บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 4

ชินภัทรทิ้งตัวลงบนโซฟาหลังเล็กภายในห้องสี่เหลี่ยมกว้างของคอมโดมิเนียมขนาดกลางที่เขาเพิ่งจะซื้อได้ไม่นานหลังจากแน่ใจแล้วว่าตัวเองจะได้มาเป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยที่นี่ มหาวิทยาลัยที่ถึงแม้จะตั้งอยู่ในต่างจังหวัดแต่ก็ถือว่ามีชื่ออยู่ในอันดับต้นๆ ของประเทศ โดยเฉพาะสาขาวิชาด้านอักษรศาสตร์ที่เขาสอนอยู่ก็เรียกว่า ‘เข้ม’ เป็นอันดับต้นๆ ในบรรดามหาวิทยาลัยระดับท็อปเลยก็ว่าได้

เมื่อแรก ชินภัทรตั้งใจแต่เพียงจะหาเช่าห้องพักสำหรับอยู่อาศัยระหว่างที่ทำงานจันทร์ถึงศุกร์แต่เพียงเท่านั้น ด้วยพอเสาร์อาทิตย์เขาก็จะขับรถกลับบ้านที่กรุงเทพฯ แต่พ่อกับแม่บอกให้เขาซื้อไว้จะดีกว่า เพราะถึงอย่างไรเขาก็ต้องสอนอยู่ที่นี่ไปจนกว่าจะเกษียณ หากไม่คิดจะย้ายไปอยู่ที่อื่น และอีกเหตุผลหนึ่งคือ

“เช่าเขาอยู่ เราก็เสียเดือนนึงรวมค่าน้ำไฟก็เฉียดหมื่นแล้ว สู้เอาเงินตรงนั้นผ่อนคอนโดไม่ดีกว่าหรือ ถึงอย่างไรสุดท้ายมันก็ยังเป็นของเรา ดีร้ายหากเกิดเหตุต้องย้ายที่ทำงานหรืออะไร เราจะขายต่อหรือปล่อยเช่าก็ยังได้กำไรมาบ้าง” ผู้เป็นพ่อแนะนำเขาอย่างนั้น ซึ่งเขาก็เห็นดีด้วย จึงจัดการซื้อห้องของคอนโดนี้ไว้ โดยเลือกห้องที่ทำเลสวยๆ และกว้างขวาง รวมทั้งมีห้องนอนแยกเป็นสัดส่วน แม้จะราคาสูงแต่ก็ให้ความรู้สึกเป็นระเบียบ

ชายหนุ่มจัดมุมหนึ่งของห้องให้เป็นพื้นที่สำหรับนั่งเล่นนอนเล่น บางครั้งก็เป็นพื้นที่ทำงาน หรือรับประทานอาหารในบางโอกาส เรียกว่าเป็นมุมที่เขาสามารถใช้สอยได้คุ้มที่สุดรองจากห้องนอนและห้องน้ำ และเวลานี้เขาก็กำลังทิ้งตัวเหยียดยาวเอนกายนอนบนโซฟานั้นประหนึ่งคนหมดแรงราวกับไปวิ่งมาสักสิบยี่สิบกิโล ทั้งๆ ที่วันนี้ เขาก็แค่สอนหนังสือ การสอนที่แม้จะเป็นวันแรกของการทำงานหลังจากเรียนจบปริญญาเอก แต่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกของการสอน ด้วยระหว่างที่เรียนอยู่อเมริกา เขาก็เคยได้รับโอกาสเข้าไปช่วยอาจารย์หลายท่านสอนนักศึกษาปริญญาตรีมาบ้าง ดังนั้น การปรับตัวในเรื่องนี้จึงไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับเขา แต่ที่ทำให้เขาต้องมาก่ายหน้าผากอยู่ตอนนี้ ก็คือการโคจรมาพบกับคนที่เขาคิดว่าชาตินี้คงจะไม่มีโอกาสได้เจอกันอีกแล้ว นับตั้งแต่คืนอันแสนเร่าร้อนนั้นผ่านไป เธอคนนั้นก็หายไปจากชีวิตเขา ทิ้งไว้เพียงโน้ตสั้นๆ ที่เขียนด้วยลายมือหวัดๆ ว่า

‘ขอโทษสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้น ขอให้พี่ชินคิดซะว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างเรานะคะ...รตา’

แค่นั้น แล้วเขาก็ไม่ได้เจอเธออีกเลย แม้เขาจะพยายามตามหาตัวเธอหลังจากนั้น ด้วยเหตุผลกลใดก็ไม่อาจทราบถึงใจตัวเองได้ หากยามนั้น เขารู้แต่ว่า...เขาต้องเจอหน้าและพูดกับเธอให้รู้เรื่อง...ทว่าสุดท้าย เขาก็ไม่พบ เธอหายออกไปจากชีวิตของเขา เขาไม่มีแม้ที่อยู่ติดต่อ แม้จะรู้ว่าเธอเรียนที่ไหน คณะใด หากก็ไม่มีโอกาสได้กลับมาเพื่อตามหา จนท้ายที่สุด ดูเหมือนว่าภาพของเธอจะค่อยๆ เลือนหายไปจากความทรงจำ...แต่วันนี้ ความทรงจำเหล่านั้นกลับถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อน

เมื่อแรกที่ชินภัทรรู้ว่าตัวเองผ่านการสอบคัดเลือกเข้ามาเป็นอาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ แวบหนึ่งในจิตใต้สำนึก อดไม่ได้ที่จะประหวัดไปถึงคนตัวเล็กคนนั้น หากก็เป็นเพียงแค่รอยจารจำเบาบางเพราะเขาคิดว่า เธอคงจะจบการศึกษาไปแล้ว ไม่คิดมาก่อนเลยสักนิดว่าเขาจะได้พบกับเธออีกครั้ง ในสถานะที่...ชวนกระอักกระอ่วนเมื่อยัยตัวเล็กนั่นกลับกลายมาเป็นลูกศิษย์ของเขา ซ้ำยังมาลงเรียนวิชาที่เขาสอน

เป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มยอมรับกับตัวเองว่าเขาทำตัวไม่ถูก เขาไม่รู้จะเริ่มต้นทักทายหรือพูดคุยกับเธออย่างไร เพราะหากไม่ใช่ว่ามีความหลังมีอดีตกันมาก่อนก็คงไม่กระไร แต่นี่...ระหว่างเขากับเธอ จะว่ามัน ‘จบไม่สวย’ ก็คงจะไม่ใช่ แต่มันก็เป็นสิ่งที่ด็อกเตอร์ปริญญาเอกอย่างเขาอธิบายไม่ได้เช่นกัน

แต่เอาเถอะ...ชินภัทรถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางยันกายลุกขึ้นนั่ง พามือหนาปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของตัวเองหมายจะให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้น พลางคิด...ไม่ว่าระหว่างเขากับเธอจะจบกันอย่างไร แต่ตอนนี้ เขาอาจจะต้องมานับหนึ่งใหม่ ในเมื่อยัยตัวเล็กเอง ก็จงใจทำเป็นไม่รู้จักเขามาก่อน เธอปฏิบัติตัวเหมือนเขาเป็นอาจารย์ทั่วไป ดังนั้น เขาก็ควรจะทำแบบเธอกระมัง

ชินภัทรคิดแล้วก็ต้องรีบสลัดสิ่งที่ตีวนอยู่ในสมองทิ้งเมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น และคนที่โทรมาก็ไม่ใช่ใครอื่น ชายหนุ่มยกยิ้มมุมปากน้อยๆ กับรูปหญิงสาวผู้มีดวงหน้าเรียวรูปไข่ที่ปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์ และสำหรับเขา เจ้าหล่อนนั้นเป็นผู้หญิงที่จัดมาสวยมากทีเดียวถ้าไม่ติดว่ามีแว่นตาหนาๆ มาบดบังความงามนั้น

“ว่าไงยัยเฉิ่ม” นี่คือคำทักทายที่เขามักกระเซ้าใส่หญิงสาวเสมอ ยังผลให้อีกฝ่ายวี้ดใส่อย่างแง่งอน

“เมื่อไหร่จะเลิกเรียกน้องว่าเฉิ่มสักที น้องไม่ได้เฉิ่มสักหน่อยนะ”

“แน่ใจหรือว่าเราไม่เฉิ่ม ถ้าไม่อยากให้เรียกป้าเฉิ่มก็เลิกแต่งตัวป้าสักทีสิ แล้วไอ้แว่นหนาๆ นั่นอีก หัดหาคอนเทคเลนส์มาใส่บ้าง” เขาย้อนอย่างนึกสนุกที่ได้แกล้งอีกฝ่าย

กมลชนกหรือยัยหนูนา เป็นน้องสาวเพียงคนเดียวที่อายุห่างจากเขาห้าปี อันที่จริงต้องเรียกว่าลูกหลงเสียมากกว่า เพราะพ่อกับแม่เคยเล่าให้ฟังว่า พวกท่านมีลูกยากเพราะกว่าจะมีเขาได้ก็รอกันอยู่หลายปี ใช้ทั้งวิธีทางวิทยาศาสตร์และไสยศาสตร์ กว่าเขาจะยอมมาเกิด พอมีเขา พวกท่านก็คิดว่าคงจะไม่มีลูกอีกแล้ว แต่ที่ไหนได้ จู่ๆ ยัยหนูนาก็ดันมาเกิดเสียอย่างนั้น แม้ตอนเด็กๆ ยัยน้องน้อยจะสุขภาพอ่อนแอ ขี้โรคเป็นนั่นเป็นนี่ เข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น แต่พอโตมากลับแข็งแรงทนแดดทนฝนได้อย่างไม่น่าเชื่อ ที่สำคัญ เจ้าหล่อนกำลังเดินตามรอยเขาด้วยการศึกษาต่อในระดับปริญญาโท และคาดว่าจบแล้วก็คงต่อปริญญาเอกเลย สุดท้ายก็คงจะสอบเป็นอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยเช่นกัน

“แม่ขา...ดูลูกชายสุดที่รักของแม่สิ เอะอะก็ว่านาเฉิ่มตลอดเลย” พอเถียงสู้ไม่ได้ ยัยหนูหนาของเขาก็มักจะหันไปขอความช่วยเหลือจากมารดาเสมอ นี่ขนาดได้ยินแต่เสียงไม่เห็นหน้า เขายังกลั้นขำขนาดนี้ ถ้าเห็นหน้ายัยหนูนาตอนนี้ เขาไม่ยิ่งแกล้งเจ้าหล่อนเข้าไปใหญ่หรอกหรือ

แต่ก็ยังดีที่ไม่ได้วีดิโอคอลหรือเฟซไทม์ เพราะไม่อย่างนั้นแม่จะต้องสังเกตเห็นสีหน้าที่จะว่าเครียดก็ไม่ใช่เหนื่อยล้าก็ไม่เชิงของเขาเป็นแน่

“เป็นไงบ้างชิน สอนหนังสือวันแรก” เสียงอ่อนโยนของรองศาสตราจารย์ด็อกเตอร์หนูพุก สุทธิกรกุลเอ่ยถาม ทำให้ผู้เป็นลูกรับรู้ทันทีว่า แม่ได้ยึดเอาโทรศัพท์มือถือมาจากยัยตัวแสบเรียบร้อยแล้ว กระแสเสียงเย้าแหย่จึงเปลี่ยนเป็นนุ่มทุ้มในแบบที่มักใช้กับมารดาเสมอ

“ก็ดีครับแม่” ก็ไม่รู้จะอธิบายอะไรไปมากกว่านี้ เขาไม่กล้าเล่าให้แม่ฟังหรอกว่า ความจริงแล้ว เขาแทบไม่ได้รับรู้ถึงบรรยากาศในห้องเรียนที่ตัวเองเป็นผู้สอนเลยด้วยซ้ำ ต่อให้ปากของเขาจะทำหน้าที่บรรยายถ่ายทอดความรู้ไปตามแผนที่เขาเตรียมตัวมาเพื่อสอน แต่จิตใจกลับฝักใฝ่อยู่แต่กับ ‘รตา’ นักศึกษาปีที่ 5 ที่เอาแต่นั่งก้มหน้านิ่งจดอะไรขยุกขยิกโดยไม่คิดจะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขาที่เหลือบมองเธออยู่เรื่อยๆ แม้แต่น้อย “แล้วพ่อกลับจากญี่ปุ่นหรือยังครับแม่”

“กลับมาแล้ว พ่อเรานี่ก็กระไร ทำงานเสร็จแทนที่จะพักผ่อนก่อน ดันนั่งเครื่องบินกลับไทยมาเสียอย่างนั้น” รองศาสตราจารย์อาวุโสบ่นอุบกับความดื้อรั้นของสามีที่ถึงแม้จะเกษียณอายุราชการมานานหลายปี แต่ชื่อเสียงในวงวิชาการของท่านก็มีมากพอที่จะได้รับเกียรติจากชาวต่างชาติเชื้อเชิญให้ท่านไปบรรยายถ่ายทอดความรู้ในแก่นักศึกษาในต่างแดน แต่เพราะศาสตราจารย์ด็อกเตอร์ธีรัชต์ สุทธิกรกุล มักจะมีนิสัยหนึ่งที่บรรดาลูกๆ ชอบกระเซ้ากันเองว่าท่าน ‘ติดเมีย’ ทำให้ท่านไม่เคยอยู่ต่างประเทศได้นาน อย่างเช่นครานี้ กำหนดการอยู่ญี่ปุ่นของท่านคือหนึ่งสัปดาห์ และท่านมีสอนแค่สามวัน ส่วนวันที่เหลือคือท่านสามารถท่องเที่ยวหรือพักผ่อนได้ตามอัธยาศัย แต่ท่านก็เลือกที่จะบินกลับไทยทันทีที่เสร็จสิ้นการสอน

...ลูกๆ น่ะรู้ดีว่าพ่อติดแม่ ส่วนแม่น่ะหรือ...ต่อให้รู้แต่ก็ทำเป็นไม่รู้นั่นล่ะ...

“โธ่...รีบกลับมาสิครับดี ถ้าพ่อไม่กลับ ผมกลัวว่าแม่จะบินไปตามตัวถึงญี่ปุ่นแทน” พูดแล้วก็ปล่อยเสียงหัวเราะออกมา รู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูกทุกครั้งที่ได้หยอกล้อกับมารดา

ชินภัทรพูดคุยกับมารดาและน้องสาวอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะวางสายเพื่อไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า จะได้มานั่งทำงานต่อ...คิดแล้วชายหนุ่มก็อดขำตัวเองเสียไม่ได้ เมื่อก่อนเขาเคยนึกสงสัยเวลาเห็นพ่อกับแม่นั่งคร่ำเคร่งอยู่แต่ในห้องทำงานซึ่งจริงๆ แล้วต้องเรียกว่าเป็นห้องสมุดขนาดย่อมเสียมากกว่า ต่างคนต่างอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์คนละตัวและบางคราก็จะเดินวนเวียนไปหยิบจับหนังสือบนชั้นเก็บหนังสือมาเปิดอ่าน ซึ่งเขามักจะซุบซิบอยู่กับยัยหนูนาน้องสาวเสมอว่า พ่อกับแม่จะหอบงานมาทำที่บ้านทำไมหนักหนา แล้วทำไมจะต้องมานั่งเคร่งเครียดกับเอกสารอะไรตั้งมากมายทั้งที่ไม่ใช่เวลางาน

แต่ตอนนี้ ทั้งเขาและยัยน้องสาวตัวแสบได้เข้าใจอย่างถ่องแท้เลยทีเดียวเมื่อตัดสินใจว่าจะเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น โดยเฉพาะเขาที่เวลานี้มาตกที่นั่งทำอาชีพเดียวกับพวกท่าน ถึงได้รู้ว่า อาชีพครูบาอาจารย์ ไม่ใช่แค่สอนหนังสือตามตำรา แต่มันคือการค้นคว้าหาความรู้ใหม่ๆ มาให้เด็ก ไหนจะต้องมานั่งเตรียมการสอนอย่างเช่นที่เขากำลังทำอยู่ตอนนี้ ไม่นับว่าอีกหน่อยเขาจะต้องหอบข้อสอบเด็กมาตรวจที่คอนโด แล้วไหนจะต้องรับเป็นที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ให้นักศึกษาอีก แต่เอาเถอะ...ในเมื่อเขาเลือกจะเดินมาเส้นทางนี้ และรักที่จะเดินต่อไป เขาก็ต้องเดินให้สุด เหมือนที่พ่อของเขาเคยสอนไว้เมื่อครั้งที่เขาตัดสินใจจะเรียนต่อและจะเป็นอาจารย์ว่า

“ถ้าคิดจะเป็นครู อย่าสักแต่ให้คนเขาเรียกว่าครูเพราะมันเป็นอาชีพเท่านั้น แต่เราจะต้องเป็นครูทั้งชีวิตและจิตใจ ครู มาจากคำว่า ‘ครุ’ แปลว่าหนัก เพราะฉะนั้น เราจึงต้องทำงานอย่างหนักไม่ว่าจะเวลาใดเพื่อที่จะถ่ายทอดความรู้ให้แก่ลูกศิษย์ และจะต้องพัฒนาองค์ความรู้อย่าหยุดอยู่กับที่เด็ดขาด”

หากอาชีพครูคือการแบกรับภาระด้านการถ่ายทอดความรู้อันหนักอึ้งให้แก่ลูกศิษย์ ในเช้าวันต่อมา ชินภัทรก็ได้รับแจ้งจากทางภาควิชาที่เรื่องที่เขาไม่แน่ใจว่าเขาจะเรียกสิ่งนั้นว่า ‘ภาระอันหนักอึ้ง’ ได้หรือไม่ เมื่อศาสตราจารย์พรรณี หัวหน้าภาควิชาประวัติศาสตร์ได้แจ้งกับเขาว่า เขาจะได้รับนักศึกษาจำนวนหนึ่งมาเป็นเด็กในที่ปรึกษา เพื่อคอยชี้แนะแนวทางด้านการศึกษาให้แก่เด็กๆ ซึ่งถึงแม้ว่าเขาจะเตรียมใจกับเรื่องนี้มาแล้ว แต่บางเรื่องก็อยู่นอกเหนือความคาดหมายเช่นกัน อาทิ...

“อ้อ...อีกเรื่องค่ะอาจารย์ชินภัทร พอดีว่ามีเด็กในที่ปรึกษาของอาจารย์สิทธิ์ที่เพิ่งจะเกษียณไปตกค้างอยู่คนนึง อย่างไรรบกวนให้อาจารย์ช่วยรับเป็นที่ปรึกษาด้วยนะคะ”

“ได้สิครับ”

“ถ้ายังไงจะให้เด็กมาพบนะคะ จริงๆ ก็ไม่ต้องทำอะไรมากหรอกค่ะ เพราะเด็กคนนี้จะจบแล้ว อาจารย์แค่รับเป็นที่ปรึกษาในนามก็ได้ ดิฉันไม่อยากรบกวนแต่อาจารย์คนอื่นกับดิฉันก็รับเด็กในที่ปรึกษาเกินโควตามาหลายคนแล้ว” หัวหน้าภาควิชาอาวุโสกล่าวกับเขาด้วยน้ำเสียงนุ่มที่ดูแล้วก็ออกจะเกรงใจเขาอยู่ไม่น้อย แต่เขาก็เห็นว่าการเป็นที่ปรึกษาให้เด็ก ป.ตรี ไม่ใช่ปัญหาอะไรมากมายนัก จึงไม่คิดจะปฏิเสธ เพราะก็เห็นๆ อยู่ว่าอาจารย์แต่ละท่านที่สอนมานาน ก็งานล้นมือจนแทบไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง ไหนจะเด็กป.ตรี ป.โท และป.เอก เทียบกับเขาที่เพิ่งจะเริ่มงาน อย่างไรเสียก็งานไม่ยุ่งเท่า รับเด็กในที่ปรึกษาเพิ่มมาอีกสักคนสองคนก็คงไม่กระไร

แต่ที่อยู่เหนือความคาดหมายของเขาก็คือ เมื่อเขาถามว่าเด็กคนนั้นคือใคร คำตอบที่ได้ก็ทำเอาเขานิ่งอึ้งไปอึดใจทีเดียว

“นักศึกษาปีเจ็ด ชื่อรตาค่ะ ถ้ายังไงจะให้เขาติดต่ออาจารย์นะคะ”

แล้วอาจารย์พรรณีก็เดินจากไป ทิ้งให้เขาตกอยู่ในห้วงของความเงียบงันภายในห้องทำงานส่วนตัวขนาดเล็ก...เงียบจนดูเหมือนว่ามีเพียงเครื่องปรับอากาศที่ทำงานอยู่เท่านั้นที่ทำให้เขารู้ว่ายังมีการเคลื่อนไหวรอบกาย หรือไม่บางทีเสียงเครื่องปรับอากาศนั้นเขาก็แทบไม่ได้ยิน สิ่งที่ได้ยินและรับรู้ได้ตอนนี้คือ...เสียงหัวใจตัวเอง

ใช่...เสียงหัวใจที่จู่ๆ มันก็เต้นโครมครามอย่างไม่มีเหตุผล มันเต้นถี่กระชั้นระรัวชนิดที่เขาไม่สามารถควบคุมได้และเขาก็ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น และไม่รู้ว่าเขาควรจะอธิบายอาการที่กำลังเป็นอยู่ขณะนี้ว่าอย่างไร จะว่าตื่นเต้นที่ได้รู้ว่ายัยตัวเล็กจะมาเป็นเด็กในที่ปรึกษาก็ไม่ใช่ แต่จะว่าอยากจะบ่ายเบี่ยงการพบหน้าก็ไม่เชิง เขาเพียงแต่กำลังคิดว่า หากวินาทีเผชิญหน้ามาถึงอีกครา เขาจะต้องทำตัวเช่นไรและเธอจะปฏิบัติตัวกับเขาอย่างไร หรือเธอจะรู้สึกอย่างไรเมื่อได้รับแจ้งข่าวว่า เขาจะมาเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของเธอ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel