ตอนที่6
ญาดาขนกระเป๋าเสื้อผ้าของตนเองย้ายเข้าบ้านหลังใหม่ที่ครอบครัวของเขายกให้เป็นของขวัญวันแต่งงาน บ้านหลังนี้จึงเปรียบเสมือนเรือนหอของทั้งคู่ ญาดาสอดส่องมองข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้านที่ถูกจัดเตรียมไว้ครบครันก่อนที่เธอจะมา ส่วนคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีตั้งแต่หายออกไปตั้งแต่เมื่อคืนก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงา มีเพียงกระเป๋าเสื้อผ้าใบใหญ่ของเขาที่ตั้งอยู่กลางบ้านแต่ไร้ซึ่งเจ้าของกระเป๋า
“แล้วเราต้องทำยังไงต่อดีเนี่ย” ญาดามองกระเป๋าเสื้อผ้าของตนเองและของสามีสลับกันไปมา เธอไม่กล้าถือวิสาสะจัดของให้เขาโดยไม่ได้ขออนุญาต
เสียงรถที่จอดอยู่ด้านนอกเรียกความสนใจให้หญิงสาวที่เพิ่งมาถึงชะเง้อคอมองด้วยความสงสัย พอมองออกไปเห็นภูวินลงจากรถของคิมหันต์ก็รู้สึกโล่งใจไม่น้อยที่อย่างน้อยเขาก็ยังกลับมาหาเธอ
“ฉันบอกให้ไปส่งที่บ้านทำไมมาส่งที่นี่วะ” ภูวินถามเพื่อนสนิทที่พามาส่งบ้านหลังใหม่
“ก็นี่ไงบ้านแก” คิมหันต์ได้พูดคุยกับแม่ของเพื่อนเมื่อคืนจึงได้รู้ว่าตอนนี้ภูวินต้องย้ายออกจากบ้านใหญ่เพื่อมาอยู่เรือนหอหลังใหม่ที่พวกท่านสร้างให้
“รู้ดีเกินไปแล้วนะ ไสหัวกลับไปได้แล้วไป”
“พอหมดประโยชน์ก็ไล่เลยนะไอ้เพื่อนชั่ว” เพื่อนสนิทเริ่มมีปากเสียงกันอีกครั้งในตอนเช้าวันใหม่หลังจากที่ทั้งคู่ไปสังสรรค์ดื่มเหล้ากันมาทั้งคืน
ภูวินก้าวเข้าบ้านที่ยังไม่ค่อยคุ้นชินก่อนจะหันไปเจอกับญาดาที่ยืนส่งยิ้มมาให้ แต่เขาเลือกที่ถอนหายใจแล้วเมินหน้าหนีทำให้หญิงสาวหน้าสลดทันควัน
“พี่ภู หิวไหมคะ”
“ไม่” คำตอบเพียงสั้นๆ ไม่ค่อยแยแสมากนัก
“กินมื้อเช้าไหมคะ หรืออยากได้อะไรร้อนๆ ไหม” ญาดาพยายามอย่างสุดความสามารถในการทำหน้าที่ภรรยาที่ดี แต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมรับความหวังดีจากเธอสักอย่างเดียว
“ฉันจะไปนอน ปวดหัว” ร่างหนาเดินผ่านคนตัวเล็กไปพร้อมกับกระเป๋าเสื้อผ้าของตนเองโดยไม่มีคำทักทาย
ประตูห้องฝั่งขวาซึ่งเป็นห้องนอนใหญ่ของบ้านหลังนี้ถูกล็อกลงกลอนแน่นหนาเป็นสัญญาณบอกว่าเขาได้ทำการจองห้องนี้เป็นที่เรียบร้อย ญาดาจึงต้องลากกระเป๋าไปยังห้องนอนฝั่งตรงข้ามแทน
“แต่งงานกันแต่นอนแยกห้อง แบบนี้ดีแล้วหรือเปล่านะ” เธอเริ่มไม่มั่นใจแล้วว่าความสัมพันธ์ดั่งสามี ภรรยาของเธอกับเขาจะไปรอดหรือไม่
ช่วงบ่ายของวันหลังจากทั้งคู่แยกย้ายกันเข้าห้องของตนเองไป ญาดาจัดเสื้อผ้าเข้าตู้เป็นระเบียบเรียบร้อยรวมถึงจัดแจงของใช้จำเป็นหลายอย่างให้เข้าที่ ถึงจะถูกแยกห้องกับเขาโดยที่ไม่มีสิทธิ์ทักท้วง ทว่าภายในห้องนอนทั้งสองห้องนั้นไม่มีห้องอาบน้ำ ทำให้เวลาเข้าอาบน้ำทั้งคู่ต้องใช้ร่วมกัน
“แล้วจะวางตรงไหนได้ล่ะ” ญาดามองชั้นวางของในห้องอาบน้ำที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์อาบน้ำของภูวินวางเรียงรายจนไม่เหลือที่วางให้วางของเธอได้อีก
หญิงสาวพยายามจัดแจงให้เข้าที่ แต่ข้าวของของเขามีเยอะเกินกว่าจะวางหมดไม่ว่าอย่างไรก็ไม่พอวางสำหรับสองคนเป็นแน่
“ทำอะไร” น้ำเสียงกดต่ำเอ่ยถามคนตัวเล็กที่ทำตัวด้องๆ มองๆ ในห้องน้ำอยู่นานสองนาน
“หยกไม่มีที่วางของค่ะ พี่ภูพอจะแบ่งให้หยกหน่อยได้ไหมคะ” ญาดาถามด้วยแววตาอ้อนวอน
“ไม่ได้ ฉันต้องใช้ทั้งหมดถ้าแบ่งให้เธอแล้วฉันจะวางตรงไหน” ไม่มีความใจดีจากคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามี ภูวินตอบกลับแบบไม่ต้องคิดให้เสียเวลา
“แต่ว่าหยกไม่มีที่วางเลยนะคะ”
“ฉันต้องสนใจไหม ทนไม่ได้ก็กลับบ้านไปสิ ไปเลยฉันจะได้อยู่คนเดียว” ภูวินแสยะยิ้มพอใจคิดว่าอย่างไรคนอย่างญาดาก็ทนได้ไม่นาน
“ไม่เป็นไรค่ะ หยกไม่วางก็ได้” ญาดาก้มหน้าสลดหอบอุปกรณ์อาบน้ำของตนเองออกไปด้วยใบหน้าผิดหวัง
“จะทนได้สักกี่วัน” คนตัวโตดูจะพอใจกับผลงานของตนเองไม่น้อย จากเวลาหกเดือนที่คิดไว้อาจจะเร็วกว่านั้นก็เป็นได้
วันแรกแสนอึดอัดภายในเรือนหอผ่านพ้นไป เช้าวันต่อมาญาดาออกจากบ้านแต่เช้าเพื่อไปทำงานที่เธอรักนั่นคือร้านเบเกอรี่ ญาดาทำงานที่ร้านนี้ตั้งแต่เรียนจบเพราะเป็นสิ่งที่เธอรัก
“คุณหยกทำไมมาเช้าจังเลยคะ” พนักงานในร้านเห็นผู้จัดการคนสวยมาถึงแต่เช้าก็อดที่จะถามไม่ได้
“หยกลางานไปหลายวันแล้ว ไม่อยากกินแรงทุกคนน่ะค่ะ” น้ำเสียงสดใสกับใบหน้าสวยที่ส่งรอยยิ้มหวานให้ทุกคนได้ชื่นใจ
“คุณหยกแต่งงานทั้งทีหยุดอีกสักหน่อยไม่เป็นไรหรอกค่ะ”
“ถ้าเป็นแบบนั้นมีหวังพี่ปรางไล่หยกออกแน่ๆ ค่ะ” คนตัวเล็กแซวไปถึงผู้เป็นเจ้าของกิจการร้านนี้และยังเป็นรุ่นพี่ที่เธอสนิทตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย
“คุณปรางไม่กล้าไล่ผู้จัดการเก่งๆ อย่างคุณหยกหรอกค่ะ รายนั้นคงร้องไห้มากกว่าถ้าคุณหยกไม่อยู่”
ญาดาได้เลื่อนขั้นเป็นผู้จัดการเมื่อปีก่อนแต่เธอก็ยังไม่คิดที่จะมีร้านของตนเอง เพราะยังไม่มั่นใจว่าจะทำมันออกมาได้ดีหรือเปล่า และอีกอย่างเธอชอบทำงานกับทุกคนที่นี่มากกว่า
“อะแฮ่ม! นินทาอะไรฉันอยู่หรือเปล่า “เจ้าของร้านในลุคสาวเท่มั่นใจเดินมาพร้อมกับแว่นตากันแดดสีดำราคาแพง
“โธ่! ใครจะกล้านินทาคุณปรางล่ะคะ ไปทำงานดีกว่า” พนักงานตัวต้นเรื่องรีบชิ่งหนีไปทำงานปล่อยให้ญาดารับมือกับเจ้าของร้านจอมโหดต่อไป
“พี่ปรางเลิกทำหน้าดุได้แล้วค่ะ น้องๆ ในร้านกลัวพี่หมดแล้ว” ญาดาเดินไปถอดแว่นกันแดดแบรนด์เนมของสาวรุ่นพี่ออกก่อนจะเก็บใส่กระเป๋าให้เรียบร้อย
“พี่ก็ไม่ได้ดุเลยนะ” ปรางฉัตรหรือปรางเจ้าของร้านสาวเท่ที่ชอบทำหน้าดุใส่ทุกคนแต่ยกเว้นแค่กับญาดา
“ค่ะ หยกจะเชื่อนะคะ”
“งานแต่งราบรื่นดีใช่ไหม” จู่ๆ คนตรงหน้าก็ถามถึงงานแต่งงานของเธอขึ้นมา
“ค่ะ ราบรื่นดีค่ะ”
“น่าเสียดายที่พี่ไม่ได้ไปร่วมงาน ดันติดธุระที่ต่างประเทศกะทันหัน” ปรางฉัตรทำหน้าเสียดายที่ตนติดคุยกับบริษัทวัตถุดิบสำหรับทำเบเกอรี่ที่ต่างประเทศจึงพลาดงานสำคัญของญาดา และอดได้เห็นหน้าเจ้าบ่าวของรุ่นน้องที่เธอเอ็นดูคนนี้
“ไม่เป็นไรค่ะ ยังไงร้านก็สำคัญกว่าอยู่แล้วค่ะ”
“ไปคบกันตอนไหนทำไมพี่ไม่เห็นรู้เรื่อง อยู่ดีๆ ก็แต่งงานเฉยเลย” ไม่ใช่แค่ปรางฉัตรที่มึนงงทุกคนรอบตัวญาดาก็ยังตกใจกับทุกอย่างที่เกิดขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัว
“ไม่ได้คบกันหรอกค่ะ ที่บ้านอยากให้แต่งน่ะค่ะ” ญาดาตอบอย่างตรงไปตรงมา เธอไม่ค่อยมีความลับกับปรางฉัตรเพราะเป็นรุ่นพี่ที่เธอไว้ใจที่สุด
“...สมัยนี้ยังมีคลุมถุงชนอีกเหรอ แล้วผู้ชายคนนั้นเขาใจดีกับหยกหรือเปล่า เขาไม่ได้ทำอะไรไม่ดีใช่ไหม” ปรางฉัตรอดเป็นห่วงรุ่นน้องไม่ได้ ญาดาทั้งใจดี อ่อนโยนไม่ค่อยทันเล่ห์เหลี่ยมคน
“ไม่ค่ะ เขาไม่มายุ่งกับหยกหรอกค่ะ”
“ถ้าเขาทำอะไรไม่ดีหยกต้องบอกพี่นะ”
“ค่ะ หยกจะบอกพี่ปรางคนแรกเลย” ญาดาส่งยิ้มกว้างให้รุ่นพี่ที่เหมือนพี่สาวของเธอ ปรางฉัตรอายุมากกว่าเธอแค่ปีเดียวแต่กลับดูเป็นผู้ใหญ่ที่ดูน่าเชื่อถือและไว้ใจได้ซึ่งต่างกับเธอลิบลับ
ปรางฉัตรมองญาดาด้วยสายตาเป็นห่วง เธอรู้จักญาดาตั้งแต่วันรับน้องปีหนึ่งของคณะ ญาดาเป็นผู้หญิงตัวเล็กที่ดูน่าทะนุถนอมแต่รอยยิ้มของญาดากลับสดใสจนไม่อาจละสายตาได้ทำให้ปรางฉัตรรู้สึกเอ็นดูและอยากดูแลรุ่นน้องคนนี้ไปตลอด
“ไปทำงานดีกว่าค่ะใกล้จะได้เวลาเปิดร้านแล้ว”
ญาดาแสร้งทำตีเนียนไปประจำที่ของตนเองเตรียมตัวรอเวลาเปิดร้าน เธอไม่อยากให้ปรางฉัตรเป็นห่วงจึงไม่ได้เล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงสองวันที่ผ่านมาให้อีกฝ่ายฟัง เธอไม่อยากกลายเป็นตัวภาระที่ทำให้คนอื่นต้องคอยเป็นห่วงและไม่กล้าบอกใครว่าสถานะของเธอตอนนี้เป็นได้แค่ภรรยาในนามที่สามีไม่แลเหลียว
