บทที่ 4 ชีวิตในชนบท
หยางซีหวนคิดไปถึงเรื่องในฝันด้วยความตื่นตระหนก
หลังจากที่เขาช่วยทำศพให้หมิงจู ก็ได้กลับมาที่จวนและนอนพักอย่างเช่นที่เคยทำ แต่เขากลับฝันเห็นนาง
ในฝันเขาเห็นว่านางเป็นวิญญาณล่องลอยเคว้งคว้างไม่มีจุดหมายปลายทาง นางมองไม่เห็นเขา แต่เขากลับมองเห็นนาง แววตาของนางเศร้าเสียใจและสิ้นหวังเป็นอย่างมาก
การพบกันของเขาและนางคือความบังเอิญ ตอนนั้นเขายังเป็นเพียงคุณชายรักสนุก หนีออกจากค่ายทหารมาเที่ยวเล่น และได้พบเจอนางที่ปลอมตัวเป็นบุรุษ เดิมทีเขารู้ได้สักพักแล้วว่านางเป็นสตรี แต่เพราะไม่อยากให้นางขายหน้าจึงยอมตามน้ำแสร้งทำเป็นไม่รู้ต่อไป
แต่ผู้ใดจะรู้ว่าเขาและนางกลับยืนอยู่คนละฝั่ง แม้เขาจะมองนางเป็นสหายรัก แต่เขาในยามนั้นไม่มีอำนาจย่อมไม่อาจเข้าข้างนางได้ เขาจำต้องเลือกตระกูลหยางด้วยความจำใจ เขาทำได้เพียงมองดูนางถูกหยางฮองเฮากลั่นแกล้งสารพัด สุดท้ายก็ต้องทนมองนางเดินไปสู่ความตายด้วยความเจ็บปวด
เขายังจำรอยยิ้มของนางได้ นางงดงามและสดใสเป็นอย่างมาก แต่น่าเสียดายที่ความสดใสร่าเริงนั้นได้เลือนหายจากโลกใบนี้ไปตลอดกาลเสียแล้ว
แต่ทว่าสวรรค์กลับเล่นตลก ในฝันนั้นเขาเห็นว่านางได้หายลับไปจากสายตา แต่ไม่นานภาพในฝันกลับค่อยๆเปลี่ยนไปยังหมู่บ้านหนึ่ง เขาจำได้ว่ามันคืออำเภอเซียงถง วิญญาณของนางถูกดึงเข้าไปอยู่ในร่างของสตรีน้อยนามว่าไป๋เยว่ซินอย่างน่าพิศวง
เขาสะดุ้งตื่นคิดว่าตนเองฝันเหลวไหลเพราะคิดถึงนางมากเกินไป แต่ฝันนั้นมันกลับทำให้เขาอยากค้นหาคำตอบ เขาจึงส่งคนไปสืบดูที่อำเภอเซียงถงว่ามีบ้านตระกูลไป๋และสตรีน้อยนามว่าไป๋เยว่ซินอยู่จริงหรือไม่
องค์รักษ์ลับกลับมารายงานเขาว่า
มี!
ใจของเขาเต้นรัวแรงอย่างบ้าคลั่ง เดิมทีเขาไม่เชื่อเรื่องเหลวไหลพวกนี้ แต่เมื่อได้ประสบพบเจอกับตนเองมันกลับทำให้เขาเปลี่ยนความคิด
องค์รักษ์ลับรายงานว่าไป๋เยว่ซินคนนั้นแต่ก่อนเป็นคนเรียบร้อยอ่อนหวาน ขี้กลัว แต่ไม่นานมานี้นางล้มป่วยปางตาย หลังจากที่นางฟื้นขึ้นมากลับมีนิสัยที่แปลกไป
เพื่อให้แน่ใจเขาจึงมาพบนาง นางดูเย็นชาและไม่ยอมใคร อีกทั้งยังกล้าถกเถียงกับคนของเขาอย่างไม่ยินยอม ช่างนิสัยเหมือนกับหมิงจูไม่มีผิด!
ที่สำคัญนางเรียกเขาว่าแม่ทัพใหญ่ ทั้งที่เพิ่งเคยพบเจอหน้ากันเป็นครั้งแรก
มันทำให้เขาค่อนข้างมั่นใจว่านั่นคือหมิงจูอย่างแน่นอน
แต่ถึงแม้จะได้พบนางอีกครั้งหนึ่ง เขากลับไม่อาจเปิดเผยตัวตนของนางได้ เพราะเกรงว่าอาจจะเกิดอันตรายขึ้นกับนาง บางคราการที่นางกลายเป็นสตรีน้อยบ้านนอกเช่นนี้อาจจะดีกว่าการมีชีวิตอยู่ในวังหลวง
หยางซีทั้งดีใจและตกใจในคราเดียวกัน เขาไม่คิดเลยว่า มันจะเป็นเรื่องจริง
ด้านไป๋เยว่ซินนั้นเพราะระยะนี้ได้นอนหลับเต็มอิ่ม ยามที่ตื่นมาในตอนเช้าจึงรู้สึกสดใสยิ่ง หญิงสาวเข้าครัวทำอาหารแต่เช้า วันนี้ไป๋เซียงมาช่วยนางทำอาหารด้วย
หลายวันที่คลุกคลีอยู่กับไป๋เซียงทำให้ไป๋เยว่ซินรู้ว่าไป๋เซียงพี่สาวของนางนั้นมีฝีมือเย็บปักที่งดงามมาก ฝีเข็มละเอียดประณีตอ่อนช้อย นางที่เป็นถึงองค์หญิงยังเทียบไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แม้แต่นางกำนัลในวังหลวงบางคนยังฝีมือเทียบไม่ได้กับไป๋เซียง หากได้ไปอยู่ในกองภูษาแน่นอนว่าย่อมต้องก้าวหน้าในเร็ววันเป็นแน่
"ท่านพี่ น้องรอง ท่านกลับมาแล้วหรือ อาฟานของแม่ก็กลับมาแล้ว"
เสียงเอะอะที่ด้านนอกทำให้ไป๋เยว่ซินหันมาสบตากับไป๋เซียงคราหนึ่ง พวกนางทำอาหารเสร็จพอดีจึงรีบล้างมือและออกมาที่ด้านนอก
เมื่อมาถึงก็พบว่าบิดาของนาง ท่านลุงใหญ่และพี่ชายได้กลับมาแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ไป๋เยว่ซินได้พบกับบิดา ท่านลุง และพี่ชายของตนเอง
ท่านพ่อของนางมีอายุเพียงสามสิบกว่า แต่ ใบหน้ากลับเหี่ยวย่นกว่าอายุจริงเพราะตรากตรำทำงานในเทือกสวนไรนามาตั้งแต่เด็ก ส่วนท่านลุงใหญ่ก็ไม่ต่างกัน อีกคนหนึ่งคือไป๋ฟานพี่ชายของนาง หน้าตาของเขาหล่อเหลาใช้ได้ อีกทั้งยังมีกลิ่นอายของบัณฑิตผู้รักเรียนอีกด้วย
เมื่อเห็นน้องสาวทั้งสองออกมาต้อนรับ ไป๋ฟานก็รีบเดินเข้ามาหาพร้อมกับมอบของเล่นให้ไป๋เยว่ซินและไป๋เซียง ไป๋เยว่ซินรับมันมาถือเอาไว้ พบว่ามันคือกลองป๋องแป๋งและของเล่นของด็กในชนบทอีกหลายชิ้น นางถึงกับทำหน้าไม่ถูก นี่มันของเล่นเด็กน้อยชัดๆ พี่ชายของนางเอาของเล่นพวกนี้มาให้เจ้าของร่างเดิมเล่นตลอดเลยหรือ
กลับบ้านมาครานี้ ไป๋จงและไป๋ชวนซื้อของกลับมาไม่น้อย ครอบครัวได้อยู่พร้อมหน้า ได้กินอาหารด้วยกันและได้พูดคุยสนทนากันถึงเรื่องที่ผ่านมา ไป๋จง ไป๋ชวน และไป๋ฟานถึงกับตบเข่าฉาดเมื่อได้ทราบเรื่องที่พวกนางถูกคนตระกูลหลินรังแก อีกทั้งยังสมน้ำหน้าคนตระกูลหลินที่ถูกทำโทษ ซ้ำยังชมว่านางเก่งมากที่ปกป้องศักดิ์ศรีของตนเองและพี่สาวได้ นับว่านางเติบโตรู้ความแล้ว
ไป๋เยว่ซินมองพวกเขาด้วยแววตาที่อ่อนโยนขึ้นไม่น้อย นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้ร่วมวงกินข้าวกับคนในครอบครัว
มันเป็นความรู้สึกที่อบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก ท่านพ่อคีบหมูให้นาง ท่านลุงคีบผักให้นาง พี่ชายและพี่สาวคอยป้อนขนมหวานให้นาง ความรู้สึกของการมีครอบครัวที่อบอุ่นเช่นนี้นางไม่เคยพบเจอมาก่อนเลยในชีวิต
มันทำให้นางรู้สึกผูกพันกับพวกเขาอย่างไม่รู้ตัว
หลายวันต่อมาหลังจากที่พักผ่อนกันจนหายเหนื่อยแล้ว พวกเขาก็คิดว่าถึงเวลาที่จะเริ่มทำสวนทำนาได้แล้ว
แม้จะเป็นช่วงฤดูร้อนแต่ยังคงมีฝนตกลงมาอยู่บ้าง จึงเหมาะแก่การเพาะปลูกข้าวสาลีเป็นอย่างยิ่ง
ตระกูลไป๋ทำเทือกสวนไร่นามาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ พวกเขาช่วยกันทำสวนทำนาหาเลี้ยงชีพ ทุกคนที่อยู่ในจวนไม่ได้ใช้ชีวิตสุขสบายเช่นคุณหนูในนครหลวง
คราแรกทุกคนลงความเห็นกันว่าจะให้ไป๋เยว่ซินอยู่บ้าน ไม่ต้องออกไปทำงานหนัก แต่เพราะไป๋เยว่ซินไม่อยากอยู่บ้านคนเดียว นางอยากไปเรียนรู้ชีวิตของเหล่าชาวนาชาวไร่ จึงขอติดตามไปด้วย เมื่อเห็นว่าไม่อาจทัดทานนางได้ พวกเขาจึงตอบตกลง ท่านพ่อให้นางนั่งบนเกวียนไป โดยคนที่ลากเกวียนให้นางนั่งก็คือไป๋ฟาน
ไป๋เยว่ซินรู้สึกว่ามันแปลกใหม่ใช้ได้เลยสำหรับนาง มันคล้ายกับว่านางกำลังนั่งเกี้ยวแต่เกวียนนี่ออกจะโคลงเคลงไปเสียหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นไป๋เยว่ซินกลับรู้สึกชอบมันมาก
สายลมพัดมาเป็นระลอก ให้ความรู้สึกเย็นสบายอย่างบอกไม่ถูก หยาดพิรุณโปรยปรายลงมาเป็นระยะ ตลอดทางมีเหล่าชาวบ้านที่ออกมาทำนาของตนเอ่ยทักทายพวกนางอย่างสนิทสนม อากาศที่แสนบริสุทธิ์และเป็นธรรมชาติเช่นนี้มันทำให้ไป๋เยว่ซินรู้สึกดีเป็นอย่างยิ่ง
ที่นาของตระกูลไป๋นั้นไม่ได้มีหลายหมู่เท่าใดนัก แต่ก็พอทำมาหากินเลี้ยงครอบครัวได้ ที่นาของนางอยู่ห่างไกลจากแปลงนาของบ้านอื่นๆอยู่พอสมควร
เมื่อมาถึงแปลงนา ไป๋เยว่ซินก็กระโดดลงมาจากเกวียนลาก ก่อนจะเดินมานั่งหลบฝนที่เพิงเก่าๆหลังหนึ่งซึ่งท่านลุงใหญ่และท่านพ่อของนางช่วยกันสร้างเอาไว้หลบฝน
"น้องเล็ก เจ้ากินนี่ร้องท้องก่อนเร็วเข้า"
ไป๋เยว่ซินที่กำลังมองมองทุ่งนาด้วยความสนใจเมื่อได้ยินเสียงพูดของไป๋ฟานจึงหันกลับมามองเขา ก่อนจะพบว่าเขากำลังยื่นขนมรากบัวมาตรงหน้านาง
ไป๋เยว่ซินยิ้มออกมาทันที
"พี่ใหญ่ไปซื้อมาเมื่อใดกัน?"
"ข้าไปต่อแถวตั้งแต่เช้าแล้วกว่าจะได้มาไม่ง่ายเลยนะ รีบกินเร็วเข้า"
ไป๋เยว่ซินยื่นมือไปรับขนมรากบัวมาถือเอาไว้ เมื่อเปิดห่อขนมออกก็พบว่ามันมีถึงแปดชิ้นด้วยกัน นางยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะแบ่งชิ้นหนึ่งให้ไป๋ฟาน แรกเริ่มพี่ชายนางไม่ยอมกิน บอกว่าจะให้นางกินคนเดียว เขายืนมองนางกินก็อิ่มแล้ว แต่เมื่อเห็นว่านางเริ่มจะโมโหแล้วเขาจึงยอมรับขนมไปกินเพราะกลัวน้องสาวจะโกธรตน
ส่วนที่เหลือนางก็แบ่งให้ไป๋เซียง ท่านลุงใหญ่ ท่านพ่อ ท่านป้าสะใภ้ ท่านแม่และอาหลิงคนละชิ้น
ทุกคนในครอบครัวกินขนมไปพลางสนทนากันไปพลางด้วยความสุขใจ
เมื่อกินอิ่มแล้วจึงเริ่มลงมือทำงาน ไป๋เยว่ซินเองก็ค่อยๆเรียนรู้การใช้ชีวิตจากพวกเขาไปทีละน้อย
การปลูกข้าวสาลีนั้นสามารถปลูกได้ในดินหลายชนิด และทนทานต่อสภาพอากาศที่แห้งแล้ง ทำให้เหมาะกับการปลูกในพื้นที่ภาคเหนือซึ่งอำเภอเซียงถงก็อยู่ทางเหนือพอดี อีกทั้งพวกมันยังชอบดินที่มีการระบายน้ำดีและไม่เป็นกรดจัดหรือเค็มจัด ไม่ต้องให้น้ำมาก เพียงอาศัยฝนเล็กน้อยก็สามารถเติบโตได้แล้ว
บิดาและพี่ชายของนางขุดดิน ส่วนมารดาทั้งสองและพี่สาวต่างช่วยกันหยอดเมล็ดพันธ์ข้าว ไป๋เยว่ซินมองดูพวกเขาด้วยความสนใจ จึงอยากลองทำดูบ้าง แต่เพราะนางไม่เคยทำเรื่องพวกนี้จึงค่อนข้างทุลัักทุเล แต่ถึงอย่างนั้นนางกลับไม่ยอมแพ้ อย่างไรเสียย่อมต้องเรียนรู้การใช้ชีวิตใหม่ให้ถึงที่สุด
หญิงสาวยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก ก่อนจะยกกระบอกไม้ไผ่ที่ใส่น้ำขึ้นมาดื่ม พร้อมกับมองไปยังที่นาเบื้องหน้าด้วยแววตาครุ่นคิด
หากหาเมล็ดผักมาปลูกรอบๆแปลงนาด้วยก็คงจะดีไม่น้อย จะได้มีรายได้อีกทาง
ตอนนี้นางไม่ใช่องค์หญิงผู้สูงส่งอีกต่อไปแล้ว อย่างไรย่อมต้องคิดหาทางเลี้ยงชีพตน เพราะอย่างไรนางก็ไม่คิดจะกลับไปหาเสด็จพ่อ ไม่คิดกลับเข้าวังหลวงอีก
ไป๋เยว่ซินส่ายหน้าไปมา นางไม่คิดถึงเรื่องเก่าก่อนอีก
ก่อนหน้านี้จำได้ว่าอีกไม่นานไป๋ฟานจะต้องเข้าร่วมสอบขุนนาง ท่านลุงใหญ่และท่านพ่อบอกว่าหากข้าวสาลีขายได้ราคาดี จะเก็บเงินส่วนนั้นเอาไว้ให้ไป๋ฟานไปสอบที่นครหลวง ไป๋ฟานเป็นทายาทที่เป็นบุรุษเพียงคนเดียวของตระกูลไป๋ ทุกคนย่อมฝากความหวังเอาไว้กับเขา
ไป๋เยว่ซินค่อนข้างไม่เห็นด้วย แต่ไม่อาจคัดค้าน นางไม่อยากตัดอนาคตพี่ชาย แต่ทว่าในใจของนางเองก็ไม่อยากให้ไป๋ฟานเข้าไปพัวพันข้องเกี่ยวกับพวกขุนนางเจ้าเล่ห์ในราชสำนัก คนใส่ซื่อเช่นไป๋ฟานย่อมตามคนพวกนั้นไม่ทันเป็นแน่ แทนที่จะสร้างความรุ่งโรจน์ นางเกรงว่าจะกลายเป็นสร้างหายนะแก่ตระกูลไป๋เสียมากกว่า
แต่จะทำเช่นไรได้เล่า ในเมื่อท่านลุงใหญ่และพ่อของนางมีความคิดฝังหัวว่าหากบุตรชายสามารถสอบได้เป็นขุนนางครอบครัวย่อมสุขสบายตามไปด้วย พวกเขาก็หวังกับบุตรชายเพียงคนเดียวซึ่งนางเองก็เข้าใจดี
ช่างเถิด อย่าเพิ่งคิดในเรื่องที่ยังมาไม่ถึง บางครามันอาจจะไม่มีเรื่องให้ปวดหัวก็ได้
ใช้เวลาอยู่ที่ไร่นาเกือบครึ่งค่อนวันในที่สุดก็ได้เวลากลับเรือนเสียที ตอนกลับนางอยากเดินบ้างเพราะไม่อยากให้ไป๋ฟานต้องมาเข็นนางทั้งตอนไปและตอนกลับ
สองข้างทางมีดอกไม้ดอกหญ้าขึ้นเต็มไปหมด ไป๋เยว่ซินเก็บมันมาพินิจดูตลอดทาง พลางยิ้มร่าเริงและสนทนากับไป๋เซียงเป็นระยะ
เมื่อกลับมาถึงบ้านก็พบว่ามีคนกำลังยืนรอพวกนางอยู่ที่หน้าบ้าน
เป็นนายอำเภอเจี่ยง!
ทุกคนต่างหันมามองหน้ากัน ก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองที่นายอำเภอเจี่ยงอีกครา ก่อนหน้านี้นายอำเภอเจี่ยงมีท่าทีเย็นชายิ่ง แต่ทว่าวันนี้เขากลับมีท่าทีนอบน้อมไม่หลงเหลือท่าทีวางตนข่มท่านเช่นวันนั้นอีก อีกทั้งยังยิ้มให้ไป๋เยว่ซินอย่างประจบเอาใจ
"แม่นางไป๋ คราก่อนข้าทำผิดต่อพวกเจ้า ตัดสินคดีไม่ยุติธรรม ซ้ำยังหลงเชื่อคนชั่วเช่นคหบดีหลิน วันนี้จึงนำของมามอบให้เพื่อเป็นการไถ่โทษ เจ้าดูสิ หมูตัวนั้นข้าไปหาซื้อมาจากตลาดต่างอำเภอเชียวนา เป็นหมูพันธ์ดี และนี่ก็คือเมล็ดผักหลายชนิด อ้อ ยังมีพวกของเล่น ของใช้เล็กๆน้อยๆด้วยนา แม่นางไป๋ได้โปรดรับไว้ด้วย"
ไป๋เยว่ซินฟังจบก็ถึงกับขมวดคิ้วมุ่น พลางครุ่นคิดว่านายอำเภอเจี่ยงวันนี้มาไม้ไหนกันแน่หรือหยางซีจะสั่งให้เขามาทำสิ่งใดแผลงๆกับครอบครัวของนางอีก?
ด้านนายอำเภอเจี่ยงนั้นเมื่อเห็นว่าไป๋เยว่ซินยังไม่เอ่ยตอบรับก็เริ่มแข้งขาสั่น พร้อมกับร้องโอดครวญในใจ
ช่วยรับไปเร็วๆทีเถอะแม่นาง หากเจ้าไม่ยอมรับของ กลับจวนไปข้าคงถูกเจ้านายตนกระทืบระบายอารมณ์เป็นแน่ ข้าแข้งขาไม่ดีแล้ว เจ้าเมตตาข้าด้วยเถอะ!
