
เมื่อองค์หญิงใหญ่เกิดใหม่พร้อมตำราจากแดนพิเศษ
บทย่อ
จากองค์หญิงใหญ่ผู้สูงศักดิ์ กลายเป็นสตรีชาวไร่ชาวสวนครอบครัวยากจน โชคดีที่ยังมีตำราพิเศษและแมวดำแสนน่ารักคอยช่วยเหลือ ปฏิบัติการหาเงินเพื่อจุนเจือครอบครัวจึงเกิดขึ้น! นางคือองค์หญิงใหญ่ หมิงจู ผู้สง่างาม แต่เพราะวาสนานี้สั้นนัก มารดาแท้ๆตายจาก บิดาไม่รักใคร่ ซ้ำยังสั่งโบยนางจนตาย แต่เหมือนด่านเคราะห์ครานี้จะยังไม่จบไม่สิ้น นางเกิดใหม่ในร่างของ ไป๋เยว่ซิน หญิงสาวที่ใช้ชีวิตอยู่ในชนบทกับครอบครัวที่ยากจน นอกจากต้องหาทำกินเลี้ยงปากท้องแล้ว นางยังจะต้องสู้รบปรบมือกับคนชั่วที่จ้องจะเอาเปรียบตนอีกชีวิตนี้ไม่ง่ายเลย ดูแล้วสวรรค์ยังคงไม่พอใจในความลำบากของนาง จึงส่ง หยางซี แม่ทัพใหญ่ตระกูลหยาง เข้ามาพัวพันกับนาง ยิ่งนางไม่อยากเจอเขา เขาก็ยิ่งมาปรากฏตัวใต้ครรลองสายตาของนางอยู่ตลอดเวลา และเส้นทางชีวิตของไป๋เยว่ซินต้องวนกลับเข้าไปในวังวนของราชสำนักอีกครั้ง อีกทั้งยังมีเรื่องราวที่นางและหยางซีต้องจัดการอีกหลายเรื่อง ทั้งการตายอย่างเป็นปริศนาของมารดาหยางซีและการกลับมาของมารดาไป๋เยว่ซินซึ่งมีที่มาที่ไปไม่ชัดเจน สุดท้ายแล้ว พวกเขาจะพบคำตอบด้วยตนเองหรือว่าต้องใช้ตำราพิเศษและเจ้าแมวดำคอยช่วยกันนะ?
บทนำ
นครหลวงต้าซ่ง
รัชศกต่งปีที่ 30
"ฝ่าบาท โปรดทรงให้ความเป็นธรรมแก่ส่วนรวมด้วยพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงใหญ่หมิงจูมีนิสัยกำเริบเสิบสานเกินไปแล้ว นางทุบตีบ่าวไพร่ ไม่ให้เกียรติเหล่าขุนนางก็ช่างเถิด แต่ถึงขนาดวางแผนสังหารหยางฮองเฮาและองค์ชายใหญ่หมิงอวี้ เช่นนี้ไม่อาจปล่อยเอาไว้ได้พ่ะย่ะค่ะ!"
"ท่านเจ้ากรมกลาโหมเอ่ยถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเห็นด้วย แต่ไหนแต่ไรองค์หญิงใหญ่หมิงจูวางตนไม่เหมาะสมกับฐานะขององค์หญิงใหญ่เลยแม้แต่น้อย นางมีวรยุทธ์แต่ทว่ากลับใช้มันในทางที่ไม่ถูกไม่ควร เป็นเพียงสตรีจะเรียนรู้เรื่องเหล่านี้ไปด้วยเหตุใดกัน ต้องเป็นเพราะนางมีใจคิดเป็นอื่นแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ นางทำเช่นนี้นับว่ามีใจคิดไม่ซื่อ อีกทั้งหลักฐานก็มัดตัวแน่นหนา ขอฝ่าบาทโปรดทรงลงโทษเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!"
เสียงของเหล่าขุนนางที่เอ่ยร้องขอความเป็นธรรมคนแล้วคนเหล่านั้นทำให้ฮ่องเต้หมิงต่งรู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้าไม่น้อย เขามองดูบุตรสาวของตนที่นั่งคุกเข่าอยู่ด้านหน้าท้องพระโรงด้วยแววตาที่เรียบเฉยคราหนึ่ง
องค์หญิงใหญ่หมิงจู เป็นบุตรสาวคนโตที่เกิดจากเขาและสวีฝูอดีตฮองเฮาผู้ล่วงลับ ซึ่งนางสิ้นพระชนม์ไปเมื่อสามปีก่อนแล้ว เดิมทีเขาไม่เคยมีใจรักใคร่ในตัวนาง แต่ที่ต้องแต่งงานกันก็เพราะยามนั้นนางสามารถเชิดชูอำนาจและบารมีของเขาได้
หลายปีก่อนเขายังเป็นเพียงองค์ชายรองที่เกิดจากนางสนมเล็กๆและต้องการให้ขุนนางฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊สนับสนุนตนให้ได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ ในตอนนั้นบิดาของนางเป็นถึงราชครูผู้มากความสามารถและเป็นที่ไว้วางพระทัยของอดีตฮ่องเต้ สามารถผลักดันเขาขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดได้ เขาจึงยอมแต่งนางเป็นพระชายาเอก
หลังจากได้ตำแหน่งองค์รัชทายาทมาครอบครองสมใจ เขาก็ได้แต่งหยางเจินลี่เข้ามาเป็นพระชายารอง นางคือสตรีที่เขารัก ตระกูลของนางเป็นถึงตระกูลแม่ทัพผู้เก่งกาจ สามารถส่งเสริมให้ขุนนางฝ่ายบู๊ยอมสวามิภักดิ์ต่อเขาได้
เขาลอบใส่ร้ายองค์ชายใหญ่จนเสียชื่อเสียงจนอดีตฮ่องเต้ไม่ทรงโปรดปราณและมอบตำแหน่งองค์รัชทายาทให้เขาเสีย เขาอดทนรอเวลานี้มาหลายปี สุดท้ายก็กำจัดเสี้ยนหนามทั้งหมดและก้าวขึ้นมาเป็นฮ่องเต้พระองค์ใหม่ได้สำเร็จ
เขาได้ครองใต้หล้ามาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว
เมื่อสามปีก่อน หลังจากที่สวีฝูอดีตฮองเฮาสิ้นพระชนม์เพราะโรคประจำตัว ตระกูลสวีก็เสื่อมถอยลง ราชครูสวีไม่มีบุตรชาย เมื่อสูญเสียบุตรสาวอย่างไม่มีวันกลับจึงล้มป่วยและตายจากไป จวนตระกูลสวีกลายเป็นเรือนร้างนับแต่นั้น
เขาแต่งตั้งหยางเจินลี่ขึ้นเป็นฮองเฮาพระองค์ใหม่ และมอบตำแหน่งกั๋วกงให้แก่จวนตระกูลหยาง
ฮ่องเต้หมิงต่งปรายตามองหมิงจู เดิมทีบุตรสาวคนนี้เขาก็ไม่ได้รู้สึกรักใคร่เท่าใดนัก เพราะเขาไม่เคยรักมารดาของนาง แต่กลับรักใคร่องค์ชายหมิงอวี้และองค์หญิงรองหมิงซินอี๋มากกว่า หมิงอวี้นั้นเกิดทีหลังหมิงจูเพียงหนึ่งปี อีกทั้งยังมีความสามารถและเก่งกาจฉลาดรอบรู้
เดิมทีเรื่องที่เด็กๆเล่นสนุกกันจนได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยนั้นไม่นับเป็นอันใด แต่ทว่าหมิงจูกลับถูกตรวจสอบพบว่าลอบวางยาพิษหยางเจินลี่และหมิงอวี้ นี่คือสิ่งที่เขาไม่อาจให้อภัยได้!
หยางเจินลี่เป็นสตรีที่เขารัก บุตรสาวบุตรชายของนางก็เปรียบเสมือนแก้วตาดวงใจของเขา ใจของฮ่องเต้ยากคาดเดาและลำเอียงก็นับเป็นเรื่องปกติมิใช่หรือ
แม้หมิงจูจะปฏิเสธเสียงแข็ง แต่เขากลับไม่ฟังอันใด เขาเชื่อหลักฐานที่ตนเห็นกับตามากกว่า
องค์หญิงใหญ่หมิงจูที่นั่งเงียบอยู่นาน เริ่มอดทนต่อการป้ายสีของเหล่าขุนนางไม่ไหว จึงเงยหน้าไปเอ่ยกับพระบิดาของตนทันที
"เสด็จพ่อ ลูกไม่ได้ทำนะเพคะ หยางฮองเฮาใส่ร้ายลูก ขุนนางพวกนี้ก็เป็นคนของนาง ย่อมต้องเข้าข้างนางอยู่แล้ว ลูกจะทำร้ายนางไปด้วยเหตุใดกัน!"
"หุบปาก ข้าให้เจ้าพูดแล้วหรือ!"
ฮ่องเต้หมิงต่งเอ่ยกับหมิงจูอย่างไม่ชอบใจ หมิงจูเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ส่งเสียงเหอะในลำคอก่อนจะเปล่งเสียงหัวเราะออกมา ฮ่องเต้หมิงต่งเมื่อเห็นว่าบุตรสาวไม่สงวนท่าทีก็พลันขมวดคิ้วมุ่น
เมื่อหัวเราะจนพอใจแล้ว หมิงจูจึงหันมาจ้องมองบิดาของตนเองคราหนึ่ง
นางเป็นถึงองค์หญิงใหญ่ แม้จะมีฐานะสูงส่งแต่กลับอ้างว้างเหลือเกิน ตั้งแต่มารดาตายจากไป นางต้องมีชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก หยางฮองเฮาก็คิดวางแผนการทำร้ายนางอยู่ตลอดเวลา เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ ก็เป็นเพราะนางหลงกลสตรีใจคอชั่วช้าเช่นหยางฮองเฮา
มีหรือที่นางจะไม่รู้ ที่หยางฮองเฮาเกลียดชังนางปานนี้ก็เพราะเกลียดชังมารดานาง จึงเอาโทสะทั้งหมดมาลงกับนาง!
"ลูกไม่ควรร้องขอความเห็นใจจากฮ่องเต้หมิงต่งเลยจริงๆ แต่ไหนแต่ไรท่านก็ไม่เคยเชื่อคำของลูก ท่านเชื่อแต่หยางเจินลี่และบุตรทั้งสองคนที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของท่านเท่านั้น ลูกมันก็เป็นเพียงส่วนเกินที่ท่านอยากกำจัดทิ้งใจจะขาด!"
"หมิงจู เจ้าจะบังอาจเกินไปแล้วนะ!"
ฮ่องเต้หมิงต่งที่ถูกบุตรสาวต่อว่ากลางท้องพระโรงต่อหน้าเหล่าขุนนางก็โทสะคุกรุ่น หมิงจูที่เห็นเช่นนั้นกลับไม่หวาดหวั่นแม้แต่น้อย
"เสด็จพ่อ ลูกไม่ผิด แต่ไหนแต่ไรลูกไม่เคยทำผิดคิดชั่ว แต่ท่านกลับไม่เคยฟังเสียงของลูกเลย ท่านช่างเป็นบิดาที่ใจคอคับแคบยิ่งนัก !"
"บังอาจนัก! ในเมื่อเจ้าไม่ยอมรับผิด อีกทั้งยังทำตัวโอหัง เช่นนั้นก็ดี ทหาร! จับตัวองค์หญิงใหญ่ไปขังเอาไว้ในคุกหลวง โบยนางห้าสิบไม้ ชั่วชีวิตนี้อย่าได้ออกมาเห็นเดือนเห็นตะวันอีก!"
หมิงจูเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มเยาะในชะตาของตน
"เสด็จพ่อ พระองค์ช่างเป็นบิดาที่ประเสริฐยิ่งนัก!"
เหล่าทหารรีบเข้ามาลากตัวนางออกไป ก่อนจากหมิงจูหันไปมองบิดาของตน ดวงตาของนางแดงกล่ำ แต่กลับไม่มีน้ำตาไหลออกมาสักหยด นางเปล่งเสียงตะโกนจนก้องไปทั่วทั้งโรงพระโรง
"เสด็จพ่อ หากพวกเราได้พบกันอีกครั้งในชาติหน้า ข้าจะไม่มีทางเรียกท่านว่าเสด็จพ่อ และจะไม่ขอเกิดเป็นบุตรของท่านอีก!"
เอ่ยจบนางก็ไม่ขัดขืนอันใดอีก ปล่อยให้เหล่าทหารลากตัวนางออกไปจากท้องพระโรงอย่างว่าง่าย
นางถูกโบยอย่างไร้ความปรานี เหล่าขันทีที่ลงมือตีนางล้วนเป็นคนของหยางเจินลี่มีหรือพวกเขาจะยอมเมตตาปรานีนาง
หมิงจูไม่ร้องออกมาเลยแม้แต่น้อย เหงื่อผุดซึมขึ้นเต็มใบหน้าของนาง หญิงสาวหมดสติไปหลายครั้ง นางรู้สึกเหมือนว่าร่างกายของตนแทบจะแหลกละเอียดแล้ว
นางถูกลากตัวมาขังในคุกหลวงด้วยสภาพโลหิตโทรมกาย ใบหน้างามซีดเผือด ไม่หลงเหลือท่าทีอวดดีขององค์หญิงใหญ่อีก
ยามที่เสด็จแม่ยังอยู่ แม้หยางเจินลี่จะเหิมเกริมแต่กลับไม่กล้าแตะต้องนาง เพราะอย่างไรเสด็จพ่อก็ยังเห็นแก่หน้าท่านตาของนางอยู่ แต่เมื่อสิ้นตระกูลสวี สิ้นเสด็จแม่ นางกลับไร้ที่พึ่งพิง บิดามีใจลำเอียง เชื่อคำยุยงของผู้อื่น
ตั้งแต่เล็กจนโต เท่าที่นางจำความได้ เสด็จพ่อไม่เคยสนใจนางเลย สิ่งใดที่ดีดีล้วนส่งไปให้หมิงอวี้และหมิงซินอี๋ก่อน นางทั้งน้อยใจทั้งโมโห จึงเอาโทสะที่มีไปลงกับเหล่าขุนนางและข้ารับใช้หวังจะใช้ความรุนแรงเรียกร้องความสนใจจากเสด็จพ่อ แต่มันกลับกลายเป็นว่านางทำตัวเหิมเกริม บ้าอำนาจ มีใจคิดไม่ซื่อไปเสียอย่างนั้น
"ฮึก ฮือ"
ก่อนหน้านี้นางพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้มันไหลออกมา แต่ยามนี้มันกลับพังทลายราวคำนบแตก นางร้องไห้ด้วยความเสียใจ น้อยใจ คำว่าครอบครัวคืออันใดนางไม่เคยรู้จัก ความรักจากบิดาคืออันใดนางไม่เคยเข้าใจ เพราะเสด็จพ่อเฉยชาต่อนางและมารดามาโดยตลอด
"พี่หญิง ข้ามาส่งท่านเป็นครั้งสุดท้าย ขอให้ท่านเดินทางไปปรโลกอย่างมีความสุข อย่าได้อยู่เป็นตัวขวางหูขวางตาของพวกเราอีกต่อไปเลย"
เสียงหวานใสของสตรีนางหนึ่งเอ่ยขึ้นมาท่ามกลางความมืด ในน้ำเสียงนั้นเจือไปด้วยความเวทนาและขบขัน หมิงจูพยายามเงยหน้าไปมอง ภายใต้แสงสลัวเรือนลางของเปลวเทียนทำให้นางมองเห็นใบหน้าของผู้มาใหม่ได้อย่างชัดเจน
เป็นหมิงซินอี๋!
ยามนั้นหยางเจินลี่ยังเป็นเพียงพระสนมเอก หมิงซินอี๋ย่อมไม่อาจเทียบกับบุตรที่เกิดจากฮองเฮาเช่นนางได้ แต่หลังจากมารดาหมิงซินอี๋ได้เป็นฮองเฮา หมิงซินอี๋ก็ยิ่งกำเริบเสิบสาน วางอำนาจบาตรใหญ่ ถึงขนาดลอบใส่ร้ายนางสารพัด ยิ่งทำให้ท่านพ่อเกลียดชังและไม่ชอบใจในตัวนางมากขึ้นไปอีก ถึงขนาดคิดว่านางจะลอบฆ่าเชื้อพระวงศ์และตั้งตนเป็นฮ่องเต้หญิงเสียเอง
หมิงจูไม่เอ่ยตอบโต้อันใด นางสิ้นหวังกับชีวิตไปตั้งนานแล้ว ยามนี้ในใจของนางไม่มีแม้กระทั่งความแค้นหลงเหลืออยู่เลยด้วยซ้ำ นางถึงกับภาวนาต่อเทพบนสวรรค์ว่า หากนางมีโอกาศเกิดใหม่อีกครั้ง ขอให้นางได้เกิดในตระกูลธรรมดา ไม่ต้องมีฐานะสูงศักดิ์ เป็นเพียงบุตรสาวที่ถูกบิดามารดารักใคร่ถนอมอยู่ในฝ่ามือราวไข่มุก มีพี่น้องที่รักใคร่และจริงใจต่อกัน เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
นางไม่อยากจะแก้แค้นผู้ใดทั้งสิ้น นางคิดเพียงว่านี่คือชะตากรรมที่นางต้องยอมรับ
นางหวังเพียงว่าหากได้พบกับท่านแม่อีกครา นางจะทำทุกทางให้ท่านแม่มีความสุข
ด้านหมิงซินอี๋เมื่อเห็นว่าหมิงจูไม่เอ่ยตอบโต้เช่นที่เคยทำมาตลอดก็รู้สึกหมดสนุก นางสั่งให้คนนำน้ำเกลือมาสาดลงบนบาดแผลหมิงจู ก่อนจะยกเท้าเหยียบกลางหลังหมิงจู เมื่อรังแกคนจนสาแก่ใจแล้ว นางจึงจากไปด้วยใจที่เป็นสุข
หมิงจูนอนคว่ำหน้าด้วยแววตาเลื่อนลอย ภาพตรงหน้าค่อยๆมืดลงทุกขณะ ในที่สุดห้วงจิตสุดท้ายของนางก็มอดดับลง
นางได้จากโลกใบนี้ไปตลอดกาลแล้ว
"องค์หญิงใหญ่สิ้นพระชนม์แล้ว ฝ่าบาทมีรับสั่งว่าให้นำศพของนางไปฝังที่นอกนครหลวง ห้ามนำไปฝังในสุสานราชวงศ์และไม่ต้องสลักป้ายชื่อหน้าหลุมศพ!"
เหล่าทหารเมื่อได้ยินคำสั่งก็รีบเข้ามาหามศพของหมิงจูออกไปฝังยังด้านนอกนครหลวง ก่อนจะจัดการฝังศพของนางอย่างลวกๆที่ตีนเขาวัดไป๋หม่าราวกับศพไร้ญาติ
หมิงจูที่กลายเป็นวิญญาณล่องลอยได้มองเห็นเรื่องราวนี้ทั้งหมด ท่านพ่อเกลียดชังนางถึงกับไม่ให้นางฝังในสุสานราชวงศ์ และยังไม่ให้สลักป้ายชื่อของนาง แต่กลับนำนางมาฝังที่ตีนเขาวัดไป๋หม่า เสด็จพ่อทำราวกับว่านางไม่ใช่บุตรของเขา
หมิงจูมองภาพเหล่านั้นด้วยแววตาไม่ยินดียินร้าย
เมื่อทหารจากไปหมดแล้ว ก็มีบุรุษผู้หนึ่งปรากกฎตัวขึ้น เขาสวมชุดสีขาวทั้งชุด และยังสวมหมวกงอบปิดบังใบหน้าเอาไว้ ท่วงท่าดูสง่างามราวกับเทพเซียน หมิงจูที่เห็นเช่นนั้นก็ย่นหัวคิ้วพลางมองชายหนุ่มผู้มาใหม่ด้วยความแปลกใจ
เขาจัดการฝังศพของนางใหม่ และยังสลักป้ายชื่อหน้าหลุมศพของนางด้วยตนเอง เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วชายหนุ่มจึงทิ้งกายนั่งลงข้างหลุมศพของนางอย่างเกียจคร้าน ท่าทีของเขาดูเรียบเฉยและเย็นชาราวน้ำแข็งจนนางสัมผัสได้
"หมิงจู ข้าจะดูแลหลุมศพของเจ้าเอง หากชาติหน้ามีจริง พวกเรามาดื่มสุราด้วยกันอีกคราดีหรือไม่?"
เมื่อได้ยินเสียงของเขา หมิงจูก็ตัวชาวาบ
หยางซี เป็นหยางซีหรือ?
อยู่ๆร่างของนางก็คล้ายถูกเหวี่ยงอย่างแรง ก่อนที่นางจะหมดสติไปอีกครั้งหนึ่ง
