บทนำ
สายลมเหน็บหนาวพัดผ่านเข้ามาในตำหนักใหญ่ ณ เมืองหลวงหานตู บรรยากาศภายในห้องโถงเคร่งขรึมราวกับมีม่านหมอกแห่งสงครามขนาดย่อมแผ่คลุม ท่ามกลางบรรยากาศน่าอึดอัดเหล่านี้เต็มไปด้วยกระแสโทสะที่ก่อตัวขึ้นทำให้อากาศรอบตัวร้อนระอุ
ปึก!
เสียงถ้วยน้ำชากระทบโต๊ะไม้จันทน์ดังสนั่น หลิวซือเย่าสตรีสูงศักดิ์แห่งจวนตระกูลหลิว กวาดสายตาเย็นเยียบมองสตรีเบื้องหน้าของนาง...จางจิ่วเม่ย สตรีที่มักถูกผู้คนพูดถึงในแง่ของ สตรีผู้มีฝีปากร้าย ไร้ความละมุนละไม กริยาหยาบกระด้างไม่สมคุณหนูตระกูลขุนนาง จิตใจชั่วร้ายมักแสดงท่าทีดั่งม้าพยศ แถมยังมีข่าวลืออื้อฉาวไปทั่วเมืองหลวงหานตู
แต่เวลานี้สิ่งที่น่าตกตะลึงที่สุดคือ...แม้ข่าวลือจะเป็นเช่นนั้นทว่าท้ายที่สุดนางคือสตรีที่องค์ชายใหญ่หวางเสี่ยเฟิงเลือกเป็นคู่ครอง!
อาหญิงผู้นี้จะยอมมองหลานรักของตนตกลงไปในหลุมโสมมได้อย่างไร!
“เจ้ากล้าเอาสตรีเช่นนี้มาให้ข้าทำความรู้จักหรือเสี่ยเฟิง” น้ำเสียงของหลิวซือเย่าเย็นเยียบราวสายน้ำแข็ง “เจ้าคือองค์ชายใหญ่ของแคว้น เป็นถึงโอรสแห่งสวรรค์! แล้วนี่หรือคือสตรีที่เจ้าจะแต่งเข้ามาเป็นพระชายา...”
บรรยากาศเงียบงันประหนึ่งหยดหมึกที่ซึมลงบนผืนกระดาษ สายตาของทุกผู้คนในห้องโถงแห่งนั้นจับจ้องมาที่จางจิ่วเม่ยอย่างดูแคลน ใครเล่าจะไม่เคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับนางที่มันถูกแพร่สะพัดไปทั่วทุกหัวระแหง
สตรีบ้านป่าผู้มีฝีปากกล้าหาญถึงขนาดกล้าโต้เถียงขุนนางในราชสำนักอย่างไม่เกรงกลัว แถมข่าวล่าสุดลือว่านางเป็นสตรีสกปรกที่ยังไม่ทันออกเรือนก็ท้องโตแถมยังถูกบุรุษทอดทิ้ง
หากเป็นสตรีอื่นคงตัวสั่นสะท้านหากถูกสบประมาทเช่นนี้ ผิดกับจางจิ่วเม่ยที่เวลานี้กลับยืดหลังตรง เงยหน้าขึ้น ดวงตาสุกสกาวจับจ้องไปยังสตรีสูงศักดิ์ตรงหน้า แววตาของนางมิได้หวาดกลัว มิได้ขอความเมตตา มีเพียงความเย็นชาและทระนงตนไม่แพ้ใคร
ริมฝีปากของนางแสยะเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน ดวงตาทอประกายดุจประกายคมดาบ
“สตรีเช่นข้าเป็นเช่นไรหรือเจ้าคะฮูหยินหลิว”
หลิวซือเย่าหรี่ตาลง ดวงตาทอประกายเยียบเย็น
“เจ้าคือสตรีปากร้าย กริยากระด้าง ขาดความอ่อนโยน มีเรื่องอื้อฉาวไปทั่วหานตู! เจ้ายังกล้าถามเช่นนั้นอีกหรือ”
จางจิ่วเม่ยหัวเราะเบา ๆ เสียงของนางดั่งกระดิ่งเงิน ทว่ากลับแฝงความเย้ยหยัน “เช่นนั้นหรือ หากเป็นดังที่ท่านว่าเหตุใดองค์ชายใหญ่จึงเลือกข้าเล่าเจ้าคะ”
หลิวซือเย่าชะงัก ใบหน้าถมึงทึงขึ้นทันที
แต่ก่อนที่ความเงียบจะครอบงำไปมากกว่านี้ องค์ชายใหญ่หวางเสี่ยเฟิงกลับเอ่ยขึ้น
“ท่านอา...ข้าเพียงแค่นำคนรักของข้ามาพบท่านตามคำร้องขอของท่านอา มิได้มาขออนุญาตใดใดทั้งสิ้น”
กล่าวจบชายหนุ่มก็เดินก้าวไปยืนเคียงข้างจางจิ่วเม่ย ก่อนจะก้มลงไปอุ้มร่างเด็กน้อยที่กำลังซุกอยู่ในอ้อมแขนของจางจิ่วเม่ยขึ้นมาอุ้มเอง
เด็กหญิงตัวน้อย เผยให้เห็นดวงหน้ากลมมน ดวงตาคู่นั้น...ช่างเหมือนองค์ชายใหญ่ราวกับกระจกสะท้อน
“และเด็กคนนี้...” หวางเสี่ยเฟิงเอ่ยเสียงเรียบ “นางคือลูกสาวของข้า เป็นสายเลือดแห่งราชวงศ์”
เคร้ง!
ถ้วยชาหลุดจากมือของฮูหยินหลิวซือเย่า มันร่วงกระแทกพื้นแตกกระจาย
เป็นไปไม่ได้!
นางมองหลานชายอย่างเหลือเชื่อ ก่อนจะหันไปมองสตรีเบื้องหน้าใหม่อีกครั้ง ครั้งนี้มิใช่ด้วยความดูแคลนแต่เต็มไปด้วยความสงสัย
สตรีที่นางตราหน้าว่าต่ำต้อย กลับให้กำเนิดบุตรีแห่งราชวงศ์!
แต่ในขณะที่หลิวซือเย่ายังคงตกตะลึง หวางเสี่ยเฟิงกลับยิ้มบาง ๆ ก่อนกล่าวประโยคที่ทำให้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบงัน
“ท่านอา ข้าเป็นองค์ชายใหญ่ก็จริงแต่ทว่ามิได้เป็นองค์รัชทายาท จึงไม่ถือเป็นโอรสแห่งสวรรค์” ดวงตาของพระองค์แฝงแววขบขันทว่าเยียบเย็น “จะทำสิ่งใดข้าต้องผ่านคำอนุญาตจากสวรรค์ด้วยหรือขอรับ”
สิ้นคำกล่าวสตรีสูงศักดิ์แห่งจวนตระกูลหลิวถึงกับหายใจสะดุด
ย้อนกลับไปเมื่อหลายเดือนก่อน
ณ เมืองหลัวซาน เมืองที่ได้รับสมญานามว่าเปรียบเสมือนขุนเขาแห่งผ้าแพรตั้งอยู่ใกล้หุบเขาอันอุดมสมบูรณ์ รายล้อมด้วยป่าไผ่และแม่น้ำหลัวซุ่ย อากาศเย็นสบายตลอดปี ผู้คนส่วนใหญ่ดำรงชีพด้วยการปลูกหม่อน เลี้ยงไหม ทอผ้า และย้อมสี ผ้าไหมจากที่นี่งดงามเลื่องชื่อ เรียกได้ว่าถือเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของแคว้นหานเลยทีเดียว
แม้จะเป็นเพียงเมืองชนบทปกครองโดยเจ้าเมืองซึ่งเป็นขุนนางข้นไม่สูงเท่าไรนักจึงไม่แปลกที่มีผู้มีอำนาจแท้จริงในหลัวซาน นอกจากเจ้าเมืองแล้วก็คือตระกูลอู๋ คหบดีผู้ควบคุมอุตสาหกรรมผ้าไหมทั้งเมือง แม้อู๋เหวินเซิน ประมุขตระกูลจะสิ้นไปแล้ว แต่อู๋ชิวอิ่ง ผู้เป็นภรรยายังคงเป็นเสาหลักของตระกูลอู๋ที่มั่นคงตราบนานถึงปัจจุบันอยู่เช่นเดิม
หากกล่าวถึงอู๋ชิวอิ่งในยามนี้ แม้จะล่วงเข้าสู่วัยชรามีผมขาวแซมดำ ดวงหน้าประดับร่องรอยแห่งกาลเวลาทว่าแววตายังคงลุ่มลึกและทรงอำนาจ นางสวมอาภรณ์ไหมสีเขียวเข้ม ขับให้ร่างผอมบางดูสง่างามในแบบของผู้ผ่านโลกมานาน
ภายในเรือนใหญ่ อู๋ชิวอิ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้แกะสลัก มือเรียวยาวที่เคยจับด้ายไหมนับพันพันธุ์บัดนี้วางอยู่บนตักอย่างสงบ นางทอดสายตามองหลานสาวตัวน้อยวัยสามหนาวเกือบสี่หนาว ที่กำลังนั่งคัดเลือกตัวไหมเล่นอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับสหายวัยเดียวกันอีกสามคน
เด็กน้อย อู๋จูผิงหรือผิงผิง กำลังพูดเจื้อยแจ้วราวนกน้อย กล่าวสอนสหายของนางอย่างกระตือรือร้น
มือน้อยจับตัวไหมขึ้นมาส่องแล้วอธิบายเสียงใส
"ตัวนี้ขาวนุ่มนิ่มเลย พวกเจ้าดูสิ...มีจุดสีเหลือง ไม่เอา! นี่ต่างหาก...ตัวเล็ก ๆ แบบนี้ไหมจะสวยมากเชียว"
สหายน้อยทั้งสามตั้งใจฟัง แล้วพยายามคัดตัวไหมตามที่ผิงผิงบอก
อู๋ชิวอิ่งหัวเราะเบา ๆ ก่อนเอ่ยอย่างเอ็นดู
"เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าตัวไหนดีที่สุด"
เด็กน้อยเงยหน้าขึ้น ดวงตากลมใสวาววับ "ก็...ทวดบอก! ทวดบอกว่าไหมขาว ๆ นิ่ม ๆ ทอผ้าแล้วจ๋วย..."
อู๋ชิวอิ่งยิ้มกว้างขึ้น ลูบศีรษะหลานเบา ๆ "เจ้าเก่งจริง ๆ"
"อื้อ!" ผิงผิงพยักหน้าหงึก ๆ "ผิงผิงฟังทวดตลอดนั่นแหละเจ้าค่ะ"
"เช่นนั้นหรือ" อู๋ชิวอิ่งเอื้อมมือไปลูบศีรษะหลานเบา ๆ "เจ้าช่างพูดเก่งเสียจริง อีกไม่นานคงสามารถช่วยแม่เจ้าบริหารกิจการของตระกูลแล้วกระมัง"
"แน่นอนเจ้าค่ะ! แต่ว่าท่านแม่บอกว่า ผิงผิง...ต้องเลือกตัวไหมให้เก่งก่อน" ผิงผิงพูดจบก็หันไปช่วยสหายของนางต่อ
ในตอนนั้นเองมีเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นตรงทางเข้า
สตรีโฉมงามผู้มีใบหน้าละม้ายคล้ายผิงผิงอยู่สี่ถึงห้าส่วน
นางคือ จางจิ่วเม่ย
ร่างอรชรในชุดแพรไหมสีม่วงลึกลับดูเรียบหรู สะท้อนประกายเงางามใต้แสงแดดยามสาย ลวดลายปักไหมสีเงินประดับปลายแขนเสื้อ ละเอียดละออจนราวกับน้ำค้างจับบนใบบัว เรือนร่างสูงระหงเยื้องย่างอย่างสง่างาม แม้เวลานี้แขนเรียวกำลังแบกม้วนเอกสารบัญชีไว้เต็มอ้อมแขนแต่กลับมิได้ลดทอนความสง่างามลงแม้แต่น้อย
เส้นผมดำสนิทถูกรวบเกล้าเป็นมวยสูง ปล่อยปอยข้างหน้าเล็กน้อยเพิ่มความอ่อนช้อย นางมีวงหน้ารูปไข่ คิ้วเรียวโก่งได้รูป ดวงตาคมกริบดั่งน้ำค้างแข็งต้องแสงจันทร์ มุมปากแต้มสีระเรื่ออย่างเป็นธรรมชาติ ราวกับบุปผาผลิบานรับลมฤดูใบไม้ผลิ
เมื่อมองนาง ก็ประหนึ่งกำลังชมทิวาอันงดงามบนยอดเขาสง่างามและนิ่งสงบ แต่ก็แฝงไว้ด้วยความแข็งแกร่งในที
"ท่านแม่!"
เสียงของผิงผิงดังขึ้น เด็กน้อยเห็นมารดาถือของหนักจึงรีบลุกขึ้นวิ่งเข้าไปหา มือเล็กเอื้อมออกไปหมายช่วยแบ่งเบาภาระ
จางจิ่วเม่ยปรายตามองลูกสาว ก่อนหัวเราะเสียงเบาอย่างนึกเอ็นดู "เจ้าจะช่วยแม่หรือ?"
"อื้อ! แม่ถือเยอะ หนักไหม"
"นิดหน่อย" จางจิ่วเม่ยยิ้ม "แต่เจ้ามือเล็กนิดเดียว จะช่วยได้หรือ"
"ช่วยได้!" ผิงผิงพยายามคว้าม้วนบัญชีไว้ แต่ใหญ่กว่ามือน้อยคู่นั้นเสียอีก เด็กน้อยต้องใช้สองมือโอบแต่ถึงอย่างไรก็ยังถือได้เพียงม้วนเดียว
รอยยิ้มของจางจิ่วเม่ย อ่อนโยนดุจสายลมต้องกลีบเหมย
"เช่นนั้นก็ระวังด้วยนะ" นางกล่าว พร้อมใช้มือข้างหนึ่งลูบศีรษะลูกสาวเบา ๆ
อู๋ชิวอิ่งมองภาพสองแม่ลูกผู้แสนอาภัพตรงหน้า พลางพยักหน้าช้า ๆ ดวงตาที่เคยเฉียบคมฉายแววอบอุ่นอ่อนโยนมากขึ้นไปอีก
