บทที่ 3 แม่ก็ร้าย ลูกชายก็หื่น (แล้วฉันควรทำยังไง) 2
สติของวรัศยาเริ่มกลับมาเมื่อรู้สึกเหมือนมีอะไรสักอย่างกดแนบอยู่กับหน้าท้องของเธอ
“หยุดนะ” หญิงสาวรวบรวมแรงที่พอจะเหลือผลักชายหนุ่มออกห่างซึ่งเขาก็ยอมปล่อยเธอออกมาแต่โดยดี
“นึกว่าจะไม่ห้าม จะได้พาเข้าห้อง” เขาพูดหน้าตาย ส่วนเธอได้แต่หน้าแดงก่ำด้วยความโกรธผสมกับความอาย ดวงตาลดต่ำลงมองที่เป้ากางเกงชายหนุ่มอย่างห้ามตัวเองไม่ได้
“อยากเห็นชัดๆไหมครับ ผมจะได้ถอดให้ดู” เขาพูดยิ้มๆ รู้ดีว่าที่เธอมองแบบนี้เพราะอะไร ในตอนนี้ความเป็นชายของเขาถูกปลุกจนผงาดขึ้นเต็มที่ มันคงจะไม่ดีเป็นแน่ถ้าเขาไม่รีบไปให้พ้นจากสถานการณ์เช่นนี้
“ทะลึ่ง ไอ้บ้า คนฉวยโอกาส” เธอต่อว่าเป็นชุดพลางเบือนสายตาไปทางอื่น นึกแปลกใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมน้ำตาถึงไม่ยอมไหลทั้งๆที่ถูกเขาทำถึงขนาดนี้
“ผมจะพาไปดูห้องของเรา” เขาเน้นที่คำว่าของเราชัดๆ พร้อมกับหมุนตัวเดินนำขึ้นไปบนชั้นสองโดยมีหญิงสาวเดินตามไปติดๆด้วยท่าทางที่ยังหวั่นๆอยู่
ธีรภัทรยกมือขึ้นลูบหน้า รู้สึกอึดอัดที่กางเกงจนแทบจะระเบิด เขาไม่เข้าใจตัวเองเลยว่าทำไมถึงต้องการขึ้นเตียงกับผู้หญิงคนนี้มากถึงขนาดนี้ทั้งๆที่เธอเองก็ไม่ได้สวย เซ็กซี่ โดนใจเขาเหมือนคู่ควงคนอื่นๆเลยแม้แต่น้อย
“อย่าบอกนะว่าเราต้องอยู่ห้องเดียวกันน่ะ” วรัศยาถามเสียงแปร่งเมื่อเดินมาหยุดพร้อมเขาที่หน้าประตูห้องห้องหนึ่ง
“ครับ”
“แต่ฉันต้องการอยู่คนละห้องกับผู้ชายอันตรายอย่างคุณ”
“แม่ผมจะคิดยังไง ถ้าผมกับคุณแยกห้องกัน คุณไม่ต้องห่วงหรอก ผมไม่มีวันปล้ำคุณแน่ๆ...ถ้าคุณไม่เต็มใจ” ประโยคแรกๆเขาพูดเสียงขึงขังด้วยความจริงจังแต่ประโยคหลังเขาพูดเสียงอ่อนพลางยิ้มใส่ตาเธออย่างมีความหมาย
“ยังไงฉันก็ไม่ไว้ใจคุณ” เธอขึงตาใส่เขา
“ผมก็กลัวคุณปล้ำเหมือนกันนั่นแหละ” เขาว่าพร้อมกับทำหน้างอ เล่นเอาหญิงสาวตวาดแว้ดขึ้นมาทันที
“ว่าไงนะตาบ้า”
“หูตึงเหรอไง ผมบอกว่ากลัวโดนคุณปล้ำไง”
“ฉันต่างหากที่ต้องกลัว” เธอพูดเสียงสูงอย่างหมั่นไส้ผู้ชายตัวโตที่ยืนอยู่ข้างหน้า
“เอ่อ ขอโทษค่ะ” เสียงอ่อนๆของแอ๋วเด็กรับใช้ที่เดินยกกระเป๋าเสื้อผ้าตามมาส่งให้ดังขึ้นทำให้ธีรภัทรและวรัศยาต้องยุติการปะทะคารมลงชั่วคราว
“ขอบใจจ้ะ” เธอกล่าวขอบใจสั้นๆพร้อมกับส่งยิ้มให้เด็กรับใช้อย่างผูกไมตรี
“ค่ะ” แอ๋วยิ้มตอบก่อนจะก้มหัวให้แล้วเดินกลับไป
“เข้าห้องไปสิ เดี๋ยวผมช่วยยกกระเป๋าเข้าไปให้” เขาพูดเมื่อเห็นหญิงสาวยังคงยืนเฉย
“ค่ะ” วรัศยารับคำเสียงกระแทก รู้สึกปวดหัวขึ้นมาเมื่ออนาคตช่างดูมืดมนยิ่งไปกว่าเดิมเมื่อต้องมาอาศัยอยู่ร่วมห้องกับจอมคาสโนว่าอย่างธีรภัทร
“เอาเสื้อผ้าแขวนไว้ในตู้ให้เรียบร้อยนะ” เขาบอกเมื่อหิ้วกระเป๋าของวรัศยามาวางไว้ข้างๆตู้เสื้อผ้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ค่ะ” เธอรับคำสั้นๆเหมือนเดิม ก่อนจะลงมือจัดเก็บเสื้อผ้าของตัวเองเข้าตู้ราวกับหุ่นยนต์
“เฮ้อ” ธีรภัทรถอนหายใจยาวๆเมื่อเห็นท่าทางซึมๆของหญิงสาวแต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เขาจึงหันหลังเดินไปเข้าห้องน้ำอย่างเงียบเชียบ
“เฮ้อ” วรัศยาถอนหายใจอย่างปลงไม่ตก เธอไม่รู้ว่าเงินค่าจ้างที่ได้เดือนละ3หมื่นจะคุ้มค่ากับการที่เธอจะต้องมาเสี่ยงกับผู้ชายเจ้าชู้อย่างธีรภัทรหรือเปล่า แต่ในเมื่อเธอได้ตัดสินใจมาแล้ว เธอก็คงต้องยอมรับในสิ่งที่กำลังจะตามมา แต่เธอขอสัญญากับตัวเองเลยว่า...จะพยายามปกป้องตัวเองจากผู้ชายคนนั้นให้ถึงที่สุด เธอคิดก่อนจะหยิบเสื้อผ้ามาชุดหนึ่งแล้วลุกขึ้นยืน เดินไปที่ห้องน้ำเพื่อชำระร่างกาย จะได้สดชื่นและสบายตัว
มือบางเอื้อมมาจับที่ลูกบิดประตู แล้วนึกขึ้นมาได้ว่า...ธีรภัทรหายไปไหน แต่แล้วเธอก็ส่ายหน้าเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าเขาคงออกไปข้างนอกไปแล้วล่ะ เมื่อคิดได้เช่นนั้นเธอก็เปิดประตูห้องน้ำทันที
แอ๊ดดดดด
“ว้ายยยยย” วรัศยากรีดร้องเสียงดังเมื่อเห็นธีรภัทรยืนเปลือยท่อนบนอยู่และท่อนล่างก็....ไม่มีอะไรติดตัวสักชิ้นนอกจากกางเกงชั้นใน
“เฮ้ยยยยย” ชายหนุ่มร้องลั่น พร้อมกับรีบคว้าผ้าขนหนูผืนเล็กที่เตรียมเข้ามาด้วย มาพันช่วงล่างเอาไว้อย่างหมิ่นเหม่ โหนกแก้มสีขาวๆเริ่มเปลี่ยนเป็นแดงก่ำอย่างสังเกตเห็นได้ชัด
“ยัยผู้หญิงโรคจิต” เขาเค้นเสียงพูด ส่วนวรัศยาก็รีบดันประตูมาปิดไว้ตามเดิมทันที
“ฉันไม่ได้ตั้งใจนะ” หญิงสาวตะโกนเถียงกลับไป ก่อนจะรีบเดินลิ่วๆไปทิ้งตัวนอนลงบนเตียง ภาพของชายหนุ่มเมื่อครู่ยังคงติดตาไม่หาย ไม่ว่าเธอจะพยายามขยี้ตาสักเท่าไหร่ก็ไม่ยอมเลือนลางจางไปเสียที
ซู่ๆๆๆ
ธีรภัทรเปิดน้ำฝักบัวให้รินรดศีรษะของตัวเองเพื่อดับความร้อนที่เกิดขึ้น ภาพที่เขาได้จูบเธอครั้งแรกและเมื่อครู่ยังคงติดตา ลิ้นอ่อนนุ่ม โพรงปากหวานฉ่ำ ผิวกายที่เนียนลื่นราวกับแพรไหมเนื้อดี ดูจะยังฝังลึกอยู่ในความทรงจำ
นี่เขาเป็นอะไรไป แค่คิดถึงเธอ ร่างกายของเขาก็ดูจะร้อนผ่าวขึ้น
ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอ คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างครุ่นคิด
แล้วนี่เขาจะทำยังไงต่อไปดี....ถ้าต้องนอนอยู่บนเตียงเดียวกับแม่สาวตัวแสบอย่างวรัศยาในค่ำคืนนี้!!
ร่างสูงเดินออกมาจากห้องน้ำในสภาพที่มีผ้าขนหนูพันช่วงล่างเพียงผืนเดียว หยดน้ำที่เกาะพราวอยู่ทั่วตัวและผมที่ยังเปียกน้ำจนลู่ลงมาติดใบหน้าคมสัน ทำให้เขาดูเป็นผู้ชายที่เซ็กซี่มากขึ้นอีกเป็นกอง
เขาเหล่ตามองหญิงสาวที่นอนเล่นอยู่บนเตียงกว้างเล็กน้อย ก่อนจะเดินเลี่ยงๆไปที่ตู้เสื้อผ้าของตัวเองในขณะที่วรัศยาก็ค่อยๆลุกขึ้น พยายามไม่สบตากับเขาพร้อมกับหยิบผ้าของตัวเองแล้ววิ่งหายเข้าไปในห้องน้ำทันที
เมื่ออาบน้ำเสร็จและสวมชุดที่เธอเตรียมไปผลัดเปลี่ยนในห้องน้ำแล้ว วรัศยาก็ค่อยๆเปิดประตูห้องน้ำแล้วก้าวออกมา รู้สึกโล่งอกเมื่อเห็นชายหนุ่มสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว
“มองทำไม เสียดายเหรอไงที่ผมใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว” เขาปรายตามองหญิงสาวพลางถามเสียงเรียบ
“ฉันโล่งใจต่างหากล่ะยะ” เธอกระแทกเสียงตอบแล้วเมินไปทางอื่น
“ 6โมงครึ่งแล้ว ลงไปทานข้าวเย็นกันเถอะ” เขาพูดก่อนจะเดินนำออกไปโดยมีเธอเป็นฝ่ายตามเหมือนเคย
“มาช้าไป2นาทีนะ” คุณดาวรายที่นั่งรออยู่โต๊ะอาหารอยู่แล้วพูดขึ้น ปากที่ถูกทาลิปสติกสีแดงอ่อนๆเบ้ใส่วรัศยาอย่างไม่พอใจ
“ขอโทษครับแม่” ธีรภัทรพูด พลางตบบ่าน้องชายที่เพิ่งกลับมาถึงบ้านเบาๆ
“ว่าไงนายนัด กลับบ้านเย็นอีกแล้วนะ”
“ผมมัวไปทำงานบ้านเพื่อน” นัฐวัร์พูดเบาๆแล้วหันไปมองวรัศยาที่นั่งตรงกันข้ามกับเขาด้วยสายตาแปลกๆ
“อืมๆ” ธีรภัทรพยักหน้ารับรู้พร้อมกับเดินอ้อมไปนั่งคนละฝั่งกับนัฐวีร์ไปนั่งข้างๆวรัศยา
“นี่ใคร” นัฐวีร์ชี้ปลายช้อนส้อมไปทางวรัศยา
“เอ่อ...” หญิงสาวตะกุกตะกักตอบไม่ถูก ธีรภัทรเลยตอบให้เองเสร็จสรรพ
“พี่สะใภ้ของนายไง”
“พี่สะใภ้ผม??” นัฐวีร์เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง ดวงตาสีดำขลับมองวรัศยาอีกครั้งหนึ่งแล้วก้มลงตักข้าวเข้าปากด้วยท่าทางไม่ยินดียินร้ายโดยไม่สนใจต่อสายตาที่มองอย่างสำรวจของวรัศยาเลยแม้แต่น้อย
นัฐวีร์เป็นเด็กหนุ่มที่มีอายุไม่น่าจะเกิน 16 ปี เขามีรูปร่างสูงโปร่งแบบวัยรุ่นทั่วๆไป ใบหน้าเขาดูคล้ายคลึงกับผู้เป็นพี่ชาย จะแตกต่างกันก็ตรงแววตา แววตาของธีรภัทรจะกรุ้มกริ่มแพรวพราวเหมือนดวงตาของคนเจ้าชู้ แต่แววตาของนัฐวีร์จะค่อนข้างกระด้างและเฉยชา ประกอบกับทรงผมที่ตัดสั้นเหมือนทรงนักเรียนชายแต่ข้างหน้ากลับไว้ยาวแถมย้อมสีแดงไว้ทั้งหัว ใช่...ดูดี วรัศยายอมรับกับตัวเองว่านัฐวีร์ทำผมแบบนี้ไม่ได้ดูน่าเกลียดแต่กลับดูเท่ห์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่..มันก็ทำให้เขาดูเป็นเด็กร้ายๆไปเหมือนกัน
“มองไร” นัฐวีร์เงยหน้าขึ้นมาแล้วถามห้วนๆ แววตานิ่งเฉยที่ดูน่าค้นหา ส่องประกายประหลาดจนหญิงสาวต้องรีบก้มหน้าทันทีก่อนจะหยิบช้อนมา
“เปล่าจ้ะ” วรัศยาปฏิเสธ
“คราวหน้าหัดมาให้ตรงเวลาหน่อยนะ” คุณดาวรายพูดเสียงเย็น มือที่ถูกประดับด้วยแหวนเพชรหลายวงยกแก้วน้ำขึ้นจิบ
“ค่ะ” เธอรับคำเสียงเบาก่อนจะชะงัก หัวใจกระตุกวูบเมื่อเหลือบตาไปเห็นรอยยิ้มที่ยกขึ้นมาที่มุมปากของนัฐวีร์เข้าพอดี
เพราะนั่นมันไม่ใช่รอยยิ้มของความเป็นมิตรเลยสักนิด !!!
