ตอนที่ 5 ตั้งแผงขายในตลาดมืด
เสียงเรียกของเถ้าแก่เนี๊ยของร้านช่วยฉุดรั้งเธอออกจากภาพฝันในอนาคต จางซิ่วอิงเดินเข้าไปหาลูกค้ารายแรกของเธอทันทีอย่างไม่ลังเล ก่อนจะวางสินค้าตามรายการสั่งซื้อลงบนโต๊ะตรงหน้าให้คุณป้าฟางอิงได้ตรวจสอบ
“ดี ๆ ของดีทั้งนั้น นี่ค่าของนับดูก่อนสิ!”หลังจากตรวจนับของที่สั่งไปจนครบถ้วนแล้ว หญิงวัยกลางคนจึงกล่าวขึ้นอย่างพึงพอใจ ในมือนั้นถือขาหมูที่แพ็คมาอย่างดีดูสะอาดน่าทำอาหารมากกว่าหลายร้านที่ซื้อมาก่อนหน้าเป็นอย่างมาก พลันยื่นถุงเงินใบเล็กที่มีเงินอัดแน่นอยู่ในนั้นให้กับหญิงสาวตรงหน้า
จางซิ่วอิงรับถุงเงินใบเล็กมา ก่อนจะโยนไว้ในกระเป๋าผ้าคู่กายอย่างไม่คิดมาก แล้วตอบคุณป้าไปด้วยรอยยิ้มใสซื่อ “ไม่เป็นไรค่ะ คุณป้าว่าเท่าไหร่ก็ตามนั้น”
“เธอนี่นะ ไม่กลัวฉันโกงหรืออย่างไร?”แม้จะพูดไปอย่างนั้น แต่แววตาที่มองหญิงสาวคราวลูกก็อ่อนลงไม่น้อย พลันเกิดความรู้สึกเอ็นดูอยู่เล็ก ๆ หลังจากได้เห็นรอยยิ้มใสซื่อนั่น
แม้จะไม่อยากเชื่อว่าหญิงสาวที่มีคาดว่าคงมาจากชนบทคนนี้จะมีเส้นสายมากพอที่จะหาของเหล่านี้มาขายให้เธอได้ ด้วยการแต่งกายก็นับได้ว่าธรรมดา ใบหน้าแม้จะดีมีเสน่ห์ไม่หยอก แต่ทว่าเส้นผมและผิวพรรณกลับดูคล้ายกับไม่ได้รับการดูแลมานาน ในใจของหญิงวัยกลางคนแอบเกิดความสงสัยขึ้นมาแต่เพียงไม่นานก็ปัดทิ้งไป แล้วหันมาสนใจคำพูดฉะฉานและรอยยิ้มใสซื่อของหญิงสาวแทน
“ไม่กลัวค่ะ ว่าแต่คุณป้าคะ หนูมีของแถมให้คุณป้าด้วย ลองทานดูนะคะ ถ้าชอบครั้งหน้าค่อยสั่งซื้อกับหนูก็ได้”จางซิ่วอิงยิ้มกว้างทำท่าทางราวกับพึ่งนึกบางสิ่งขึ้นมาได้ พลางทำเป็นหยิบของออกจากกระเป๋าผ้า ทั้งที่จริงแล้วเธอเรียกมันออกมาจากมิติต่างหาก
มือเรียววางหมูแผ่น หมูฝอย และหมูหยองอย่างละสองแพ็คไว้ข้างกันกับของสดที่นำมาก่อนหน้า ก่อนจะผายมืออธิบายชื่อและรสชาติของแต่ละอย่างรวมถึงวิธีการกินด้วยน้ำเสียงฉะฉาน คำพูดคำจาที่เต็มไปด้วยความมั่นใจแตกต่างจากหญิงสาวการศึกษาน้อยจากชนบทโดยสิ้นเชิง
“ขอบใจนะ ”หลี่ฟางอิงยิ้มรับพลางกล่าวขอบคุณด้วยน้ำเสียงใจดี แววตาที่มองจางซิ่วอิงนั้นแปรเปลี่ยนเป็นความเอ็นดูอย่างเต็มเปี่ยม
เธอเองเป็นแม่ค้ามาเกือบทั้งชีวิต ตระกูลเธอนั้นค้าขายมาหลายชั่วอายุ แต่ละรุ่นนั้นผ่านคำพูดดูถูกเหยียดหยามมาตั้งเท่าไหร่ จนกระทั่งแต่งออกมาครอบครัวสามีก็มีกิจการค้าขายเช่นกัน
ในยุคนี้การค้าขายก็ยังถือเป็นเรื่องน่าอายสำหรับคนส่วนมากอยู่ดี หายากนักที่ใครจะออกมาทำการค้าโดยไม่มีท่าทางเอียงอาย แต่ดูเด็กคนนี้ทำสิ แทนที่จะอายกลับพูดจากับคนที่เจอหน้ากันครั้งแรกได้อย่างลื่นไหล การเจรจาค้าขายเต็มไปด้วยความมั่นใจ แถมรอยยิ้มจริงใจของหล่อน เธอคิดว่าอนาคตเด็กคนนี้คงเป็นเจ้าของกิจการใหญ่โตได้ไม่ยาก
จางซิ่วอิงพูดคุยกับเถ้าแก่เนี๊ยของร้านตระกูลเฉิงต่ออีกเพียงเล็กน้อย ก่อนจะขอตัวกลับบ้านไป ตอนนี้ก็เย็นย่ำแล้วหากช้ากว่านี้เธอคงไม่ทันขึ้นเกวียนรอบสุดท้ายอย่างแน่นอน
ตลอดการเดินทางกลับบรรยากาศระหว่างทางก็ไม่ได้ต่างจากตอนมานัก มนุษย์ป้าก็ยังคงเป็นมนุษย์ป้าเช่นเดิม เรื่องคนอื่นนี่รู้ดีเหลือเกิน ติฉินนินทาคนอื่นไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเลยสินะ พลันจางซิ่วอิงเพียงแค่มองออกไปด้านนอกอย่างไม่ใส่ใจ เพียงไม่นานเกวียนก็หยุดลง เธอจ่ายเงินค่าเกวียนก่อนจะเดินตรงกลับบ้านโดยไม่สนใจสายตาที่มองตามหลังมาแม้แต่น้อย
ร่างบางเปิดประตูเข้าไปในตัวบ้านหลังเก่าทรุดโทรม ก่อนจะเริ่มทำอาหารมื้อเย็นสองอย่างพร้อมกับหุงข้าวขาวไว้ จากนั้นจึงต้มน้ำไว้สำหรับอาบ ตอนนี้อากาศเย็นลงมากแล้วเพราะใกล้ฤดูหนาว ในยุคที่เครื่องทำน้ำอุ่นไม่มี ไฟฟ้ายังเข้าไม่ถึงพื้นที่ชนบท เห็นทีคงต้องต้มน้ำอาบทุกวัน เพราะเธอเคยชินกับการอาบน้ำวันละสองครั้งจากโลกก่อนไปแล้ว
หลังจากทานอาหารเสร็จน้ำสำหรับอาบก็เดือดพอดี จางซิ่วอิงนำไปผสมอาบในเวลาต่อมา น้ำอุ่นกำลังดีช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย ยาสระผมและครีมนวดผมยี่ห้อที่เคยใช้เป็นประจำในชีวิตก่อนถูกนำมาใช้บำรุงผมแห้งกรอบให้นุ่มลื่นยิ่งขึ้น โดยที่ผิวหยาบกร้านก็ถูกสบู่เหลวกลิ่นหอมฟอกจนสะอาดหมดจดทุกอณูเช่นกัน
ทันทีที่จัดการตัวเองเรียบร้อยร่างบางจึงเดินสำรวจตรวจตราประตูหน้าต่างจนเรียบร้อยดีแล้ว จึงได้เดินเข้าห้องไป พลันนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้นับเงินจากการค้าในวันนี้ จึงหยิบออกมานับซึ่งกระเป๋าเงินใบน้อยของคุณป้าก็เรียกรอยยิ้มเต็มใบหน้าให้กับหญิงสาวในทันทีที่นับเสร็จ
การค้าครั้งแรกของเธอในโลกนี้เธอได้รับเงินมาจำนวนสองร้อยสิบห้าหยวน ซึ่งมากกว่าคนที่ทำงานในแปลงนาทั้งปี หรือคนที่ทำโรงงานในยุคนี้ก็ยังไม่ได้เท่านี้ด้วยซ้ำ แต่มันยังไม่มากพอที่จะซื้อบ้านสำหรับครอบครัวในอนาคตของเธอ
จางซิ่วอิงเลือกสมุดบัญชีเล่มใหญ่ ไม้บรรทัด ปากกาออกมาจากมิติ ก่อนจะลงมือทำบัญชีที่อ้างอิงรูปแบบจากโลกที่เธอจากมา จากนั้นจึงนำเงินที่ขายได้เก็บเข้ามิติไปพร้อมกับสมุดบัญชีที่ลงรายละเอียดของวันนี้เรียบร้อยแล้ว
ร่างบอบบางล้มตัวลงนอนบนที่นอนนุ่มหอมสะอาด ก่อนจะหลับตาพริ้มด้วยความสุขใจ อย่างน้อยชีวิตในโลกนี้ก็ไม่ได้แย่นัก แม้จะแร้นแค้นไปบ้างแต่เธอยังมีมิติอยู่กับตัว และที่สำคัญชีวิตนี้เธอเป็นผู้หญิงอย่างแท้จริง
ส่วนเรื่องความรักนั้นจะสมหวังหรือไม่คงต้องรอสามีกลับมาแล้วพยายามกันดูอีกสักตั้ง หากเข้ากันได้ก็ไปต่อ แต่หากอยู่ด้วยกันไม่ได้ก็แยกย้าย และเมื่อปัญหาที่รบกวนจิตใจถูกปลดเปลื้อง สุดท้ายแล้วความง่วงงุนก็เข้าแทนที่ทุกสิ่ง ร่างบางบนเตียงเก่านั้นหลับสนิทเป็นที่เรียบร้อย
เช้าวันต่อมาหลังจากจัดการตัวเองและทานอาหารเช้าเรียบร้อย จางซิ่วอิงตั้งใจจะไปขายของที่ตลาดมืดสักหน่อย ก่อนกลับจะได้สอบถามราคาบ้านระแวกนั้น และสุดท้ายเธอว่าจะซื้อเสื้อผ้าให้ตัวเองและสามีสักสองสามชุด เพราะชุดที่มีอยู่นั้นทั้งเก่าและบาง แถมรอยปะก็มีไม่น้อยแล้ว ครั้นจะเอาออกมาจากมิติเสื้อผ้าในนั้นก็ออกจะทันสมัยเกินไป เห็นทีจะเป็นที่สนใจเกินไปหากสวมใส่
จางซิ่วอิงเดินทางด้วยเกวียนเช่นเดิม แต่เป็นรอบเช้าของวันที่มีคนค่อนข้างน้อยกว่ารอบบ่าย หญิงสาวยังคงเชิดหน้าเดินด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมโดยไม่สนสายตาของคนที่มองเธอด้วยสายตาดูแคลน
ทันทีที่เกวียนจอดหญิงสาวเดินตรงเข้าไปในตลาดมืดทันที เธอเลือกปูผ้าสีเหลี่ยมเพื่อวางของข้างแผงของคุณยายท่านหนึ่งซึ่งกำลังขายผักอยู่ หลังจากได้ที่ขายแล้วจึงทำทีเป็นเดินไปขนของ
ร่างบางเดินไปในซอกตึกที่ลับตาคนก่อนจะเรียกเอาของในมิติออกมา วันนี้เธอเลือกแอปเปิ้ลลูกโตสีสันน่ากินออกมาสองลัง นมวัวห้าแกลลอน เนื้ออีกหลายสิบแพ็คออกมาวางขาย
ซึ่งหลังจากวางสินค้าได้เพียงแค่ครึ่งหนึ่งก็มีลูกค้ารายแรกมาถามซื้อ เธอก็แจ้งราคาที่คิดไว้ไป จนกระทั่งตกลงซื้อขายและลูกค้าคนแรกนั้นเดินออกจากแผงเธอไปพร้อมกับของในมือ หลังจากนั้นเพียงไม่นานแผงของเธอก็เต็มไปด้วยลูกค้ามากหน้าหลายตา ผ่านไปราว ๆ เกือบหนึ่งชั่วโมงแผงของจางซิ่วอิงจึงเหลือเพียงแค่ผ้าปูผืนบางเท่านั้น
โดยลูกค้าหลายคนถามคล้าย ๆ กันว่าเธอจะมาขายอีกวันใดบ้าง ซึ่งเธอก็ตอบไปตามตรงว่าจะมาขายทุกวัน สินค้าอาจสลับสับเปลี่ยนกันไป
ที่ต้องมาขายทุกวันอย่าได้มองว่าเธอขยันเชียว เพราะที่ทำไปเธอแค่ร้อนเงินเท่านั้น เธออยากเก็บเงินซื้อบ้านใหม่ให้เร็วที่สุด จะได้ตัดขาดจากครอบครัวสามีสักที แต่หากสามีเธอไม่เห็นด้วยเธอก็พร้อมจะตัดขาดสามีและหย่าขาดเช่นกัน
