1
ปานทิพย์ก้มมองเนินอกของตัวเอง ที่ถูกดันจนชิดและเบียดกันอยู่ในเดรสสีดำ ล้อแสงระยิบระยับไปทั้งตัว จะขยับก็ต้องระวังระแวงไม่น้อยเพราะเป็นชุดจากห้องเสื้อชื่อดัง กลัวจะขาดไปเสียก่อน แล้วถอนลมหายใจเฮือกใหญ่ออกมาอีกครั้งด้วยความประหม่า
“มั่นใจหน่อยยัยปาน น้าบอกแล้วว่าสวยก็ต้องสวยสิ”
รัศมีโชติหันหน้ามาบอก แล้วกลับไปทำหน้าที่ขับรถต่อ ปานทิพย์เลยถอนลมหายใจออกมาอีกเฮือก รอบที่เท่าไรแล้วเธอเองก็จำไม่ได้
รถยนต์คันโตพามุ่งหน้าไปยังหน้าโรงแรมซึ่งเป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงรุ่นในค่ำคืนนี้
ปานทิพย์เป็นหลานสาวแท้ ๆ ของน้าเดือน หลานที่ท่านมักบ่นลับหลังเสมอว่าเป็นเสมือนภาระของท่าน เพราะมารดาของปานทิพย์ นำเธอมาฝากที่น้าเดือน ให้ช่วยเลี้ยงดูไปก่อน เพราะท่านจะไปทำงานที่เมืองนอก จากนั้นท่านก็ไม่กลับมาอีกเลย ยังพอมีดีอยู่บ้าง ที่โอนเงินเข้าบัญชีให้ทุกเดือน แต่ผู้เป็นน้าก็แบ่งออกไปเป็นค่าเหนื่อยมากกว่าครึ่ง เงินที่เหลือเธอต้องทำรายการ ทำบัญชี และมีหลักฐานชัดเจน น้าเดือนจึงจะให้เบิกเอาไปใช้ได้
เมื่อรถเลี้ยวเข้าไปภายในโรงแรมมีชื่อที่เป็นจุดหมาย ปานทิพย์ที่นิ่งเงียบมาตลอดทาง ก็ให้รู้สึกประหม่าขึ้นมากกว่าเดิมเสียอีก มือของเธอชื้นไปด้วยเหงื่อ แล้วก็เผลอลูบเข้ากับชุด แต่พอนึกได้ว่าชุดที่สวมราคาแพงแสนแพง ก็ผงะ ชะงัก ดึงมือขึ้นอย่างไว
สูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดอีกที หันไปขอบคุณผู้เป็นน้าแล้วค่อยเปิดประตูลงไป
แค่ก้าวแรกที่ส้นเข็มเจ็ดนิ้วไม่ขาดไม่เกินแตะลงพื้น เธอก็พลาดเกือบล้มจนข้อเท้าอาจพลิก คงเพราะเครื่องดื่มที่น้าเดือนยัดเยียดให้ก่อนหน้านี้เป็นแน่ ที่สั่งให้เธอกรอกลงปากไปเพื่อเพิ่มความกล้าให้ตัวเอง ก่อนมายังงานเลี้ยงรุ่นคืนนี้
รีบทรงตัวให้กลับมาท่าเดิม ดึงชุดให้เข้าที่เข้าทางอย่างต้องการแก้เขินไปพลาง เพราะตรงนั้นมีคนยืนอยู่ด้วย ลอบกลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่ง แล้วเดินเข้าไปด้านในของตัวโรงแรม กำชับสั่งกับตัวเองว่า
มั่นใจ มั่นใจ และมั่นใจ
ห้องจัดเลี้ยงของโรงแรมชื่อดังบนถนนสุขุมวิทถูกจัดให้เข้ากับธีมงานตั้งแต่ประตูทางเข้ายันห้องจัดเลี้ยง
‘Black night party’
ราตรีสีนิลคือชื่อธีมงานเลี้ยงรุ่นในค่ำคืนนี้ ครั้งก่อน ๆ ก็เวียนจัด เธอไปมาแค่ปีแรก ๆ หลัง ๆ มานี้ไม่ได้ไปอีกเลย และครั้งนี้เธอก็จัดมาเต็มที่ เพราะแค่เพียงย่างก้าวเข้างาน สายตาหลายคู่ในนั้นต่างพากันจับจ้องมาที่เธอ จนอดรู้สึกประหม่าขึ้นมาอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้
“แม่เจ้าโว้ย เด็กแว่นหน้าห้องทำไมเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้วะ ว่าแต่...น้องสาวมีแฟนหรือยังครับเนี่ย พี่จีบได้ม้า”
เป็นจุติที่ส่งเสียงแซวแล้วปราดเข้ามาทักทายด้วยรอยยิ้มระรื่นเป็นคนแรก
เพื่อนผู้ชายหลาย ๆ คนถึงกับมองเธอปากอ้าตาค้างเลยทีเดียว ทันทีที่ปรากฏกายในลุคใหม่ แบบที่ตัวเองก็ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเช่นกัน
แล้วจุติก็ยื่นมือออกมาคล้ายรอรับหญิงงามอย่างไรอย่างนั้น เธอจึงยิ้มอย่างผ่อนคลายลง ที่จุติทำ ช่วยให้เธอหายประหม่าไปเล็กน้อย หันมาตื่นเต้นกับการต้อนรับของเขา แล้ววางมือลงบนนั้น ก้าวเดินตามเพื่อนร่วมรุ่นไปยังโต๊ะตัวหนึ่งที่ด้านใน พอได้นั่งจุติก็ยิงคำพูดใส่ทันที
“ถ้าเจอกันข้างนอก ติไม่กล้าทักปานเลยนะเนี่ย”
“ขนาดนั้นเลยหรือติ” ปานทิพย์ท้วงด้วยอาการไม่มั่นใจนิด ๆ แล้วจับ ๆ ปัด ๆ ชายกระโปรงแบบเขิน ๆ หลุดนิสัยอ่อนนุ่มนิ่มออกมาจนได้ พอตั้งสติได้ ก็นิ่งเงียบไปครู่แล้วค่อยส่งยิ้มแบบมาดมั่นออกไป
จุติมองเธอด้วยสายตาชื่นชม
แล้วยกมือขึ้นเหนือศีรษะคล้ายแสดงตำแหน่งของตัวเองเมื่อเห็นใครอีกคนเดินเข้ามาในห้องจัดเลี้ยง
เป้าหมายของเธอมาแล้ว!
ปานทิพย์มองไปยังทางเข้า เขายังคงบุคลิกสุขุม นิ่ง เงียบ แต่ดูดุดันกว่าเก่า อาจเพราะตำแหน่งหน้าที่การงานที่ได้รับเกินกว่าวัยเบญจเพสของเขาก็เป็นได้ ที่ทำให้ณัฏฐ์เป็นไปในลักษณะนั้น
“ดิน ทางนี้”
‘ณัฏฐ์’ หรือที่ใคร ๆ เรียกว่า ‘ดิน’ เดินตรงมายังโต๊ะที่เธอนั่งเป็นไข่แดงอยู่
ทันทีที่ได้สบสายตาสีดำคมเข้มของเขา ปานทิพย์ก็คล้าย ๆ กับจะถูกสะกดจิตกลาย ๆ ให้เธอสูญเสียความมั่นใจที่พกมาไม่ได้เยอะแยะมากมายเท่าไรนัก
หัวใจหญิงสาวเต้นกระหน่ำระรัวเร็วและแรงราวกับวิ่งมาราธอนมาเป็นสิบ ๆ กิโลเมตรเลยทีเดียว
“จำได้ไหมดินว่าใคร”
จุติถามเขาเป็นคำถามแรกที่ไม่วายต้องวกเข้ามาหาเธอ ปานทิพย์อึ้งไปขณะหนึ่ง ตั้งสติแล้วประดิษฐ์รอยยิ้มท้าทายน้อย ๆ ให้เขา ยิ้มแบบที่ได้รับการฝึกฝนมาหลายเดือน
ณัฏฐ์พยักหน้าเพียงนิดแล้วยื่นมือออกไปรับแก้วเครื่องดื่มที่เพื่อนอีกคนส่งให้ ค่อยตอบด้วยกระแสเสียงมั่นคงดูน่าเกรงขามจนปานทิพย์ต้องลอบกลืนน้ำลายเพราะคอแห้งผากด้วยความประหม่า
“ปานทิพย์...หรือเปล่า”
