บทที่ 1 วิญญาณสลับร่าง!
ฮี้!
กุบกับ กุบกับ กุบกับ! เสียงเกือกม้าดังกระทบพื้นผสานกับเสียงอาชาตัวใหญ่แผดเสียงร้องดังกึกก้องทำให้ร่างบางที่กำลังนั่งเด็ดผลผิงกั่วกินบนต้นไม้ใหญ่อย่างสบายอารมณ์ถึงกับผวาลุกพรวดขึ้นทันที
สัญชาตญาณของนางรับรู้ได้ถึงความไม่ชอบมาพากล 'จางจื่อรุ่ย' รีบใช้วิชาตัวเบาพาตัวเองไปยืนอยู่บนยอดไม้พร้อมกวาดสายตามองหาที่มาของเสียง
"นั่นมันอะไรกันน่ะ!" พลันไม่นานก็ต้องร้องอุทานขึ้นมาเบาๆด้วยความตกใจ เมื่อเห็นรถม้าคันใหญ่กำลังวิ่งตรงไปยังหน้าผาสูงชัน จากนั้นพลขับรถม้าก็ปลดเชือกออกพร้อมควบคุมม้าให้หยุดฝีเท้าวิ่งแยกไปอีกทางส่งผลให้ห้องโดยสารไหลตกไปยังหน้าผาราวกับตั้งใจ
จางจื่อรุ่ยเห็นเช่นนั้นจึงไม่รอช้า นางรีบกระโดดไปยังต้นไม้เพื่อตรงไปยังหุบเหว เดิมทีนางคิดว่าคนที่อยู่บนรถม้าคงไม่รอดแน่ๆ แต่เมื่อไปถึงก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นร่างบางของใครบางคนห้อยต้องแต่งอยู่ มือบางของนางพยายามจับหินก้อนใหญ่ที่ยื่นออกมาอยู่นอกริมผาเอาไว้
"ช่วยข้าด้วย ฮึก" นางร้องไห้ตัวสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัว บนหน้าผากมีหยาดโลหิตไหลอาบเปื้อนใบหน้า ท่าทางบาดเจ็บไม่น้อยเลยทีเดียว
"จับมือข้าไว้" หญิงสาวยื่นมือส่งให้นางจับพร้อมออกแรงดึงร่างระหงขึ้นมา แต่ด้วยน้ำหนักตัวที่ไล่เลี่ยกัน ทำให้การช่วยเหลือเป็นไปอย่างยากลำบาก
ฉึ่ก!
"อึ่ก!" จางจื่อรุ่ยนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ ก่อนจะเอียงหน้าหันไปมองทางด้านหลัง เห็นร่างสูงของคนผู้หนึ่งยืนอยู่ นางจำได้ว่าเขาคือพลขับรถม้าของสตรีผู้ที่นางกำลังช่วยเหลืออยู่นั่นเอง
"ตายเสียเถอะ!" ชายผู้นั้นกดปลายมีดที่ทิ่มแทงอยู่ทางข้างหลังตำแหน่งหัวใจของจางจื่อรุ่ยให้ลึกขึ้น หญิงสาวเบิกตากว้าง ความเจ็บปวดโจมตีไปทั่วสรรพางค์ ก่อนที่ร่างของนางจะถูกผลักให้ตกเหวพร้อมกับสตรีอีกคนหนึ่ง
ในตอนที่ลมหายใจสุดท้ายหมดลง วิญญาณของคนทั้งคู่ออกจากร่างพร้อมกัน ดวงตาสองคู่ประสานกัน แต่แล้วจางจื่อรุ่ยก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เมื่อเห็นวิญญาณของสตรีอีกคนโผเข้าไปหาร่างของนางที่กำลังดิ่งลงเหว!
"ทวงคืนความยุติธรรมให้ข้าด้วย!" ร่างของจางจื่อรุ่ยที่มีวิญญาณของสตรีผู้นั้นสถิตย์อยู่เอ่ยเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่เปลือกตาจะปิดสนิทลง ร่างกระแทกพื้นเสียงดังอั่ก! อยู่ในสภาพแข้งขาหักผิดรูปดูน่าหวาดกลัว
ก่อนที่ร่างของนางจะตามลงไปตกอยู่ในสภาพเดียวกันเป็นคนที่สอง จางจื่อรุ่ยอาศัยจังหวะคว้ากิ่งไม้ใหญ่ที่ยื่นออกมาไว้ได้ทัน ก่อนจะรีบใช้วิชาตัวเบาพาตัวเองขึ้นไปอยู่ด้านบนได้สำเร็จ หญิงสาวยกมือที่อาบชุ่มไปด้วยเลือดของตนด้วยความตกใจ ครั้นเมื่อสังเกตเห็นลำธารที่อยู่ไม่ไกลจึงรีบวิ่งเข้าไปหา ทันทีที่เห็นเงาสะท้อนในลำธารนางก็เปล่งเสียงอุทานด้วยความตกใจอย่างมหันต์
"นี่มันอะไรกันน่ะ!" ใบหน้าภายในเงาน้ำหาใช่ใบหน้าของนางไม่ แต่เป็นใบหน้าของสตรีผู้นั้นต่างหาก!
"ข้ากับนางสลับร่างกันงั้นหรือ!" หญิงสาวหวนนึกไปถึงวาจาของสตรีผู้นั้นก่อนตายที่ขอให้นางทวงคืนความยุติธรรมให้ แสดงว่าหญิงสาวผู้นั้นตั้งใจให้นางมาอยู่ในร่างนี้ ดูจากรูปการณ์แล้ว สตรีผู้นั้นต้องโดนคนลอบสังหารเป็นแน่
จางจื่อรุ่ยถอนหายใจออกมาเสียงดัง พลางคิดในใจว่าไม่น่าแอบท่านอาจารย์กับศิษย์พี่ออกมานอกสำนักมังกรดำเลย หากนางไม่ขี้เกียจตั้งใจฝึกซ้อมวิทยายุทธ์อยู่ที่สำนักก็คงไม่ต้องมาพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้หรอก
ร่างบางผุดลุกขึ้นตั้งใจว่าจะกลับไปที่สำนักมังกรดำเพื่อบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ท่านอาจารย์กับศิษย์พี่ฟังเสียก่อน ทว่าจู่ๆความรู้สึกเวียนศีรษะก็ตีตื้นขึ้นมาจนแทบจะทรงตัวไม่อยู่ ยามนี้นางรู้สึกว่าดวงตาสองข้างพร่าเลือน โลหิตที่หน้าผากยังคงไหลรินออกมาอย่างไม่ขาดสาย
"บ้าจริง! ข้าเสียเลือดมากเกินไป" หญิงสาวสบถออกมาเบาๆ พยายามประคองร่างให้เดินไปข้างหน้า ทว่าเดินไปได้เพียงสองก้าวก็รู้สึกแข้งขาอ่อนแรง สติสัมปะชัญญะค่อยๆดับลงไปในที่สุด
เกาอิ่งกับกู้หรงยืนจับมือกันแน่นมองร่างไร้สติของเจ้านายที่ถูกพากลับมาจวนสกุลเฉินด้วยความสงสารสุดหัวใจ หมอที่เก่งที่สุดในเมืองไป๋ถูกตามตัวมาเพื่อรักษาซูอี้ซิน ทั้งบ่าวและผู้ช่วยหมอวิ่งเข้าวิ่งออกจากห้องจนเกือบครึ่งค่อนวัน เมื่อนั้นเหตุการณ์จึงค่อยๆสงบลง
หลังจากที่ท่านหมอขอตัวกลับไป สาวใช้ทั้งสองคนก็รีบพากันวิ่งเข้าไปในห้อง พลางส่งเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความสงสาร เมื่อเห็นสภาพเจ้านายสาวที่มีผ้าสีขาวพันอยู่ที่ศีรษะและต้นแขนข้างขวาของนาง
เสียงร้องไห้ที่ดังขึ้นข้างหูทำให้จางจื่อรุ่ยรู้สึกรำคาญยิ่งนัก เปลือกตาบางขยับยุกยิกไปมาพลางกะพริบถี่ ก่อนจะค่อยๆเปิดออกท่ามกลางเสียงร้องดีใจของสาวใช้วัยกำดัดทั้งสองคน
"ฮูหยินฟื้นแล้วหรือเจ้าคะ!" เกาอิ่งโผเข้ามานั่งอยู่ข้างเตียง ส่งสายตามองคนที่นอนอยู่ด้วยความดีใจอย่างสุดขีด
"ที่นี่คือที่ไหนกัน" จางจื่อรุ่ยกล่าวพึมพำด้วยความแปลกใจ พร้อมกวาดตามองไปรอบๆห้องที่ไม่คุ้นเคย ที่นี่ไม่ใช่เรือนพักหลังน้อยที่สำนักมังกรดำของนาง แล้วนางมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน?
"ที่นี่คือห้องหอของฮูหยินกับเฉินโหวเจ้าค่ะ" กู้หรงเอ่ยตอบพลางหันไปสบตากับเกาอิ่งด้วยความแปลกใจปนสงสัยที่จู่ๆเจ้านายกลับมีท่าทีที่แปลกไป ไม่เหมือนเดิม
"ห้องหอหรือ" หญิงสาวทวนคำด้วยความสงสัย พลันไม่นานก็ถึงบางอ้อ เมื่อนึกไปถึงความฝันก่อนที่นางจะตื่น
ในฝันนางพบชายชราในชุดขาวผู้หนึ่ง เขาบอกว่าเขาคือท่านเทพแห่งโชคชะตามาพบนางเพื่อจะบอกเล่าเรื่องราวให้นางได้รับรู้
'ต่อไปนี้เจ้ามีนามว่าซูอี้ซินเป็นบุตรสาวของสกุลซู และเป็นฮูหยินของจวนเฉินโหว'
'แล้วเหตุใดข้าต้องมาอยู่ในร่างนี้ล่ะเจ้าคะ ท่านเทพพาข้ากลับร่างตัวเองไม่ได้หรือ' จางจื่อรุ่ยเท้าสะเอวพลางถามด้วยใบหน้าบูดบึ้ง นางอุตส่าห์มีจิตใจเมตตาคิดอยากทำความดีโดยการช่วยคน แต่ใครจะไปรู้ว่าจะกลายเป็นการหาเหาใส่หัวไปซะได้
'ไม่ได้หรอก' ท่านเทพส่ายศีรษะไปมา คำปฏิเสธของเขาทำให้นางไม่พอใจมากกว่าเดิม
'ทำไมล่ะเจ้าคะ ข้าอยากกลับร่าง ไม่อยากอยู่ในร่างของใครก็ไม่รู้ คิดถึงท่านอาจารย์กับศิษย์พี่ใจจะขาดอยู่แล้ว!' หากนางยังเป็นเด็กคงได้ลงไปนอนดิ้นเร่าๆอยู่บนพื้นด้วยความขัดใจไปแล้ว แต่เป็นเพราะตอนนี้นางโตแล้ว หากทำเช่นนั้นท่านอาจารย์คงได้ตามมาเอาไม้เท้าเคาะหัวเรียกสติ
'ก็เพราะร่างของเจ้าตายไปแล้วน่ะสิ เจ้าก็เห็นว่าร่างของเจ้าแข้งขาหักงอปานนั้น หากกลับเข้าร่างก็คงกลายเป็นผีเดินได้สร้างความหวาดกลัวให้ชาวเมืองมากกว่าเดิม' ท่านเทพกล่าวพลางส่ายศีรษะไปมาด้วยความเอือมระอาในท่าทางดื้อรั้นของนาง
'ถ้าเช่นนั้นก็ให้วิญญาณของเจ้าของร่างนี้กลับมาเข้าร่างของนางไม่ได้หรือ ข้าจะได้ไปที่ชอบๆแทน' หญิงสาวกล่าวอย่างมีความหวัง พลันไม่นานความหวังอันริบหรี่ก็มอดดับลงภายในเวลาอันรวดเร็วเมื่อท่านเทพกล่าวปฏิเสธอีกหน
'นั่นก็ไม่ได้เช่นกันเพราะวิญญาณของซูอี้ซินดับสูญไปแล้วน่ะสิ หึๆ'
'...!' จางจื่อรุ่ยเบิกตากว้าง นางอ้าปากหมายจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าท่านเทพเห็นเช่นนั้นจึงชิงขัดขึ้นมาเสียก่อน
'อันที่จริงชีวิตของทุกคนในโลกนี้เป็นเพียงตัวละครในนิยายเรื่องหนึ่ง ซูอี้ซินคือตัวประกอบ นางคือมารดาเลี้ยงของตัวร้ายในนิยาย เจ้าเข้ามาอยู่ในร่างของซูอี้ซินแล้วต้องเลี้ยงดูตัวร้ายให้ดีๆหากไม่อยากสิ้นชีพเป็นหนที่สอง เพราะเมื่อตัวร้ายโตขึ้นมา เขาจะเป็นคนสังหารเจ้าด้วยน้ำมือของเขาเอง'
'ห๊าาา! แล้วเหตุใดตัวร้ายต้องสังหารซูอี้ซินด้วยล่ะเจ้าคะ' หญิงสาวอุทานขึ้นมาเสียงดังด้วยความตกใจ นึกเห็นใจเจ้าของร่างนี้อยู่มาก ตอนนี้ตัวร้ายยังไม่โตนางก็โดนคนทำร้ายจนเอาชีวิตไม่รอด หากตัวร้ายโตขึ้นยังสุ่มเสี่ยงที่จะโดนตัวร้ายสังหารอีก
'ทุกคนย่อมมีเหตุผลเป็นของตัวเอง เจ้าอยู่ไปเดี๋ยวก็รู้เองล่ะ หมดเวลาแล้ว ข้าต้องไปแล้ว ขอให้เจ้าโชคดี' เมื่อกล่าวจบท่านเทพก็อันตธานหายวับไป ทิ้งให้จางจื่อรุ่ยยืนเคว้งท่ามกลางกลุ่มหมอกหนา พลันไม่นานก็ได้ยินเสียงร่ำไห้กระซิกๆที่ดังขึ้นประสานกันอยู่ข้างหู เมื่อลืมตาขึ้นก็เห็นสตรีวัยกำดัดสองคนกำลังส่งสายตาจดจ้องมายังนางตาแป๋วอยู่ก่อนแล้ว
"ซูอี้ซินคือชื่อของข้าสินะ" หญิงสาวหันมองไปยังกระจกทองเหลืองที่ตั้งอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง นางเห็นดวงหน้าของโฉมงามสะคราญสะท้อนอยู่ในนั้น ซึ่งดูอย่างไรก็แตกต่างจากร่างจริงของนางอยู่มากทีเดียว
"ใช่เจ้าค่ะ ฮูหยินมีนามว่าซูอี้ซินเป็นบุตรสาวของรองแม่ทัพซูเหวินเจ้าค่ะ"
"แล้วพวกเจ้าสองคนมีชื่อว่าอะไรหรือ" หญิงสาวหันมาให้ความสนใจกับสตรีวัยกำดัดทั้งสองคนตรงหน้า ดูเหมือนว่าพวกนางคงจะเป็นสาวใช้คนสนิทข้างกายของเจ้าของร่างนี้กระมัง
"บ่าวชื่อเกาอิ่งเป็นบ่าวรับใช้ที่จวนโหว ส่วนนางชื่อกู้หรงติดตามคุณหนูมาจากจวนเก่าเจ้าค่ะ"
จางจื่อรุ่ยในร่างของซูอี้ซินขานรับดังอืม และเมื่อเห็นท่าทางแปลกใจของคนทั้งสอง นางจึงรีบเอ่ยขัดขึ้น
"สงสัยเป็นเพราะหัวของข้าได้รับการกระแทกมาน่ะ รู้สึกเหมือนว่าความทรงจำบางอย่างจะขาดหายไป หากข้าจำใครไม่ได้ พวกเจ้าก็คอยบอกให้ข้ารู้หน่อยก็แล้วกันนะ"
"เจ้าค่ะฮูหยิน"
ทั้งเกาอิ่งและกู้หรงขานรับออกมาพร้อมกัน รู้สึกสงสารเจ้านายไม่น้อยเลยทีเดียว หลังจากสมรสพระราชทานแต่งงานเข้าจวนเฉินโหว จากคุณหนูซูอี้ซินผู้สดใสก็กลับกลายผิดแปลกไปจากเดิม นิสัยของนางเปลี่ยนไปเป็นคนละคน อีกทั้งยังเจ้าอารมณ์จนน่าใจหาย ท่าทางผิดปกติของเจ้านายทำให้นางและกู้หรงแปลกใจไม่น้อย หากแต่ยังไม่ทันได้เค้นหาความจริงก็เกิดเรื่องนี้ขึ้นเสียก่อน
