บทที่ 1 ชะตาที่เปลี่ยนไป
แอ๊ด!
ประตูไม้บานใหญ่ของหอนอนที่อยู่ในจวนอ๋องถูกเปิดเข้าเปิดออกอย่างนับครั้งไม่ถ้วน บ่าวรับใช้ในจวนพากันวิ่งวุ่นแทบจะชนกัน กลิ่นยาและกลิ่นสมุนไพรลอยคละคลุ้งไปทั่วห้อง เสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นเป็นระยะๆ หยดน้ำตาไหลพร่างพรายออกจากใบหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า
‘เจ็บเหลือเกิน'
“พระชายาออกแรงแบ่งอีกนิดนะเพคะ” หมอหญิงผู้รับหน้าที่ในการทำคลอดเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อของ ‘จวีลู่ม่าน' ยามนี้เวลาก็ผ่านไปนานแล้ว ศีรษะของทารกน้อยก็ยังไม่ได้คลอดออกมา มิหนำซ้ำเรี่ยวแรงของพระชายาก็เริ่มลดน้อยลงไปทุกทีๆแล้ว
จวีลู่ม่านหอบหายใจสะท้าน รู้สึกเจ็บปวดราวกับร่างกายจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ แต่ด้วยสัญชาตญาณของความเป็นแม่ก็ทำให้นางกัดฟันรวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายออกแรงเบ่ง
“อื้อ!”
“ศีรษะคลอดออกมาแล้ว” หมอหญิงร้องขึ้นด้วยความดีใจ เมื่อเห็นศีรษะของทารกน้อยที่โผล่ออกมาจากภายในช่องคลอด
“พระชายาอดทนอีกนิดนะเพคะ” นางร้องบอกคนที่นอนสงบนิ่งอยู่บนเตียง
“พระชายาเพคะ” ซานอิ๋งที่คอยหยิบผ้าชุบน้ำคอยซับเหงื่อให้เจ้านายสาวขานเรียกนางอีกครั้ง ทว่ากลับไร้ซึ่งเสียงตอบรับ เปลือกตาสองข้างของพระชายาจวีลู่ม่านปิดสนิท ปากบางกระจับราวกับดอกเหมยกุ้ยไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา ทั้งๆที่เมื่อครู่นี้นางยังเปล่งเสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดออกมาอยู่เลย
“…”
ซานอิ๋งยื่นนิ้วที่สั่นระริกของตนไปจ่อที่ปลายจมูกของเจ้านายพลันไม่นานนางก็เปล่งเสียงร้องไห้โฮออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
“พระชายา… พระชายาไม่หายใจแล้ว!”
หมอหญิงเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ใจหายวาบมองทารกน้อยที่คลอดออกมาได้เพียงศีรษะ หากเป็นเช่นนี้มีหวังไม่รอดทั้งสองคนอย่างแน่นอน หากแต่ว่าในขณะที่ทุกคนกำลังสับสนไม่รู้จะทำอย่างไรต่ออยู่นั้น จู่ๆเปลือกตาบางที่ปิดสนิทในตอนแรกก็เปิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
“โอ๊ย! เจ็บเหลือเกิน” 'ลู่หนิง' รู้สึกเจ็บบริเวณกลางหว่างขาของตนยิ่งนัก หยาดน้ำตาไหลรินออกมาอย่างหนักหน่วง ทั้งชีวิตนางใช้ชีวิตอยู่ที่สนามรบ ผ่านความเป็นความตาย ผ่านร้อนผ่านหนาวมานับครั้งไม่ถ้วน คมกระบี่ของศัตรูที่เคยฟาดฟันลงมาที่ผิวกายยังไม่ทำให้รู้สึกเจ็บเท่าตอนนี้เลย
“ท่านหมอ พระชายาฟื้นแล้ว!” ซานอิ๋งมองเจ้านายอย่างตกตะลึง พลางร้องขึ้นเสียงดังด้วยความดีใจ ความหวังของหมอหญิงที่มอดดับลงไปในตอนแรกถูกจุดประกายขึ้นมาอีกครั้ง
“พระชายาอดทนอีกหน่อยนะเพคะ เบ่งพร้อมกันนะเพคะ”
ทั้งหมอหญิงและซานอิ๋งต่างช่วยออกเสียงให้จวีลู่ม่านออกแรงเบ่ง ลู่หนิงเองก็ไม่เข้าใจเท่าใดนักว่าเหตุใดนางจะต้องทำตามที่สตรีแปลกหน้าพวกนี้บอก แต่ด้วยสัญชาตญาณก็ทำให้เข้าใจว่า หากนางไม่ทำตาม ความทรมานและความเจ็บปวดที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้ก็ไม่มีวันหายไป
“อื้อ!” ลู่หนิงรวบรวมแรงที่มีอยู่ทั้งหมดออกแรงเบ่งจนกระทั่งรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่างที่ไหลพรวดออกมาจากทางช่องคลอด กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วห้อง พร้อมกับเสียงทารกน้อยร้องไห้จ้าดังลั่น!
“อุแว้ อุแว้!”
“พระชายาเพคะ ท่านหญิงน้อยคลอดแล้วเพคะ”
‘พระชายา? ท่านหญิงน้อย? นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน’
ลู่หนิงคิดด้วยความสับสน แต่ทว่าไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะเอ่ยปากถาม ยามนี้นางรู้สึกเหน็ดเหนื่อยมากเหลือเกิน เหนื่อยจนกระทั่งลืมตาไม่ขึ้นแล้ว…
สายลมเย็นพัดมากระทบหน้าต่างให้เปิดอ้าออกกระทบกับผนังไม้จนได้ยินเสียงดังปัง! ทำให้คนที่นอนหลับไหลอยู่สะดุ้งตื่นขึ้น ลู่หนิงผวาลุกขึ้นนั่งบนเตียงกว้าง มือบางควานหาอาวุธประจำกายที่เก็บซ่อนไว้ใต้หมอน ทว่าพบเพียงแค่ความว่างเปล่า
“กระบี่คู่ใจของข้าหายไปไหนกัน” หญิงสาวจัดการหยิบหมอนใบใหญ่ขึ้นมา กวาดตามองหาอาวุธของตัวเอง แต่ก็ไม่พบสิ่งใด
“ใครอยู่ข้างนอก เข้ามาเดี๋ยวนี้!”
เพียงแค่นางเปิดปาก ไม่นานก็ได้ยินเสียงประตูห้องเปิดออก แลเห็นสตรีร่างบางผู้หนึ่งเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ข้างเตียง รอรับคำสั่งอย่างนอบน้อม คิ้วเรียวของลู่หนิงย่นเข้าหากันด้วยความแปลกใจ มองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างไม่คุ้นเคย
“เจ้าเป็นใครกัน”
“หม่อมฉันคือซานอิ๋ง สาวใช้คนสนิทของพระชายาเพคะ” ซานอิ๋งตอบด้วยความงุนงง เหตุใดจู่ๆพระชายาถึงได้ถามคำถามแปลกๆเช่นนั้นออกมากันนะ
“ที่นี่คือที่ไหนกัน” ลู่หนิงกวาดตามองไปรอบๆ ที่นี่ไม่ใช่กระโจมในค่ายทหารของนาง เช่นนั้นนางมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน
“จวนอ๋องนอกเมืองหลวงเพคะ”
“เมืองหลวง? แคว้นหูหรือ”
ซานอิ๋งรีบส่ายศีรษะไปมาระรัวเป็นการปฏิเสธ “ไม่ใช่เพคะที่นี่คือแคว้นฉิน พระชายาอย่าเอ่ยถึงแคว้นหูอีกนะเพคะ เดี๋ยวจะโดนต้องโทษเอาได้”
นางเอ่ยเตือนด้วยความหวังดี แคว้นหูและแคว้นฉินเป็นปรปักษ์กันมานาน ถึงจะไม่ได้รบกันแต่ก็ลงชื่อในหนังสือสัญญาว่าห้ามยุ่งเกี่ยวกันทุกทาง
“ข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน!” ลู่หนิงตกใจกับคำตอบที่ได้รับ นางจำได้ว่านางโดนลูกธนูปักลงที่กลางอกทำให้ตกจากหลังม้าขณะที่กำลังออกรบกับแคว้นต้าจวิน ยามนี้นางควรจะนอนอยู่ที่กระโจมของโรงหมอในค่ายทหารที่แคว้นหูต่างหาก
“พระชายาเพิ่งคลอดท่านหญิงน้อยไปเมื่อคืน และท่านได้หมดสติไปเพคะ”
ภาพความทรงจำเมื่อคืนหลังไหลเข้ามาในห้วงของความคิด เมื่อคืนนี้นางฝันว่ากำลังคลอดลูก ในฝันเหล่าสาวใช้ขานเรียกนางว่าพระชายาจวีลู่ม่าน
“พระชายาจะไปไหนเพคะ!” ซานอิ๋งถามด้วยความตกใจที่จู่ๆเจ้านายสาวก็กระโดลงจากเตียงวิ่งไปที่กระจกทองเหลือง
ในยามที่เท้าแตะลงบนพื้น ลู่หนิงยังรู้สึกเจ็บที่ส่วนนั้นอยู่มาก แต่กระนั้นนางก็อดทนกัดฟันพาตัวเองไปนั่งลงที่โต๊ะเครื่องแป้งจนได้ ดวงตาคู่งามเบิกกว้างขึ้นมองใบหน้างดงามแต่ไม่คุ้นเคยในกระจกด้วยความตกใจ ไม่ว่านางจะอ้าปากแลบลิ้นปลิ้นตาอย่างไร คนในกระจกก็ทำตามทุกอย่าง
‘บัดซบที่สุด! เหตุใดถึงเกิดเรื่องเช่นนี้กับข้า!’ ลู่หนิงรู้แล้วว่ายามนี้นางไม่ได้ฝันไป เช่นนั้นหมายความว่านางสิ้นชีพไปตั้งแต่อยู่ในสนามรบ และวิญญาณได้มาเข้าร่างของสตรีที่มีชื่อว่าจวีลู่ม่านสินะ!
“พระชายาจะไปไหนเพคะ!” ซานอิ๋งเปล่งเสียงกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจอีกครั้ง เมื่อเห็นจวีลู่ม่านวิ่งไปยังหน้าต่าง นางกระโดดขึ้นไปยืนบนนั้น ร่างบางโอนเอนไปมาอย่างน่าหวาดเสียว
“กระโดดหน้าต่างน่ะสิ เผื่อวิญญาณจะได้กลับไปเข้าร่างเดิม” ลู่หนิงหันมาตอบเสียงห้วน ก่อนจะกระโดดลงไปท่ามกลางเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจของซานอิ๋ง
“อึ่ก! ข้าตายหรือยังนะ” หญิงสาวพึมพำเสียงเบา รับรู้ได้ว่ายามนี้ร่างของนางกำลังลอยเคว้งกลางอากาศ หรือว่าวิญญาณของนางได้หลุดออกจากร่างและกำลังล่องลอยไปในโลกของวิญญาณ
หากแต่ว่า… จู่ๆลู่หนิงก็รับรู้ว่าร่างของนางลอยหวือขึ้นไปข้างบน ก่อนที่จะรู้สึกได้ถึงแรงกระแทกอย่างรุนแรง
ตุ้บ!
ฉู่เติ้งหาวโยนร่างบางลงบนพื้นอย่างไม่ไยดี ไม่ได้สนใจต่อความเจ็บปวดของนาง แม้ว่านางจะเพิ่งคลอดบุตรสาวไปเมื่อคืนนี้ก็ตาม
“หนนี้เจ้าเรียกร้องความสนใจจากข้าอีกแล้วงั้นหรือ” เสียงแหบห้าวทำให้ลู่หนิงเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างรวดเร็ว พบว่ายามนี้นางกำลังนอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้นในห้องที่เพิ่งกระโดดหน้าต่างจากมา
“ข้าเคยบอกแล้วใช่หรือไม่ว่าต่อให้เจ้าจะพยายามทำอย่างไร เจ้าก็ไม่มีวันได้หัวใจของข้า สตรีร้ายกาจอย่างเจ้า ชาตินี้หรือชาติไหนๆข้าก็ไม่มีวันชายตาแล”
ลู่หนิงกะพริบตาปริบๆ มองบุรุษร่างสูงองอาจตรงหน้าด้วยความแปลกใจ เขาผู้นี้เป็นคนที่หน้าตาหล่อเหลาราวกับเทพเซียน ทว่าวาจากลับร้ายกาจสวนทางกับใบหน้ายิ่งนัก
“ซานอิ๋ง เจ้าได้ยินสุนัขตัวไหนพ่นวาจาร้ายกาจออกมาหรือไม่!” ลู่หนิงลุกยืนโดยมีซานอิ๋งคอยประคอง นางยกมือขึ้นกอดอกมองบุรุษตรงหน้าอย่างเอาเรื่อง
“พระชายา ฉู่อ๋องคือพระสวามีของพระชายานะเพคะ” ซานอิ๋งกระซิบเตือน หากแต่ลู่หนิงกลับไม่แยแส เบะปากมองคนร่างสูงตรงหน้าด้วยความหมั่นไส้
“เจ้าว่าใครเป็นสุนัข” คนตัวโตสาวเท้าเดินเข้ามาใกล้ มือหนาบีบไปที่แขนเรียวของนางอย่างเอาเรื่อง ลู่หนิงรู้สึกเจ็บแปลบจึงจัดการคว้าหมั่บไปที่มือหนาของเขา หักมันจนได้ยินเสียงดังกร๊อบ!
ฉู่เติ้งหาวรู้สึกเจ็บขึ้นมาทันที ราวกับว่ากระดูกกำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ทว่าดีที่เขาเกร็งมือเอาไว้ได้ทัน หาไม่กระดูกข้อมือของเขาคงได้หักคามือของนางไปแล้ว
“นางจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ นอกจากเจ้าจะด่าข้าว่าเป็นสุนัข เจ้ายังกล้าทำร้ายข้าอีกหรือ!”
ชายหนุ่มแผดเสียงกร้าว ถึงข้อมือจะไม่ได้หัก แต่กระนั้นก็รับรู้ได้ว่ากระดูกข้อมือน่าจะเคลื่อน เพราะเกิดจากการที่นางทำร้ายเขาเมื่อครู่นี้
“ข้าไม่ได้ว่าท่านเสียหน่อย ไม่ได้เอ่ยถึงชื่อท่านด้วยซ้ำไป มีแต่ท่านนั่นแหละที่ร้อนตัว จู่ๆก็เข้ามาทำร้ายข้า ข้าเลยต้องป้องกันตัว”
“พระชายาเพคะ” ซานอิ๋งกระซิบเจ้านายสาว หวาดกลัวว่าจวีลู่ม่านจะทำให้ฉู่อ๋องโกรธเคืองไปมากกว่านี้ ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อชีวิตของนางเลย
ฉู่เติ้งหาวกัดฟันจนได้ยินเสียงดังกรอด เพลิงโทสะลุกโชนขึ้นในดวงตา นึกอยากจะหักคอน้อยๆของนางทิ้งไปเสียตั้งแต่ตอนนี้เลย
ทว่าก่อนที่ศึกขนาดย่อมจะเริ่มขึ้น พี่เลี้ยงของท่านหญิงน้อยก็เดินเข้ามาในห้อง นางยอบกายคารวะชินอ๋องผู้สูงศักดิ์และพระชายากล่าวด้วยน้ำเสียงนอบน้อม
“ได้เวลาให้นมท่านหญิงน้อยแล้วเพคะ”
