บทที่ 4 เทศกาลหยวนเซียว
เรื่องที่จะต้องไปสืบคดีตามคำสั่งของเสด็จลุงนั้นเซวียนซานหลางไม่ได้บอกเล่ารายละเอียดอะไรให้บิดาฟังมากนัก เซวียนชินอ๋องเองก็ไม่ได้สนใจเช่นเดียวกัน ความสัมพันธ์ระหว่างสองพ่อลูกนับวันยิ่งค่อนข้างห่างเหินเป็นอย่างมาก
ยังเหลือเวลาอีกหลายวันกว่าจะออกเดินทาง อย่างไรเสียตอนนี้เสิ่นเหวยอันหัวหน้าสำนักบูรพาก็ยังไม่กลับมาจากนอกเมือง ยอมต้องรอไปก่อน
ระหว่างนี้ดูเหมือนว่าจวนชินอ๋องจะเตรียมจัดงานเลี้ยงวันเกิดของเซวียนชินอ๋องบิดาของเขา ทุกๆปีท่านพ่อมักจะจัดงานเลี้ยงใหญ่โต ทั้งที่ไม่ได้ทำงานหาเงินแต่กลับใช้เงินมือเติบ จัดงานเลี้ยงเชิญแขกเหรื่อมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก เขาเองคร้านจะสนใจ จึงไม่ได้เอ่ยทัดทานอันไร เพราะรู้นิสัยบิดาของตนดี
ช่วงนี้เหมือนว่าอวี้หลิงจะไม่ได้คิดก่อคลื่นลมอะไรให้เขาเลยแม้แต่น้อย ด้วยกำลังน้อยนิดและสมองทึมทื่อของนางย่อมไม่อาจทำอะไรเขาได้อยู่แล้ว แต่เซวียนซานหลงก็ไม่เคยวางใจ ยังคงระแวดระวังตนเองเป็นอย่างดี
ในเมืองหลวงยามนี้ค่อนข้างคึกคักคึกครื้น เพราะวันนี้ในเมืองหลวงจัดงานเทศกาลหยวนเซียว ผู้คนออกจากบ้านไปชมโคมไฟและกินขนมมงคล ในจวนชินอ๋องอวี้หลิงก็สั่งให้สาวใช้ทำขนมบัวลอยแจกจ่ายให้คนในจวนกินเพื่อความโชคดี เดิมทีเรื่องเหล่านี้ถือเป็นเรื่องปกติที่ปฏิบัติกันมาหลายปี แต่วันนี้ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างแปลกไป
"ท่านพี่กินขนมบัวลอยเร็วเข้า จะได้โชคดีตลอดปี"
เซวียนซานหลางมองดูขนมบัวลอยในถ้วยที่เซวียนเจ๋อนำมามอบให้พร้อมกับขมวดคิ้วมุ่น แป้งบัวลอยถูกปั้นเป็นรูปเต่า รูปหมู รูปกบและรูปสัตว์อีกสารพัดชนิด อีกทั้งยังปั้นเป็นรูปดอกไม้ รูปผักอีกด้วย
"เจ้าเป็นคนปั้นพวกมันหรือ"
เขาเอ่ยถามน้องชายพลางตักขนมในถ้วยกินไปพลาง
"ที่ไหนกันเล่า นี่เป็นฝีมือของหรานหร่านเชียวนะ พี่ใหญ่ท่านดูสิ นางปั้นพวกมันออกมาได้น่ารักน่าชังมากเลย ข้าลองชิมแล้วแป้งไม่เหนียวเกินไป รสชาติก็หวานกำลังดี จะว่าไปหรานหร่านนางก็มีีฝีมือเหมือนกันนะเนี่ย เหตุใดข้าไม่เคยรู้เลย"
"แค่กแค่ก"
เซวียนซานหลางรู้สึกเหมือนขนมติดคอขึ้นมาทันที เขาไม่ชอบหน้ามู่หลานเฟินแต่กลับมากินขนมที่นางทำ ไม่รู้ว่านางจะแอบใส่สิ่งใดเข้าไปหรือไม่
"พี่ใหญ่ ขนมติดคอหรือ ข้าจะช่วยท่าน!"
ไม่รอช้าเซวียนเจ๋อรีบพุงเขาไปหาพี่ชาย ก่อนจะยกมือทุบกลางหลังเซวียนซานหลางเต็มแรง จนขนมบัวลอยหลุดกระเด็นออกมาจากปากของเขา
ให้ตายเถอะ เขาเชื่อสนิทใจแล้วว่ามู่หลานเฟินดวงไม่สมพงศ์กับเขาจริงๆ!
ด้านมู่หลานเฟินที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นดวงพิฆาตตอนนี้กำลังแต่งตัวเตรียมจะออกไปเดินเล่นในงานเทศกาลหยวนเซียว นางนัดกับเซวียนเจ๋อเอาไว้แล้วอย่างไรนางก็เพิ่งมาที่นี่ย่อมไม่รู้จักเส้นทาง ทางที่ดีให้เจ้าถิ่นพาเดินเที่ยวเล่นจะดีกว่า
เซวียนชินอ๋องนับว่าเป็นคนใจกว้างไม่เบาเลย เขามอบตั๋วเงินให้นางมากมาย บอกให้นางเที่ยวเล่นกับเซวียนเจ๋อได้ตามใจชอบ มู่หลานเฟินดีใจเผลอยิ้มออกมาจนดวงตายกโค้งจนเป็นรูปจันทร์เสี้ยว รออยู่ไม่นานเซวียนเจ๋อก็กลับมา ก่อนหน้านี้เขาเอาขนมไปให้เซวียนซานหลาง
"มาแล้วหรือ เร็วเข้า ข้าอยากไปเที่ยวแล้ว เอ๋?เหตุใดสิีหน้าท่านดูไม่สู้ดีเลยเล่า"
นางเอ่ยถามเขาด้วยความสงสัย เซวียนเจ๋อหันมามองมู่หลานเฟิน ก่อนจะเอ่ย
"หรานหร่าน เมื่อครู่พี่ใหญ่สำลักขนมบัวลอยเกือบตาย ข้าสงสารพี่ใหญ่"
มู่หลานเฟินเมื่อได้ยินอย่างนั้นก็ลอบหัวเราะในใจ
สมน้ำหน้า ในที่สุดเขาก็มีวันที่ไม่สงบสุขเหมือนกันหรือนี่
มู่หลานเฟินคร้านจะสนใจว่าเซวียนซานหลางจะขนมติดคอหรือไม่ นางรีบดึงแขนเซวียนเจ๋อไปที่รถม้าและมุ่งหน้าไปที่งานเทศกาลโคมไฟทันที
เมื่อมาถึงก็พบว่างานเทศกาลหยวนเซียวค่อนข้าคึกคักเป็นอย่างมาก ชาติก่อนๆนางก็เคยเที่ยวชมงานเช่นนี้ เพียงแต่ไม่เคยเห็นงานเทศกาลหยวนเซียวที่จัดยิ่งใหญ่เช่นนี้เลยสักครั้ง บนท้องฟ้ามีโคมหลากสีที่ถูกปล่อยขึ้นมา อาบย้อมท้องนภาดำมืดให้กลายเป็นสีทองราวแดนสวรรค์ ช่างงดงามเกินคำบรรยาย ครั้งนี้นับว่านางได้เปิดหูเปิดตาแล้ว
ภายในงานมีโคมไฟหลากหลายแบบ สวยงามเป็นอย่างมาก ผู้คนตางเดินเล่นและซื้อของกินติดไม้ติดมือกลับไปฝากคนเฒ่าคนแก่ที่จวนของตน สตรีน้อยมากมายที่แต่งตัวงดงามออกมาเที่ยวเล่น อีกทั้งเหล่าบุรุษก็ยังถือโอกาศนี้มาแอบชื่นชมเหล่าสตรีน้อยในงานโคมไฟ หวังจะได้ผูกวาสนาด้ายแดงกับสตรีที่ตนหมายปอง
ภายในงานสายตาของสตรีน้อยเหล่านั้นที่มองมาทางมู่หลานเฟินออกจะไม่เป็นมิตรเท่าใดนัก ความทรงจำของร่างเดิมบอกว่ามู่หลานเฟินคนเก่าเป็นคนหยิ่งยโส ใครมองหน้านางนิดหน่อยนางก็ตรงเขาไปตบตีไม่ละเว้น ทำให้ไม่มีคุณหนูตระกูลไหนอยากคบหาเป็นสหายกับนาง
ให้ตายเถอะ มู่หลานเฟินเจ้ามันตัวน่ารังเกียจขนานแท้เลย
ยิ่งดึกบรรยากาศภายในงานก็ยิ่งคึกคัก แต่ทว่าในขณะที่เทศกาลหยวนเซียวกำลังดำเนินต่อไปอย่างสนุกสนาน กลับมีเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้น เมื่อมู่หลานเฟินและเซวียนเจ๋อหันไปมองก็พบว่ามีบุรุษผู้หนึ่งที่ใช้ผ้าปิดหน้าปิดตาสวมชุดดำกำลังจับตัวสตรีน้อยนางหนึ่งเอาไว้และใช้มีดจ่อไปที่ลำคอของนาง ปลายมีดแหลมคมทิ่มแทงลำคอขาวเนียนของสตรีน้อยนางนั้นจนโลหิตไหลซึมเป็นทางยาว
"ฮือ ช่วยข้าด้วย"
"ให้ตายเถอะ จะฆ่ากันแล้ว!"
เหล่าพ่อค้าแม่ขายต่างวิ่งหนีจนหัวหด ภายในงานชุลมุนวุ่นวายขึ้นมาในทันที มู่หลานเฟินมองภาพเหตุการณ์ตรงหน้าก่อนจะจ้องบุรุษชุดดำด้วยแววตาที่เย็นเยียบ
ท่าทางเช่นนี้เป็นนักฆ่าแน่นอน อีกทั้งยังฝีมือไม่ธรรมดาอีกด้วย!
เซวียนเจ๋อที่เห็นเหตุการณ์ตรงหน้าก็มีท่าทางร้อนรนขึ้นมาทันที
"หรานหร่าน พวกเรารีบกลับกันเถอะ ภายในงานไม่ปลอดภัยแล้ว"
"ท่านรอข้าตรงนี้ แล้วก็อย่าส่งเสียง"
"หรานหร่าน เจ้าจะทำอะไร"
มู่หลานเฟินไม่ตอบ นางค่อยๆขยับกายไปด้านหลังนักฆ่าคนนั้น ก่อนจะคว้าหยิบก้อนหินขนาดเหมาะมือมขึ้นมาก้อนหนึ่ง และออกแรงดีดมันไปที่หลังต้นคอของนักฆ่าผู้นั้นอย่างรวดเร็ว แรกเริ่มนางไม่มั่นใจเท่าใดนักเพราะร่างนี้บอบบาง หลังจากทะลุมิติมานางก็พยายามฝึกฝนอย่างเงียบๆทุกครั้งที่มีโอกาศ ก็นับว่าไม่เสียเปล่า
แรงของก้อนหินไม่เบาเลย ทำเอานักฆ่าถึงกับสะดุ้งและเสียสมาธิ เดิมทีหินก้อนเดียวไม่อาจทำอะไรเขาได้ แต่ไม่รู้ว่ามีคนใจกล้าจากที่ไหนปาทรายใส่ดวงตาเขาอย่างจัง ทำให้เขาแสบตาและต้องปล่อยเหยื่อที่ถูกจับเป็นตัวประกันไปทันที
มู่หลานเฟินคว้าร่างของสตรีน้อยนางนั้นและออกแรงผลักนางเบาๆไปยังที่ปลอดภัย ก่อนที่นางจะตรงเข้าไปหาบุรุษผู้นั้นและยกเท้าถีบเข้าที่กลางอกของมันจนมันเสียการทรงตัวและล้มลง แต่ดูเหมือนมันจะมีฝีมือไม่น้อยเลย เพียงไม่นานก็กลับมาตั้งหลักได้ และพุ่งเข้าใส่มู่หลานเฟินอย่างรวดเร็ว
มู่หลานเฟินระแวดระวังตนเองเป็นอย่างดี แค่มองเพียงปราดเดียวนางก็มองออกว่าวรยุทธ์ของฝ่ายตรงข้ามสูงส่งเป็นอย่างมาก แต่วรยุทธ์ที่นางเรียนรู้มาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน
หญิงสาวคว้าด้ามไม้ไผ่ขนาดเหมาะมือมาถือเอาไว้ อาศัยจังหวะนี้หลอกล่อศัตรูและใช้ไม้ไผ่ฟาดไปตามลำตัวของฝ่ายตรงข้าม นางลงมือรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่นานนักนักฆ่าตรงหน้าก็เป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ แต่มันกลับต้านรับได้ทันและชักดาบออกมาฟันไม้ไผ่ในมือนางจนขาดครึ่ง ก่อนจะหันปลายดาบเข้าหาตัวนางหมายจะสังหารให้ตายในดาบเดียว มู่หลานเฟินเบี่ยงกายหลบ ก่อนจะยกฝ่ามือฟาดเข้าที่กลางหลังของมันเต็มแรง
นักฆ่าซวนเซเพราะบาดเจ็บจากการถูกตีอย่างไม่ยั้งมือจึงคิดจะหนี มาคิดเลยว่าสตรีร่างบางนางนี้จะลงมือรวดเร็วและอำมหิตเช่นนี้
แต่มู่หลานเฟินกลับไม่ยอมปล่อยโอกาศให้มันหนีรอดไปได้ นางรีบเตะเท้าของมันจนล้มลง ก่อนจะยกเท้าเหยียบกลางหลังมันเอาไว้ไม่ให้หลบหนีไปได้
"ก่อเรื่องแล้วคิดจะหนีหรือ บัดซบจริงๆพี่ชาย"
นักฆ่าสบถออกมาอย่างหัวเสีย สตรีน้อยนางนี้เป็นใครกันร่างกายก็ดูบอบบางทว่าลงมือแต่ละครั้งไม่ออมแรงสักนิด
ผู้คนที่เห็นเหตุการณ์ถึงกับมองหน้ากันไปมา พวกเขารู้จักสตรีนางนี้ดี นางคือมู่หลานเฟิน หลานสาวคนงามของพระชายาเอกจวนชินอ๋อง ชื่อเสียงฉาวโฉ่ ตบตีคนไม่ไว้หน้า แต่เหตุใดคืนนี้นางจึงดูโดดเด่นเช่นนี้เล่า
ด้านเซวียนซานหลางที่กำลังนั่งอ่านตำราอยู่ในจวน เมื่อได้ทราบข่าวจากองค์รักษ์ลับว่ามีนักโทษกบฏลอบหลบหนีออกมาคุกหลวงซ้ำยังก่อเรื่องในเทศกาลหยวนเซียว เขาจึงรีบออกจากจวนมาจัดการทันที แต่ทว่าเมื่อมาถึงกลับพบเรื่องที่เหนือความคาดหมายเข้าให้
ตอนนี้มู่หลานเฟินกำลังยืนใช้เท้าเหยียบกลางหลังนักโทษ เมื่อสอบถามคนที่เห็นเหตุการณ์ก็ได้ทราบว่านางเป็นคนที่จัดการกับนักโทษเองกับมือ
นี่มันเรื่องอันใดกัน!
"หลีกทางหน่อย ใต้เท้าเสิ่นมาแล้ว!"
เสียงเกือกเท้าม้าดังใกล้เข้ามา เหล่าชาวบ้านต่างแหวกทางให้ผู้มาใหม่ มู่หลานเฟินที่กำลังจับตัวนักฆ่ากดลงบนพื้นรีบหันไปมอง ก่อนจะพบกับบุรุษผู้มาใหม่
ชายหนุ่มกระโดดลงมาจากหลังม้า ก่อนจะมองนางสลับกับมองนักโทษคนนั้นที่นอนอยู่ใต้ฝ่าเท้าของนาง แววตาของชายหนุ่มเจือความสงสัยชั่ววูบหนึ่งก่อนจะเดินเข้ามาหานาง
"แม่นาง ส่งคนให้ข้าได้หรือไม่ เขาคือนักโทษกบฏจากต่างแคว้น มีความผิดติดตัวไม่น้อยเลย เรื่องนี้ทางการจะจัดการเอง"
"อ้อ ได้สิ"
เมื่อได้ยินอย่างนั้นมู่หลานเฟินก็พยักหน้า ก่อนจะเอาเท้าออกจากกลางหลังนักโทษ ในขณะที่นางเพิ่งจะขยับตัวได้ไม่นาน นักโทษคนนั้นก็ถือโอกาศชักมีดสั้นที่แอบซ่อนไว้ออกมา หมายจะสังหารนาง แต่ยังไม่ทันได้ลงมือก็มีมีดสั้นอีกเล่มพุ่งเข้าไปปักที่ข้อมือของมันเสียก่อน
มู่หลานเฟินรีบหันไปมองก่อนจะพบว่าเป็นเซวียนซานหลางนั่นเอง
มู่หลานเฟินรู้สึกว่าตัวของนางคล้ายจะหดลงไปไม่น้อยยามที่ได้เจอกับเซวียนซานหลาง คนผู้นี้ไอสังหารดุดันเกินไป นางไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา อีกทั้งสายตาที่เขาใช้มองนางตอนนี้ก็มีทั้งความเย็นชาและสงสัยอยู่เต็มไปหมด
"คารวะซื่อจื่อ ขอบคุณมากที่มาช่วยอีกแรง"
ชายหนุ่มผู้มาใหม่เอ่ยจบก็ยกมือขึ้นสั่งให้คนมาลากตัวนักโทษผู้นี้กลับไปไต่สวนต่อ ก่อนจะหันมาเอ่ยกับมู่หลานเฟิน
"แม่นางท่านนี้ ข้าได้ยินว่าท่านเป็นคนช่วยจับคนร้าย เหล่าชาวบ้านพูดกันเซ็งแซ่ว่าเจ้ามีความสามารถ ไม่ทราบว่าเจ้ามีชื่อแซ่ว่าอันใดกัน เป็นบุตรสาวจากตระกูลไหน ข้าจะกราบทูลฝ่าบาทเพื่อตกรางวัลให้เจ้า"
"เอ่อ.."
"นางเป็นคนของจวนชินอ๋อง ไม่รบกวนให้ใต้เท้าเสิ่นออกหน้าแทนหรอก"
มู่หลานเฟินยังไม่ทันเอ่ยตอบ เซวียนซานหลางก็เป็นฝ่ายพูดตัดบทขึ้นมาเสียก่อน มู่หลานเฟินรู้สึกว่าบรรยากาศระหว่างบุรุษสองคนนี้มันแปลกประหลาดไม่น้อยเลย
ชายหนุ่มผู้มาใหม่ยกยิ้มมุมปาก เขาทำเหมือนไม่ได้ยินในสิ่งที่เซวียนซานหลางพูด แต่กลับหันมาเอ่ยกับมู่หลานเฟินแทน
"แม่นาง ข้าทีนามว่าเสิ่นเหวยอัน เป็นหัวหน้าศาลต้าหลี่ ข้ามาเพื่อจับคนร้ายกลับไปไต่สวน วันนี้โชคดีได้แม่นางยื่นมือช่วยเหลือจึงจับคนร้ายได้สำเร็จ ไว้วันหน้าพบกันข้าจะถามชื่อเจ้าอีกครั้ง วันนี้ขอตัวก่อน"
เสิ่นเหวยอันเอ่ยกับมู่หลานเฟินอย่างสุภาพ เดิมทีเขาปกปิดหน้าที่ของตนเอง การทำภารกิจลับให้ฮ่องเต้ไม่ใช่เรื่องที่จะเปิดเผยตัวตนได้โดยพละการ หลายปีมานี้ไม่มีใครเคยเห็นหน้าค่าตาหัวหน้าสำนักบูรพา เหล่าขุนนางต่างบอกว่าหัวหน้าสำนักบูรพาเป็นคนลึกลับไม่ชอบสุงสิงกับผู้ใด อีกทั้งยามเข้าเฝ้าหน้าท้องพระโรงยังชอบสวมหน้ากากปิดบังอำพรางใบหน้าอีกด้วย
ที่เขาต้องทำเช่นนี้ก็เพื่อความปลอดภัยและทำให้การปฏิบัติงานแต่ละครั้งราบรื่นไร้อุปสรรค จึงต้องปลอมตนแฝงตัวอยู่ในศาลต้าหลี่ คอยจับตาดูพวกขุนนางชั่วทั้งหลายที่คิดจะโกงกินบ้านเมือง เป็นหูเป็นตาแทนฮ่องเต้
"หรานหร่าน ข้าตกใจแทบตาย เจ้าอย่าทำแบบนี้อีกนะ ไม่อย่างนั้นท่านแม่ได้ตีข้าขาหักแน่"
เสิ่นเหวยอันที่กำลังจะหันหลังเดินจากไป พลันชะงักฝีเท้าไปชั่วขณะ
ชายหนุ่มเขายกยิ้มมุมปากด้วยความพึงพอใจ
หน้างาม นามไพเราะ
หรานหร่านหรือ
เป็นชื่อที่ดียิ่ง
เมื่อทุกอย่างคลี่คลายผู้คนต่างแยกย้าย มู่หลานเฟินหันไปมองเซวียนซานหลาง ก็พบว่าตอนนี้เขากำลังจ้องนางเขม็ง ก่อนจะเดินเข้ามาหานาง
"เหตุใดข้าไม่เคยรู้เลยว่าเจ้ามีวรยุทธ์สูงส่งถึงเพียงนี้ คนที่เจ้าจัดการจนหมอบราบคาบเป็นถึงนักฆ่าฝีมือดีอันนับหนึ่งของต่างแคว้นที่ลอบเข้ามาสังหารเชื้อพระวงศ์ ถูกทหารของแคว้นเราจับตัวมาไต่สวนเมื่อไม่นานมานี้ ทหารในคุกหลวงยังต้านเขาไม่อยู่ แต่เจ้ากลับทำได้ มู่หลานเฟิน เจ้าทำให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาไม่น้อยเลย?"
มู่หลานเฟินลอบกลืนน้ำลายลงคอ มารดามันเถอะ! ไม่ใช่เขาคิดไปไกลว่านางเป็นนักฆ่าที่จะสังหารเขาหรอกกระมัง
ไม่น่าเลย ไม่น่าเปิดเผยฝีมือเลย!
มู่หลานเฟินยังไม่ทันได้เอ่ยตอบก็ได้ยินเสียงของสตรีน้อยนางหนึ่งเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน
"มู่หลานเฟิน ข้าขอบใจเจ้ามากที่ช่วยเหลือข้า"
มู่หลานเฟินหันไปมอง ก่อนจะพบกับสตรีใบหน้างดงามนางหนึ่ง เป็นหญิงสาวที่นางช่วยเหลือเอาไว้ก่อหน้านี้ คราแรกยังเห็นหน้านางไม่ชัด ตอนนี้เมื่อได้เห็นในระยะใกล้ อยู่ๆความทรงจำของร่างเดิมก็ปรากฏภาพของสตรนางนี้ในหัวของมู่หลานเฟิน
นางมีนามว่าสวีเมิ่งเหยา เป็นบุตรสาวของท่านราชครู และเป็นที่หมายปองของเหล่าบุรุษในเมืองหลวง เป็นสตรีที่งดงามและมีความสามารถเป็นอันดับหนึ่งในเมืองหลวง และที่สำคัญนางหมายปองเซวียนซานหลาง อีกทั้งยังใช้ความอารมณ์ร้ายของมู่หลานเฟินจนเกิดประโยชน์ หลอกล่อให้มู่หลานเฟินทำไม่ดีต่อหน้าเซวียนซานหลาง ให้เขาไม่ชอบหน้านางหนักเข้าไปอีก
อ้อ ที่แท้ก็ศัตรูหัวใจของนางหรือนี่!
ถุย!ศัตรูหัวใจเจ้าของร่างเดิมสิไม่ใช่ของนางเสียหน่อย
เมื่อคิดได้เช่นนั้นมู่หลานก็ปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ก่อนจะเอ่ย
"ไม่เป็นอันใด ช่วยคนนับว่าได้บุญ"
"ขอบคุณเจ้ามาก เอ่อ ซื่อจื่อ โอ๊ย"
อยู่ๆสวีเมิ่งเหยาก็ซวนเซล้มลงไปในอ้อมแขนของเซวียนซานหลาง มู่หลานเฟินที่เห็นเช่นนั้นก็ถึงกับย่นหัวคิ้วด้วยความสงสัย
อันใดกัน เมื่อครู่ตอนเดินมายังดีดีอยู่เลย พอเห็นผู้ชายหล่อเข้าหน่อยขาของสวีเมิ่งเหยาก็อ่อนแรงขึ้นมาทันที ให้ตายเถอะ
สวีเมิ่งเหยาแกล้งทำเป็นเซไปซบอกเซวียนซานหลาง ก่อนจะเงยหน้ามาส่งยิ้มเยาะหยันให้กับมู่หลานเฟิน มู่หลานเฟินที่เห็นเช่นนั้นก็ส่งเสียงเหอะออกมา
แม่นางคนนี้ร้ายกาจจริงๆ ข้าไม่น่าช่วยนางเลย น่าจะให้นางโดนปาดคอตายไปเสีย!
หากมู่หลานเฟินคนเก่ายังอยู่ป่านนี้คงได้ตบกับสนั่นหวั่นไหวไปนานแล้ว แต่ประทานโทษนะ นางไม่ใช่มู่หลานเฟินคนเดิมอีกต่อไปแล้ว
เซวียนเจ๋อที่เห็นอย่างนั้นก็หันขวับมามองญาติผู้น้องของตน ก่อนจะยื่นมือมาดึงแขนของมู่หลานเฟินเอาไว้
"หรานหร่าน เจ้าห้ามตบตีคนนะ!"
ไม่เพียงเซวียนเจ๋อเท่านั้น เซวียนซานหลางเองก็จ้องมู่หลานเฟินเขม็ง เพราะเกรงว่ามู่หลานเฟินจะเกิดคลุ้มคลั่งจนตบตีคนขึ้นมาอีก ชายหนุ่มคิดจะผลักสวีเมิ่งเหยาออก แต่นางกลับกอดแขนเขาแน่น จนชายหนุ่มเริ่มโมโห
มู่หลานเฟินส่ายหน้าไปมา ก่อนจะหันมาเอ่ยกับเซวียนเจ๋อ
"ข้าไม่มีเวลาว่างมาตบตีคนหรอก กลับกันเถอะ ข้าเหนื่อยแล้ว"
เอ่ยจบนางก็เดินตรงไปที่รถม้า เซวียนเจ๋อดีใจที่มู่หลานเฟินไม่ก่อเรื่อง เซวียนซานหลางเองก็แปลกใจเช่นเดียวกัน
ด้านสวีเมิ่งเหยาก็งงเป็นไก่ตาแตกที่วันนี้มู่หลานเฟินไม่ลงมือตบตีตน
มู่หลานเฟินเดินมาถึงรถม้า นางรู้สึกไม่คอยสบายตัวเท่าใดนัก แม้ร่างนี้จะแข็งแรง แต่กลับไม่ได้มีทักษะในการฝึกยุทธ์เท่าใดนัก แม้นางจะแอบฝึกอยู่บ่อยครั้งแต่ก็ยังไม่เข้าที่เข้าทาง นางรับรู้ได้ในทันทีว่าลมปราณภายในกำลังเสียหาย
ด้านเซวียนซานหลางที่สลัดสวีเมิ่งเหยาได้แล้วก็รีบเดินตามคนทั้งสองมาที่รถม้าทันที เมื่อมาถึงเขาก็ยื่นมือมาคว้าแขนของมู่หลานเฟินเอาไว้
"เจ้ากับข้ามีเรื่องต้องพูดคุยกัน"
"อั๊ก!"
ไม่ทันที่มู่หลานเฟินจะเอ่ยตอบ นางก็กระอักโลหิตออกมาคำโต ก่อนจะหมดสติไป เซวียนซานหลางรีบประคองนางเอาไว้ ก่อนจะขมวดคิ้วมุ่น
ดูเหมือนว่าภายในจะได้รับความกระทบกระเทือนไม่น้อยเลย
แทนที่จะได้ไต่สวนนาง กลับกลายเป็นว่าเขาต้องพานางกลับจวนและให้เซวียนเจ๋อเร่งตามหมอมารักษานางแทน
