บทนำ เมื่อรักมาแนบใจ
มือเรียวลากเมาส์มาคลิกภาพถ่ายล่าสุดของสองหนุ่มสาวซึ่งพร้อมใจอวดแหวนหมั้น ฉีกยิ้มอย่างมีความสุขบนหน้าเฟสบุ๊ก เพียงเห็นภาพชื่นมื่น หัวใจดิ่งวูบ อาการชาหนึบอันเริ่มต้นจากหัวใจจึงลามเลียไปทั่วทั้งร่าง อารมณ์ผิดหวังฉับพลัน จึงจุดปะทุขึ้นมาทันที!
“บ้าเอ๊ย!” หญิงสาวสบถหัวเสีย ปัดมือไปโดนสิ่งของด้วยความไม่พอใจ เสียงแก้วเซรามิคตกสู่พื้น แตกกระจายเป็นเศษเล็กเศษน้อยเช่นเดียวกับหัวใจ นำพาความเครียดมาสู่ณหฤทัยซึ่งอยู่ในสภาพ ‘ผู้ป่วยสามขา’ เป็นอย่างมาก หญิงสาวพ่นลมออกจากปาก ก่อนใช้ไม้ค้ำพยุงร่าง เดินเขยกไปหยิบไม้กวาดและที่โกยผงมาจัดการกับเศษแก้วอย่างทุลักทุเล...
ซึ่งสิ่งที่ทำ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย!
จัดการกับเศษแก้วเรียบร้อย หญิงสาวจึงเดินเขยกกลับมาทิ้งตัวนั่งที่เดิมอย่างยากลำบาก พร้อมเสียงทอดถอนหายใจอีกเฮือก ต้องบอกว่านี่คือการเผชิญหน้ากับความลำบากที่สุดในชีวิตก็ว่าได้ ครั้นจะบอกว่านี่คือจุดเริ่มต้นฉลองวัยเบญจเพสก็ไม่ผิด
ทุกอย่างดูแย่ มันแย่ไปหมด!
เริ่มต้นตั้งแต่เธอเซ็นรับวัสดุก่อสร้างแทนสถาปนิกที่ทำงานร่วมกัน แต่ลูกค้ากลับเบี้ยวค่าวัสดุก่อสร้าง ชิ่งหนีไปต่างประเทศ ส่วนสถาปนิกรายนั้นได้ยื่นซองขาวลาออก เพื่อหนีปัญหาที่เกิดขึ้น เธอจึงต้องรับผิดชอบหนี้สินร่วมห้าหมื่นบาทคนเดียว!
ถัดจากนั้นได้วันเดียวเธอประสบอุบัติเหตุ ถูกหินตัวหนอนตกทับขาตอนเข้าไปดูงานก่อสร้างจนต้องหามตัวส่งโรงพยาบาล แต่ความซวยไม่จบแค่นั้น รถแท็กซี่ที่โดยสารไปโรงพยาบาลดันขับซิ่งฝ่าสี่แยกไฟแดง ชนโครมกับรถอีกคันซึ่งวิ่งตรงมาจากอีกทาง ผู้โดยสารอย่างเธอจึงได้รับอภินันทนาการในเรื่องนี้ไปด้วย!
ก็น่าฟาดเคราะห์ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดไปแล้ว แต่ความโชคร้ายไม่หมดแค่นั้น พอออกจากโรงพยาบาลได้วันเดียว บิ๊กเซอร์ไพรซ์ครั้งใหม่จึงเกิดขึ้นอีก นั่นคือ ‘ฉัตรกร’ เพื่อนร่วมงานรุ่นน้องซึ่งเป็นสถาปนิกที่เธอตกหลุมรักมานานตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยกำลังประกาศสละโสด!
ทั้งที่ไม่เคยเชื่อในเรื่องโชคชะตา แต่ให้ตายเถอะ! ทำไมทุกอย่างถึงมาประจวบเหมาะในสัปดาห์ครบรอบวันเกิดอายุ 25 ปีของเธอด้วยนะ ณหฤทัยทำหน้าเซ็งสุดชีวิต ไม่วายกัดฟันกดถูกใจภาพถ่ายในเฟสบุ๊กให้ฉัตรกร รวมถึงแสดงความยินดีกับเขา ทั้งที่ความจริงเธออยากเป็นผู้หญิงผู้โชคดีในภาพถ่ายด้วยซ้ำ!
ระหว่างจมอยู่กับความเครียด เสียงโทรศัพท์จึงดังขึ้น
“ว่าไง?” ณหฤทัยกรอกเสียงห้วน ๆ ลงไป ทั้งที่สารพัดอารมณ์กำลังเล่นงาน
“ได้ข่าวว่าพี่ออกจากโรงพยาบาลแล้ว เลยโทรมาถาม อาการเป็นไงบ้างล่ะ?”
เป็นความห่วงใยที่ทำให้ณหฤทัยรู้สึกดีใจ แต่ก็แค่พริบตาเดียวเท่านั้น... เธอเม้มปากเป็นเส้นตรง ภาพผู้หญิงหน้าเศร้า ผมเผ้ายุ่งเหยิง มีเฝือกสวมอยู่ที่ขาและมีไม้ค้ำพิงข้างโต๊ะทำงานสะท้อนอยู่ในกระจกเงาบานใหญ่ซึ่งถูกนำมาติดไว้ในห้อง นึกอยากบอกเหลือเกินว่า ‘เจ็บหนัก’ ต้องรักษาตัวอีกนาน
แต่กระดูกหักต้องเข้าเฝือกสามเดือน ยังไม่สาหัสเท่ากับหัวใจที่แหลกสลาย เพราะแอบรักเขาข้างเดียวหรอก!
“ตอนนี้มีสามขา”
“เท่เลยพี่ แบบนี้งานแต่งผมจะหายทันมั้ยเนี่ย?”
หากฉัตรกรเห็นหน้าผู้ป่วยสักนิด จะรู้ว่าสีหน้าสดใสเปื้อนรอยยิ้มเป็นนิจสินนั้นอันตรธานเรียบร้อย ตอนนี้สีหน้าของมัณฑนากรสาวดูแห้งเหี่ยว หมดอาลัยตายอยาก ราวกับต้นไม้ขาดน้ำเลยทีเดียว!
“งานแต่งของนายเมื่อไหร่ล่ะ?” ถึงจะเจ็บจี๊ด ๆ ที่ใจ แต่หญิงสาวจำต้องกัดฟันถามออกไปเป็นมารยาท
“อีกสองเดือนข้างหน้าน่ะ”
คำตอบนั้นยิ่งตอกย้ำลงไปในความรู้สึก ณหฤทัยรู้สึกว่าเนื้อใจของเธอกำลังถูกน้ำกรดหยดใส่เลยทีเดียว
“ยินดีด้วยนะฉัตร” เธอฝืนยิ้มเศร้า พยายามกลั้นไม่ให้น้ำตาไหลลงมาสุดความสามารถ
“ขอบคุณคร๊าบ” สถาปนิกหนุ่มไม่วายลากเสียงยาว อีกทั้งหัวเราะอย่างทะเล้น “หายให้ทันนะ ไม่อยากให้พี่เดินสามขามางานแต่งผม อ้อ ใส่กระโปรงสวย ๆ มาด้วยล่ะ ผมอยากเห็นพี่เป็นผู้หญิงกับเขาบ้าง”
“ฉันก็เป็นผู้หญิงอยู่นี่ไง ผู้หญิงทั้งแท่งด้วยซ้ำ” แม้จะคุยผ่านโทรศัพท์ ณหฤทัยไม่วายเท้าสะเอว ในสภาพที่น้ำตาคลอเบ้าตาด้วยสิ
“ทั้งแท่งเลยเหรอพี่?” สถาปนิกหนุ่มไม่วายกระเซ้าเย้าแหย่ อีกทั้งหัวเราะอารมณ์ดี
“มีอะไรอีกมั้ย? ถ้าไม่มีฉันจะนอนละ”
“เดี๋ยว ๆ ว่าจะถามเรื่องแปลนบ้านของลูกค้า พี่เอาไปเก็บไว้ไหน ผมหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ หรือกลืนลงท้องไปแล้ว?”
“ตลกล่ะ นายเคยกินหรือไง ตาบ๊อง” ณหฤทัยทำเสียงเขียว รู้สึกว่าตนเองทำงานควบหลายตำแหน่ง จนมั่วไปหมดก็ตอนที่ฉัตรกรถามหาแปลนบ้านนี่ล่ะ
อันที่จริงเธอเรียนจบสถาปัตยกรรม มหาวิทยาลัยและคณะเดียวกับฉัตรกรเลย ตอนยื่นใบสมัครงานกับบริษัทเธอสมัครในตำแหน่งสถาปนิก แต่เพราะเธอชอบเรื่องงานตกแต่งภายในมากกว่า และทำได้ดีกว่า เธอจึงย้ายตัวเองมาอยู่ตำแหน่งมัณฑนากร ดังนั้นเรื่องออกแบบบ้าน เขียนแปลนบ้านเธอจึงรับงานทำได้สบาย และหลาย ๆ ครั้งเธอลุยงานด้วยตนเองด้วยซ้ำ
ฉัตรกรหัวเราะ “ยังไม่เคยลองนะ”
“เอาไว้หายก่อน เดี๋ยวฉันจะฉีกแปลนบ้านมาต้มกาแฟให้นายกิน”
“โหดจังพี่ปูเป้ เอาดี ๆ สิ ช่วยคิดหน่อย แปลนบ้านอยู่ไหน?”
“โต๊ะเขียนแบบไง” ถึงจะบอกตำแหน่งที่อยู่ของชิ้นงานไป แต่ณหฤทัยไม่มั่นใจเท่าไหร่นัก โปรเจกต์นี้เธอแค่รับงานจากฉัตรกรมาช่วยทำเท่านั้น แต่ยังไม่เสร็จ ซ้ำยังต้องเข้าโรงพยาบาลรักษาตัวกะทันหันอีก
“ไม่เห็นมีเลย ผมหาทั่วแล้ว”
“ถ้างั้นก็ที่โต๊ะทำงาน”
“ไม่มีอีกแหละ”
“หายไปได้ไงว้า” มัณฑนากรสาวเกาศีรษะไม่วายบ่นพึมพำ แต่สถาปนิกหนุ่มซึ่งทำงานทีมเดียวกันกลับหูไวได้ยิน
“เอากลับไปทำที่บ้านหรือเปล่า?”
คราวนี้ณหฤทัยเป็นฝ่ายนิ่วหน้าเพื่อนึกถึงสิ่งที่ฉัตรกรตามหา พอบอกว่าที่บ้าน หญิงสาวจึงนึกออก
“สงสัยอยู่ในลิ้นชักแล้วล่ะมั้ง” สิ้นคำ เธอได้ยินเสียงก๊อกแก๊กตามมา
“ลิ้นชักเปิดไม่ได้”
“ออกแรงดึงหน่อยสิ เอกสารเยอะ”
“ลิ้นชักล็อกครับ ผมไม่มีลูกกุญแจ”
เจ้าของโต๊ะทำงานยิ้มแหย เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเธอเองนั่นล่ะที่โยนงานใส่ลิ้นชัก อีกทั้งล็อกกุญแจดิบดีเพราะความคุ้นชิน ซ้ำยังเอาลูกกุญแจกลับบ้าน พอเปิดลิ้นชักโต๊ะทำงานที่บ้านออก ณหฤทัยจึงพบสิ่งที่ฉัตรกรต้องการ
“อยู่นี่ ฉันหยิบติดมือกลับบ้านมาด้วย”
“ว่าแล้ว... โอเคเลยพี่ งั้นเลิกงานผมแวะไปหาที่บ้าน แค่นี้ก่อนนะ”
“เดี๋ยว”
ไม่ทันซะแล้ว.... ฉัตรกรวางสายไปพักใหญ่ แต่ณหฤทัยยังถือโทรศัพท์ค้างอยู่แบบนั้น พอตั้งหลัก เรียกสติกลับคืนมาได้หญิงสาวจึงวางโทรศัพท์ลงแล้วนอนหนุนแขนตัวเอง อย่างไม่รู้ว่าจะทำอะไรที่ดีกว่านั้น
“งานเข้าแล้วไงยายปูเป้!” มัณฑนากรสาวงึมงำ เมื่อเห็นปัญหาที่กำลังจะตามมาในอีกไม่ถึงสองชั่วโมงข้างหน้า ถ้าฉัตรกรมาเหยียบบ้านหลังนี้ นั่นย่อมหมายความว่าเธอต้องทำลายหลักฐานหลาย ๆ อย่าง!
อย่างน้อยก็รูปถ่ายที่ใส่กรอบอย่างดีตั้งไว้ในตู้โชว์ แล้วไหนจะรูปถ่ายสารพัดมุมที่สอดไว้ใต้กระจกบนโต๊ะทำงานอีก ณหฤทัยบอกตัวเองว่า ทุกอย่างจะลงตัวในเวลารวดเร็ว หากเธอไม่อยู่ในสภาพนี้ แต่เพราะสภาพสามขา หยิบจับอะไรก็ไม่สะดวกนี่สิ ที่ทำให้เธอหนักใจ
เฮ้อ... ทำไมต้องมาเป็นเอาตอนนี้ด้วยนะ!
