั้งสองเป็นเพื่อนที่สนิทกัน เลยไม่ได้สงสัยในความสัมพันธ์ของทั้งคู่
หลังจากจบการศึกษาจากต่างประเทศ ลี่เสวี่ยก็ตัดสินใจกลับมาไต้หวันเพื่อฝึกงานกับลุงของเธอ เจียงเทียนหลาง นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างที่มีชื่อเสียง หนึ่งในหุ้นส่วนที่ร่วมงานกับลุงเธอบ่อยๆ ก็คือ กู้ซือเฉิน
ชายหนุ่มที่ได้รับฉายาว่า "ประธานกู้" เป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่ไฟแรงแห่งวงการอสังหาริมทรัพย์ รูปร่างสูงโปร่งถึง 183 เซนติเมตร ใบหน้าคมสัน ดูดีแบบสุขุมและน่าเกรงขาม ดวงตาลึกซึ้งที่ซ่อนประกายบางอย่างไว้นั้น ทำให้ใครๆ ต่างรู้สึกเหมือนกำลังถูกอ่านความคิด คิ้วเข้ม ขนตายาวงอนเพียงเล็กน้อย เพิ่มเสน่ห์ให้กับใบหน้าที่ดูสุขุมอยู่เสมอ
เช้าวันนี้...
กู้ซือเฉินมาที่บ้านของเจียงเทียนหลางเพื่อนัดหารือเรื่องธุรกิจ ขณะที่ลี่เสวี่ยเพิ่งแต่งตัวเสร็จ เธอรีบวิ่งลงบันไดด้วยท่าทางกระฉับกระเฉงเต็มไปด้วยพลังงานสดใส
“อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณลุง” เธอทักทายพร้อมรอยยิ้มสดใส
เจียงเทียนหลางเหลือบมองนาฬิกาข้อมือก่อนขมวดคิ้วเล็กน้อย
“นี่มันจะสิบโมงแล้ว เพิ่งตื่นเหรอ?”
“หนูตื่นนานแล้วค่ะ คุยกับเพื่อนอยู่” เธอตอบเสียงใส
ขณะที่พูด เธอเพิ่งสังเกตเห็นชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างลุงของเธอ บุคคลที่หล่อสมาร์ทดูภูมิฐานและเคร่งขรึมจนน่าหวาดหวั่น
“สวัสดีประธานกู้สิ เขาเป็นรุ่นน้องของลุงเอง”
ลี่เสวี่ยมองเขาแวบหนึ่งก่อนคลี่ยิ้มบางๆ กล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย
“สวัสดีค่ะ คุณลุงกู้”
กู้ซือเฉินชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำว่า ลุง ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นนิดหนึ่ง แต่ก็พยักหน้ารับเงียบๆ ดวงตาคมกริบยังคงจับจ้องเธอไว้ แววตาอ่านยากทำให้เธอรู้สึกเหมือนกำลังถูกพิจารณา
“ลี่เสวี่ย เรียกเขาว่าลุงทำไม? เขาอายุห่างจากเธอแค่สิบเอ็ดปีเอง”
หญิงสาวยักไหล่น้อยๆ ยังคงเจ้าเล่ห์อยู่เสมอ
“ก็คุณลุงกู้เป็นเพื่อนของลุง หนูเรียกแบบนี้ก็ไม่น่าจะเป็นไรใช่ไหมคะ คุณลุงกู้?”
เธอเน้นคำว่า ลุงกู้ อย่างจงใจ รอยยิ้มขี้เล่นฉายชัดบนใบหน้า ทว่าชายหนุ่มตรงหน้ากลับไม่มีท่าทางอะไรเป็นพิเศษ นอกจากพยักหน้ารับเบาๆ
“โห ผู้ชายอะไร ขี้เก๊กชะมัด” ลี่เสวี่ยแอบคิดในใจ
“ลี่เสวี่ย เพิ่งมาอยู่ที่นี่ ให้ประธานกู้พาเที่ยวไหม? วันนี้เขาว่างพอดี”
ลี่เสวี่ยชะงักไปเล็กน้อยก่อนตอบกลับ
“เกรงใจค่ะ ไม่อยากรบกวนลุงเขาค่ะลุงเจียง”
“ไม่เป็นไรครับ ผมว่างพอดี”
เสียงทุ้มเรียบเอ่ยขึ้น ราบเรียบและไร้อารมณ์เหมือนเคย
เธอคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าตกลง
“ก็ได้ค่ะ งั้นไปห้างกันนะคะ หนูจะไปซื้อของขวัญวันเกิดให้เจิ้งหาว”
ได้ยินชื่อ เจิ้งหาว ลุงเจียงชะงักไปเล็กน้อย
“ไอ้แฟนที่ไม่เอาไหนของเธอน่ะเหรอ?”
ลุงเจียงขมวดคิ้วพูดขึ้น
“คุณลุง! หนูก็รักของหนูนะคะ เขาไม่ได้เจ้าชู้อย่างที่ลุงคิดสักหน่อย ลุงน่ะอคติกับเขาเกินไปแล้ว”
สายตาของกู้ซือเฉินดูเหมือนไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก ทว่าลึกๆ แล้วกลับมีความรู้สึกบางอย่างแทรกเข้ามา... เธอมีแฟนแล้วงั้นเหรอ?
“รถผมจอดอยู่ข้างหน้า เชิญคุณลี่เสวี่ยเลยครับ”
น้ำเสียงเรียบเฉยไม่มีอะไรผิดปกติ แต่เธอกลับรู้สึกเหมือนบรรยากาศรอบตัวเขาเย็นลงนิดหน่อย
ลี่เสวี่ยหัวเราะเบาๆ ขณะตอบกลับ
“เรียกลี่เสวี่ยก็ได้ค่ะ”
จากนั้นเธอก็เดินนำออกไปโดยไม่รอเขา ประธานกู้มองตามแผ่นหลังเล็กๆ ของหญิงสาวก่อนจะลุกขึ้นเดินตามออกไปอย่างเงียบๆ
"ผมกลับก่อนนะครับพี่เจียง เดี๋ยวแวะมาส่งลี่เสวี่ยให้ไม่ต้องห่วง"
"ขอบใจมากนะประธานกู้ฝากลี่เสวี่ยด้วย"
"ครับพี่เจียง" เขาตอบรับเรียบๆ
บรรยากาศภายในรถเงียบสงบ มีเพียงเสียงเครื่องยนต์ที่ขับเคลื่อนไปตามถนนกว้าง ลี่เสวี่ยนั่งอยู่เบาะข้างประธานกู้ ในขณะที่คนขับรถเป็นผู้รับหน้าที่พาทั้งคู่ไปห้างสรรพสินค้า
"คุณลุงกู้รู้จักกับลุงของฉันมานานแล้วเหรอคะ?"
"ใช่เราทำธุรกิจร่วมกัน ต่างช่วยเหลือกันมานาน"
ทั้งคู่สนทนากันครู่หนึ่ง ทันทีที่รถหยุดติดไฟแดง ลี่เสวี่ยเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง ก่อนที่รอยยิ้มของเธอจะเลือนหายไป ใบหน้าของเธอร้อนผ่าวขึ้นมาทันทีที่เห็น
รถสปอร์ตสีแดงสดที่จอดอยู่เลนข้างๆ ที่ดึงดูดสายตาของเธออย่างไม่ตั้งใจ และในรถคันนั้น…
"...."
เธอเห็น ชิงหยู เพื่อนรักของเธอ กำลังจูบกับ เจิ้งหาว แฟนของเธอนั้นเอง
หัวใจของลี่เสวี่ยเหมือนถูกบีบแน่นจนแทบหายใจไม่ออก สองมือเย็นเฉียบ ความเจ็บปวดพุ่งทะลวงราวกับคมมีดกรีดลงกลางอก
"บ้าเอ๊ย..." เธอพึมพำเสียงสั่น ก่อนรีบเอื้อมมือไปจับที่เปิดประตู หวังจะลงไปถามให้รู้เรื่อง
แต่ก่อนที่เธอจะทำเช่นนั้น
มือหนาและแข็งแกร่งของประธานกู้คว้าข้อมือของเธอไว้แน่น
"มีอะไรหรือเปล่า? ทำไมสีหน้าคุณดูไม่ดีเลย?" น้ำเสียงของเขาติดจะเรียบนิ่ง แต่กลับแฝงความเป็นห่วงอย่างไม่ปิดบัง
ลี่เสวี่ยนิ่งไป ดวงตาเริ่มคลอไปด้วยน้ำตาที่เอ่อล้นไม่อาจกักเก็บไว้ได้ ความเจ็บปวดตีตื้นขึ้นมาจุกแน่นอยู่ในลำคอ
"คนทรยศ..." เธอพึมพำ เสียงสั่นเครือ
"ทั้งเพื่อนทั้งแฟน"
ประธานกู้ไม่ได้พูดอะไร เขาแค่มองเธอเงียบๆ ก่อนจะเหลือบสายตาไปยังรถสปอร์ตสีแดงคันนั้น
แล้วเขาก็เข้าใจทุกอย่าง...
มือหนาของชายหนุ่มเอื้อมไปลูบไหล่เธอเบาๆ เป็นเชิงปลอบโยน ไม่ได้พูดคำว่า "ไม่เป็นไร" หรือ "อย่าร้องไห้เลย"
เพราะรู้ดีว่าไม่มีคำไหนที่สามารถลบล้างความเจ็บปวดนี้ได้
แต่ลี่เสวี่ยกลับกัดฟันแน่น ดวงตาเต็มไปด้วยเปลวเพลิงแห่งความโกรธแค้น
"ตามรถคันนั้นไป" เสียงของเธอหนักแน่น เจือไปด้วยความเย็นเยียบของพายุที่กำลังจะก่อตัว
ประธานกู้ปรายตามองหญิงสาวข้างกาย ก่อนพยักหน้าให้คนขับรถทำตามคำสั่งของเธอ
ทันทีที่สัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว
รถของประธานกู้เปลี่ยนเส้นทางทันที พุ่งทะยานตามหลังรถของคู่รักทรยศไป... ไม่มีวันปล่อยให้หนีรอด!
รถสปอร์ตคันหรูแล่นเข้าสู่ลานจอดของร้านอาหารระดับไฮเอนด์
ไฟนีออนสีทองอร่ามสะท้อนบนพื้นกระเบื้องมันเงา หน้าร้านถูกตกแต่งอย่างประณีต ทุกอย่างถูกเตรียมไว้ราวกับฉากในละคร แต่แท้จริงแล้ว มันคือเวทีของความหักหลัง
ลี่เสวี่ยมองภาพตรงหน้าด้วยหัวใจที่เหมือนถูกบีบแน่น
ภายในร้านโต๊ะหรูถูกจัดอย่างมีระดับ บนโต๊ะมีไวน์ชั้นดีและเทียนไขวาวโรจน์ ชิงหยูเดินควงแขนเจิ้งหาว ยิ้มหวานราวกับเป็นเจ้าหญิงในค่ำคืนพิเศษ มือของเธอกระชับช่อดอกไม้ช่อโตที่ได้รับจากชายคนข้างกาย
...ทุกการกระทำของพวกเขา เธอเห็นมันชัดเจนทุกสายตา
หัวใจลี่เสวี่ยหล่นวูบ ความรู้สึกเย็นเฉียบไหลเวียนไปทั่วร่าง แต่เธอไม่รอให้ความเจ็บปวดกัดกินจิตใจนานกว่านั้น
เธอก้าวเข้าไปข้างใน อย่างไม่ลังเล
“เพียะ!”
เสียงฝ่ามือกระทบใบหน้าดังสนั่นไปทั่วร้าน เงียบกริบ... ทุกสายตาหันมามองต้นเหตุ
ชิงหยูเบิกตากว้าง ตะลึงงัน เจิ้งหาวเองก็ผงะไปเล็กน้อย
แต่ลี่เสวี่ยไม่สนใจ
“พวกแกมันเลวทั้งคู่!” เสียงของเธอสั่น แต่เต็มไปด้วยความโกรธที่พุ่งทะลักออกมา ดวงตาร้อนผ่าว แต่น้ำตาไม่ได้ไหลลงมา เธอจะไม่ร้องไห้ให้คนพวกนี้เห็น
เธอตวัดสายตามองเจิ้งหาว
“แกเป็นผู้ชาย ฉันยังพอเข้าใจว่าสันดานเจ้าชู้มันแก้ไม่ได้... แต่ชิงหยู... แกเป็นเพื่อนรักฉัน! แกกล้าทำแบบนี้กับฉันได้ยังไง!?”
ชิงหยูรีบคว้าแขนลี่เสวี่ย หวังจะอธิบายอะไรบางอย่าง แต่ถูกสะบัดออกอย่างแรง ก่อนจะโดนตบซ้ำเข้าไปอีกครั้ง!
ความเงียบปกคลุมทั่วบริเวณ มีเพียงเสียงหายใจหอบของลี่เสวี่ยที่ดังสะท้อน
เธอสูดลมหายใจเข้าลึก พยายามควบคุมตัวเองให้มั่นคงที่สุด ก่อนประกาศด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
“พอกันที! แฟนเลวๆ กับเพื่อนทรยศ ต่อจากนี้อย่าได้มาเจอหน้ากันอีก!”
เธอไม่อยากให้ใครเห็นว่าเธอกำลังเจ็บ ไม่อยากให้พวกมันคิดว่าเธอเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
เจิ้งหาวรีบเอื้อมมือมาจับเธอไว้ พยายามยื้อโอกาสสุดท้าย
“ลี่เสวี่ย ฟังผมก่อน... มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิด”
“กี่ครั้งแล้ว?”
เสียงของเธอเย็นเยียบ ราวกับคมมีดที่กรีดลงกลางใจชายหนุ่ม
“แกไปนอนกับมันมากี่ครั้งแล้ว?”
เขาชะงักไป... นิ่งสนิท
แววตาของลี่เสวี่ยเปลี่ยนเป็นเหยียดหยาม เธอแค่นหัวเราะออกมาเบาๆ
“สกปรก...”
“ฉันดีใจนะ ที่ฉันไม่เคยให้แกแตะต้องตัวฉันเลย ไม่อย่างนั้นฉันคงต้องรู้สึกขยะแขยงตัวเองไปตลอดชีวิต”
ชิงหยูที่ยืนฟังอยู่ ยกมุมปากขึ้น แสยะยิ้มเล็กน้อยราวกับเป็นผู้ชนะ
“ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ? ขอบคุณนะที่ยกเจิ้งหาวให้ฉัน”
เธอเอ่ยเสียงหวาน ก่อนยักไหล่อย่างไม่แยแส “ช่วยไม่ได้... เธอมันจืดชืดเอง เธอให้ในสิ่งที่เขาต้องการไม่ได้”
ทุกคำพูดที่ออกจากปากของชิงหยู คือมีดที่กรีดลงกลางอกลี่เสวี่ย
เธอรู้สึกเหมือนอากาศรอบตัวกำลังบีบคั้น น้ำตาที่พยายามสะกดกลั้นเอ่อล้นออกมาจนได้ แต่เธอจะไม่แสดงความอ่อนแอให้เห็น
เจิ้งหาวเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนเอ่ยออกมาเสียงหนัก
“ลี่เสวี่ย ผมขอโทษนะ... แต่ระหว่างผมกับชิงหยู เราไปไกลกันมากแล้ว”
เขาเอื้อมมือไปลูบท้องหญิงสาวข้างกายเบาๆ
“เธอกำลังจะมีลูกของผม”
คำพูดของเขาราวกับสายฟ้าฟาดลงกลางใจ
หัวใจของลี่เสวี่ยกระตุกวูบ หูอื้อไปหมด ร่างกายสั่นสะท้าน... แต่เธอยังคงยืนหยัดอยู่ตรงนี้
เธอกระพริบตาช้าๆ ไล่น้ำตาทิ้ง ก่อนจะเหยียดริมฝีปากขึ้นเป็นรอยยิ้มบางๆ ที่ไร้ซึ่งความรู้สึก
“ขอให้พวกแก... เวรกรรมตามทัน อย่าได้มีความสุขตลอดชีวิต”
“ต่อจากนี้ไป ฉันกับพวกแกไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก”
เธอคว้าช่อดอกไม้จากโต๊ะขึ้นมา ก่อนโยนลงพื้นแล้วเหยียบมันเต็มแรง
ดอกไม้แหลกละเอียดใต้ฝ่าเท้า... เหมือนหัวใจของเธอในตอนนี้
เธอปาดน้ำตาทิ้งแรงๆ บอกตัวเองว่า ฉันไม่อ่อนแอ
แม้ว่าภายใน... มันจะกำลังพังทลายลง
ประธานกู้ที่ยืนอยู่ห่างๆ รับรู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้น เขามองหญิงสาวตรงหน้า... เห็นเธอพยายามเข้มแข็งทั้งที่ข้างในแทบจะพังไม่เป็นชิ้นดี
เขาก้าวเข้ามาหาเธอ ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ
“ไปกันเถอะ”
ลี่เสวี่ยเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนก้าวเดินออกไปโดยไม่หันกลับมามองสองคนนั้นอีก
ประธานกู้เดินเคียงข้างเธอ พาเธอขึ้นรถ ปล่อยให้เจิ้งหาวกับชิงหยูยืนงุนงงอยู่กลางร้านอาหารที่ยังคงเงียบกริบ
เรื่องของพวกมันจบแล้ว
...แต่เรื่องของเธอกับเขา—เพิ่งจะเริ่มต้น