บท
ตั้งค่า

บทที่2.จบตอน

“นี่พวกเธอกำลังจะทำอะไร หยุดนะ นั่นมันหีบของคุณแม่ฉัน หยุดนะ อย่าแตะต้องมัน” บุษบาที่หายตกตะลึงร้องเสียงหลงและเข้าไปปัดมือของสองสาวรับใช้ที่กำลังใช้ของแข็งงัดกุญแจที่ลงสลักไว้อย่างดีของหีบใบเก่าคร่ำคร่านั้น ด้วยความหวงแหนและเจ็บช้ำที่สมบัติเก่าแก่ของมารดากำลังจะถูกย่ำยี ในขณะที่คุณยายมาศนั่งกอดหลานสาวตัวน้อยแน่นมองดูการกระทำของหญิงทั้งสามด้วยความเจ็บช้ำ ดวงใจที่ชราอ่อนล้าเต็มกำลัง...

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ น้อย นวล” เสียงทรงอำนาจของผู้เป็นใหญ่แห่งตึกจันทร์เอ่ยขึ้นหนักแน่น พร้อมร่างบอบบางของ คุณแม่ใหญ่ลุกขึ้นจากที่นั่งเดินตัวตรงงามสง่ามาที่หญิงทั้งสามซึ่งกำลังยื้อยุดกันอยู่ น้อยกับนวล บ่าวผู้ภักดีของคุณสายสนมรีบปล่อยมือจากหีบในนั้นและปรี่ไปหลบอยู่หลังนายของตนทันที ส่วนบุษบานั้นกอดหีบใบเก่าแน่นพลางกระถดกายหนีห่างจากคนใจร้ายมานั่งร้องไห้อยู่เคียงข้างมารดาแล้วกอดหนูบัวที่ผละจากอกของผู้เป็นยายมากอดมารดาแน่นเช่นกัน

คุณสายสนมมองดูสามแม่ลูกที่นั่งกอดกันร้องไห้ด้วยใจริษยา แล้วหันมาต่อตากับผู้เป็นพี่สาว ใบหน้างดงามที่ถูกแต่งแต้มอย่างประณีตนั้นเชิดขึ้นอย่างถือดี

“พี่หนึ่งเข้าข้างมัน พี่หนึ่งรักมัน รักมันกว่าน้องของพี่เอง ขนาดพี่หนึ่งเห็นกับตาว่ามันเป็นหัวขโมยพี่ก็ปกป้องมัน”

“พี่ยังไม่ได้พูดอะไรหรือทำอะไรที่เป็นการปกป้องบุษบาเลยนะสอง เธอทำเธอคิดเองทั้งนั้น แล้วเรื่องนี้พี่ก็คิดว่ามันมีที่มาที่ไป และหากจะสืบสาวกันจริงๆ พี่คิดว่าเราอาจจะได้ตัวการที่แท้จริงมาลงโทษ และคดีเก่าก่อนก็อาจจะเปิดเผย หรือเธอคิดว่าอย่างไรล่ะสอง...”

คุณสายสุนีย์เอ่ยเสียงเรียบทว่ามั่นคงจริงจังจนผู้เป็นน้องสาวที่เชิดหน้าหยิ่งผยองเมื่อครู่ซีดลงทันตาแต่ก็ไม่วายเอ่ยกลบเกลื่อนพิรุธตนด้วยน้ำเสียงที่ไม่ลดทอนความร้ายกาจ

“แต่ว่ามันก็สมควรต้องถูกทำโทษที่บังอาจขโมยของของสอง”

“เอาเป็นว่าเธอจะให้พี่ทำโทษบุษบาด้วยข้อหาขโมยอย่างนั้นหรือสอง เธอแน่ใจนะว่าต้องการแบบนั้น” คุณสายสุนีย์มองหน้าผู้เป็นน้องสาวนิ่ง ใบหน้างดงามหวานหยดนั้นแม้จะล่วงสู่วัยที่ชราลงก็ยังงามพร้อมอยู่นั้นดูเย็นชา และดวงตาที่มองผู้มีสายเลือดเดียวกันนั้น...ว่างเปล่า...

“ฉันขอประกาศให้ทุกคนรู้ตรงนี้ ให้ทุกคนจงฟัง และนี่คือคำสั่งหากมีใครขัดขืนหรือไม่เห็นด้วยก็จงเก็บข้าวของออกไปจากที่นี่เสียเดี๋ยวนี้เลย...” เสียงทรงอำนาจของคุณสายสุนีย์ดังขึ้นพร้อมกับกราดมองทุกคนด้วยแววตาที่กร้าวแกร่งซึ่งไม่มีใครเคยเห็น คุณแม่ใหญ่ผู้ใจดีในอารมณ์แบบนี้นักแม้แต่คุณสายสนม นี่เป็นครั้งแรกที่ทุกคนในตึกจันทร์ต้องนึกเกรงคุณแม่ใหญ่ที่สุดในชีวิต...

“เรื่องในวันนี้จะไม่มีใครพูดถึง มันจะเป็นเพียงสายลมที่พัดผ่าน จะไม่มีใครพูดถึงมันอีกตลอดกาล” เพียงเท่านั้นที่คุณแม่ใหญ่พูด

“แต่พี่หนึ่งคะ สองไม่ยอมนะคะ” คุณสายสนมกรีดร้องขัดขึ้นใบหน้าสวยประเติมแต่งนั้นบึ้งตึงแดงก่ำ แทบเต้นเร่าด้วยความขัดเคือง

“ฉันบอกไปแล้วนะว่า หากใครไม่พอใจหรือมีข้อขัดข้องก็เก็บข้าวของออกไปจากที่นี่ได้ทันที”

คุณสายสุนีย์พูดเสียงเย็นอย่างไม่แยแสผู้เป็นน้องสาวที่เต้นเร่าๆ แล้วหันไปสั่งให้น้อยและนวลเก็บข้าวของที่รื้อค้นออกมาใส่กลับที่เดิมให้เรียบร้อยแล้วก็สั่งให้คนขับรถนำกระเป๋าของทั้งสามแม่ลูกใส่รถยนต์คันใหญ่ของบ้านจันทรโสภากุล และเดินนำทั้งสามแม่ลูกไปที่รถก่อนจะพาทั้งสามชีวิตนั้นออกไปจากรอบรั้วของ อาณาจักรจันทรโสภากุล ท่ามกลางเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บใจของคุณสายสนมที่หวีดร้องอยู่เบื้องหลัง

หนูบัวหันกลับไปมองตึกจันทร์เป็นครั้งสุดท้าย ก็ได้พบว่าที่หน้าตึกนั้นทุกคนต่างออกมายืนมองรถคันใหญ่ที่ค่อยๆ เคลื่อนออกมา และคุณสายสนมกับคุณสิริจันทร์ก็เต้นเร่าๆ หวีดร้องกรี๊ดๆ อยู่หน้าตึกนับตั้งแต่วันนั้นจนบัดนี้ที่เธอออกมาจากสถานที่ที่เกลียดแสนเกลียดก็สิบหกปีพอดีในวันนี้ วันเกิดของเธอ...

“หนูบัว เหม่ออีกแล้วนึกถึงอดีตอีกล่ะสิ..”

เสียงแดนิชดังขึ้นและมือเรียวยาวของเขาก็เอื้อมมาเช็ดเบาๆ ที่แก้มใสซึ่งมีหยดน้ำเล็กๆ ไหลรินอย่างอ่อนโยน

“มันผ่านไปแล้วหนูบัวจะคิดถึงมันอีกทำไม”

เขาโอบศีรษะเล็กๆ นั้นแนบอกกว้างของตน ตวิษากับไซม่อนมองดูทั้งสองด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรักและเห็นใจเพราะรู้ที่มาที่ไปของทั้งสองเป็นอย่างดี

“หนูบัวแค่คิดถึงคุณแม่กับคุณยาย”

“แดนเชื่อว่าคุณยายมาศกับคุณน้าบุษคงไม่สบายใจแน่ๆ หากหนูบัวคิดถึงพวกท่านแต่ต้องมานั่งเจ็บช้ำและเสียน้ำตาแบบนี้”

“หนูบัวขอโทษที่ทำให้เสียบรรยากาศ ดูสิทุกคนอุตส่าห์จัดงานวันเกิดที่ดีที่สุดเพื่อหนูบัวแต่หนูบัวกลับมานั่งน้ำตาซึม” บัวบุษราเอ่ยเสียงอ่อย

“ไม่เป็นไรเราเข้าใจ มาเถอะเรามาตัดเค้กกัน” ตวิษาเอ่ยปลอบและยกเค้กแสนสวยมาวางตรงหน้าทุกคนก็ร้องเพลงและอวยพรวันเกิดให้สาวน้อยแสนสวยท่ามกลางบรรยากาศที่แสนอบอุ่นในคอนโดสุดหรูแห่งนี้

“เรื่องที่ให้จัดการไปถึงไหนแล้ว” เสียงห้าวทรงอำนาจดังออกมาจากริมฝีปากหยักหนาได้รูปของชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ผู้บริหารตัวโตซึ่งกำลังหันหน้าออกไปยังเบื้องนอกห้องทำงานของตน ซึ่งมองเห็นเวิ้งอ่าวที่งดงามของ ริโอ เดอจาเนโร (Rio De Janeiro) และมองเห็น ยอดเขาชูการ์โลฟ (Sugaloaf Mountaion) ที่ตั้งเด่นตระหง่านอยู่บนปลายแหลมปากอ่าว กวานาบารา และชายหาดชื่อกระฉ่อน โคปา คาบาน่า (CopaCabana) ก่อนที่ร่างสูงใหญ่จะลุกขึ้นยืดตัวเต็มความสูง 188 เซนติเมตร หันมามองคนที่เข้ามารายงานด้วยประกายตาดุดันอย่างเคยชิน

มาร์คัส คริสเตียนโน่ มาเวลส์ ชายหนุ่มลูกครึ่งอเมริกัน บราซิลเลี่ยน วัยสามสิบสามปี ที่แสนจะสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างสูงใหญ่และสีผิวที่บ่งบอกเชื้อชาติสีแทนออกแดงนั้น ใบหน้าเรียวยาวได้รูปที่ประดับด้วยคิ้วหนายาวจรดหางตา ดวงตาคมใหญ่สีน้ำตาลคมเข้มที่หากเจ้าตัวมีอารมณ์ฉุนเฉียวหรือโกรธกร้าว ดวงตาคู่นั้นจะมืดดำราวราตรีที่ไร้ดาวเลยทีเดียว จมูกโด่งเป็นสันสวย รับกับริมฝีปากหยักหนาสีเข้มได้รูป และเรือนผมสีดำมันเงาตัดเล็มอย่างประณีตรับกับใบหน้าหล่อเหลานั้น เขาดูงามสง่าราวเทพบุตร และหญิงสาวทั้งบราซิลต่างก็ใฝ่ฝันอยากเป็นหญิงสาวผู้โชคดีได้ครอบครองชายหนุ่มผู้ทรงอิทธิพล และร่ำรวยมหาศาล แม้เพียงแค่ได้เป็นคู่นอนชั่วคราวเพียงแค่ข้ามคืนก็ตาม

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel