บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 8 เปิดใจ

“เจ้ามาอยู่ที่นี่นานหรือยัง แล้วเคยมีศัตรูมารุกรานถึงหมู่บ้านหานเฉิงหรือไม่?”

ไป๋เยี่ยนหรูละสายตาออกจากกองฟืนที่นางนำมากองรวมกันไว้ “ข้าอยู่ที่นี่มาเกือบสองเดือนแล้วกระมัง หมู่บ้านนี้อยู่ห่างไกลจากตัวเมืองมีผืนป่าปกคลุมพบเห็นได้ยาก ได้ยินว่าน้อยนักที่จะมีศัตรูผ่านทางมาสำรวจ”

นางหยุดพูดไปครู่หนึ่ง แล้วหันมามองอู่หลิงเยว่ด้วยแววตาเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น “แต่แม่ทัพเซี่ยเก่งมากเลยนะ เขามักจะพากำลังทหารกลุ่มหนึ่งออกไปซุ่มดูตามแนวป่า ถ้าเห็นข้าศึกเข้ามาใกล้เกินไป เขาก็จะรีบจัดการให้หมดก่อนที่ที่ซ่อนของเราจะถูกเปิดเผย”

อู่หลิงเยว่พลันคิดถึงนายทหารรูปหล่อที่นางเคยพยายามช่วยชีวิตเอาไว้ เขาคงเป็นหนึ่งในทหารที่ออกไปลาดตระเวนแล้วพบเข้ากับศัตรูที่วิ่งไล่ล่านางกับชาวบ้านคนอื่นๆ ในวันนั้นเป็นแน่

เช่นนั้นแล้วก็หมายความว่า วันนั้นกลุ่มทหารที่นำโดยแม่ทัพเซี่ยจัดการศัตรูที่ผ่านทางมาไปได้ทั้งหมด ชาวบ้านที่วิ่งหนีตายมาอย่างนางจึงรอดชีวิตมาได้ 

เสียดายที่สหายคนแรกในโลกใหม่ของนางไม่มีโอกาสรอดชีวิต..

หญิงสาวถอนหายใจเบาๆ  “ทหารสามร้อยคนก็ไม่น้อยๆ เลย ถ้าไม่เจอกองกำลังใหญ่จากศัตรูเราก็ยังมีโอกาสรอด ปัญหาอย่างเดียวของพวกเราก็คือเสบียงอาหาร หากอดทนได้นานพอที่สงครามจะจบสิ้นไปแล้วจริงๆ ก็ไม่มีอะไรน่าห่วง" นางกล่าวคล้ายบอกตัวเอง

ไป๋เยี่ยนหรูหน้าซีดลงไปเล็กน้อย ก่อนจะขยับตัวมาใกล้อู่หลิงเยว่พลางกระซิบ “หากศัตรูพบหมู่บ้านหานเฉิงเมื่อใด ถ้าไม่ถูกสังหารจนหมดพวกเราก็จะถูกจับเป็นเชลยศึก”

อู่หลิงเยว่ขมวดคิ้วแน่น หัวใจเต้นระรัวขึ้นมาอีกครั้ง “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” นางกระซิบตอบกลับ

“แคว้นเหยียนล่มสลาย ศัตรูจะเข้ามายึดครองแคว้นแทน พวกเขาจะไล่ล่าสังหารทหารและพลเมืองที่ต่อต้าน..”

ร่างเล็กใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม เข้าใจคำพูดของไป๋เยี่ยนหรูอย่างถ่องแท้!

ถ้าศัตรูพบเจอหมู่บ้านธรรมดา พวกเขาก็จะแค่ข่มขู่ให้ยอมจำนนและอีกไม่นานประชาชนก็จะใช้ชีวิตได้ตามปกติภายใต้ผู้ปกครองใหม่

แต่หมู่บ้านหานเฉิงเป็นหมู่บ้านธรรมดาเสียที่ไหนเล่า! 

ที่นี่มีทหารสามร้อย มีชาวบ้านอีกเกือบสี่ร้อยที่รวมใจช่วยเหลือกันอยู่ หากนางเป็นทหารแคว้นหลัวซาน เห็นกองกำลังขนาดย่อมเช่นนี้ นางก็ต้องรีบกำจัดให้สิ้นซาก!

“เหตุใดเจ้าจึงรู้เรื่องเหล่านี้?” หญิงสาวมองไป๋เยี่ยนหรูขึ้นลงด้วยความประหลาดใจ 

เพราะโดยทั่วไปแล้ว สตรีในยุคโบราณมักอยู่แต่ในเรือน ไม่ค่อยได้ใกล้ชิดข่าวสารจากโลกภายนอก ยิ่งเรื่องทุกข์ยากของผู้คนในภาวะสงคราม เช่น ความอดอยาก การอพยพ หรือความหวาดกลัวต่อความตาย ยิ่งหาได้รู้กันง่ายๆ ไม่

แววตาของไป๋เยี่ยนหรูพลันหม่นลง นางเงียบไปครู่หนึ่ง คล้ายชั่งใจระหว่างจะพูดหรือไม่พูด แล้วสุดท้ายก็ตัดสินใจเล่า

“ข้าเป็นบุตรสาวของนายอำเภอจากหัวเมืองทางตะวันออก ยามเกิดศึก บิดาและพี่ชายรีบพาข้ากับคนในตระกูลหลบหนี เรามีกองทหารกลุ่มหนึ่งร่วมทางตั้งใจจะไปยังค่ายทหารใหญ่” เสียงของนางแผ่วลง

“พวกเราถูกซุ่มโจมตีกลางทาง ทหารที่ร่วมทางแตกกระจาย ข้าพลัดหลงกับครอบครัวแล้วหลบหนีไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้เลยว่า บิดา พี่ชาย หรือใครในครอบครัวยังมีชีวิตอยู่หรือไม่”

อู่หลิงเยว่นั่งฟังเรื่องราวทั้งหมดโดยไม่เร่งเร้า เมื่อฝ่ายหนึ่งเล่าเสร็จ อีกฝ่ายกลับเงียบไปอยู่ครู่ใหญ่ 

ในที่สุด เสียงของอู่หลิงเยว่ก็ดังขึ้นช้าๆ “ข้าก็ไม่ต่างจากเจ้านักหรอก”

ไป๋เยี่ยนหรูลอบเหลือบมองนาง พลางขมวดคิ้วเล็กน้อย

“ข้าเกิดในตระกูลพ่อค้าทางใต้ ครอบครัวเรามิใช่คนร่ำรวยนักแต่ก็พออยู่ได้ ไม่เคยคิดว่าจะมีวันใดต้องกลายเป็นศพกลางลานเรือน”

เสียงของอู่หลิงเยว่ยังคงเรียบ แต่ดวงตาแน่นิ่งคล้ายกำลังมองภาพในอดีตที่ไม่มีใครเห็น

“ข้าเห็นบิดา มารดา และญาติพี่น้องถูกสังหารต่อหน้า คนพวกนั้นไม่พูดแม้แต่คำเดียว แค่เข้ามาแล้วก็สังหาร แล้วก็ปล้นชิงทรัพย์สินของเราไปหมด” นางยิ้มบาง แต่อ่อนล้าจนแทบไม่เหลือแววของความเข้มแข็ง

“หลังจากนั้น ข้าก็ไม่เหลืออะไรอีก เดินจากเมืองหนึ่งไปยังอีกเมืองหนึ่ง เห็นผู้คนล้มตาย ได้ยินเสียงเด็กร้องไห้ และกลิ่นคาวเลือด เห็นผู้คนรังแกกันเองจนอยากอาเจียน ทุกอย่างซึมเข้าไปในเนื้อหนังของข้าโดยที่ข้าไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ”

ร่างกายของหญิงสาวสั่นเทิ้ม แม้ว่าทั้งหมดจะเป็นความทรงจำของร่างเดิม แต่นางก็รับรู้และสัมผัสได้ถึงความทุกข์เหล่านั้นราวกับเป็นเรื่องราวของตัวเอง

ไป๋เยี่ยนหรูนิ่งงัน รู้สึกถึงบางอย่างในอกที่กำลังไหลย้อนกลับมา ไม่ใช่แค่ความเจ็บปวดของตนแต่เป็นความเข้าใจ ถึงความสูญเสียที่สะท้อนผ่านถ้อยคำของอีกฝ่าย

“ข้าไม่ได้อยากคิดถึงเรื่องพวกนี้นัก” อู่หลิงเยว่พึมพำ “แต่ข้ารู้ว่า หากเจ้ารอดมาถึงที่นี่ได้เหมือนข้า เจ้าก็เข้มแข็งไม่แพ้กัน”

ไป๋เยี่ยนหรูหัวเราะเบาๆ สีหน้าโศกเศร้าผ่อนคลายลงเล็กน้อย นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อย่างน้อย ตอนนี้เราก็ไม่ได้โดดเดี่ยวเหมือนแต่ก่อน”

อู่หลิงเยว่ยิ้มตอบ พลางถามต่อ

“รู้เช่นนี้แล้วเหตุใดเจ้าจึงยังอยู่ที่นี่เล่า พวกเราควรหนีไปหาหมู่บ้านธรรมดาๆ ที่ไม่มีทหารคุ้มกันน่าจะดีกว่ามิใช่หรือ?”

“เจ้าก็รู้ใช่หรือไม่ว่าเรามิอาจวางใจผู้ใดได้ เมื่อวานเจ้าก็เห็นแล้วนี่ ขนาดที่นี่มีทหารคอยดูแลก็ยังมีคนคิดจะเอาเปรียบสตรีอ่อนแออย่างเรา” หญิงสาวหันกลับไปจัดการมัดท่อนฟืนรวมกันต่ออย่างปลงๆ 

อู่หลิงเยว่ถอนหายใจออกมาเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ ในช่วงเวลาไม่กี่วันที่ผ่านมามีเหตุการณ์หลายอย่างเกิดขึ้นกับนางมากเกินไป บางทีนางอาจจะต้องใช้เวลาสักนิดเพื่อวางแผนชีวิตให้กับตนเองใหม่

หญิงสาวกวาดตามองไปรอบบริเวณ พื้นที่ท้ายหมู่บ้านทอดยาวสู่แนวป่าทึบ สายตานางมองไปไกลจนเห็นแนวภูเขาสูงใหญ่ที่โอบล้อมอยู่เป็นครึ่งวงกลมเบื้องหลัง 

โชคยังดีที่โลกใหม่ของนางหาได้กันดารหรือแห้งแล้งจนเกินไป ต้นไม้ยังคงให้ร่มเงา พืชป่าหลายชนิดก็ยังเจริญเติบโตได้ แม้ตอนนี้ผักป่าที่กินได้แทบทุกชนิดจะถูกชาวบ้านเก็บไปจนแทบไม่เหลือแล้วก็ตาม

“วันนี้พอแค่นี้เถิด เราต้องเอาฟืนไปเก็บที่หมู่บ้านแล้วค่อยไปรับเสบียงอาหารจากทหารที่โรงครัว" ไป๋เยี่ยนหรูปาดเหงื่อบนหน้าผากพลางกล่าวกับสหายผู้มาใหม่

อู่หลิงเยว่พยักหน้าแล้วเดินไปช่วยท่านยายหุยยกท่อนฟืนมัดหนึ่งขึ้นบ่า ก่อนจะยกฟืนของตนเองแล้วเดินกลับไปที่หมู่บ้านพร้อมกับคนอื่นๆ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel