บทที่5 พบหน้าบิดาครั้งแรก
เฟิ่งจิ่วมีน้ำใจไม่น้อยนางให้คนขับรถม้ากับชุนฮวาเข้ามาสั่งอาหารกินอาหารในห้องโถงของเว่ยเต้า
แต่ตีให้ตายอย่างไรทั้งสองคนก็ไม่กล้ากินอาหารของเว่ยเต้า เฟิ่งจิ่วจึงส่งเงินให้ชุนฮวาหนึ่งตำลึงเงินให้พาคนขับรถม้าไปหาอะไรกินด้านนอกให้อิ่มอีกหนึ่งชั่วยามค่อยกลับมาหานาง
ภายในห้องส่วนตัวบนชั้นสองของเหลาอาหารเว่ยเต้า
เฟิ่งสือมองอาหารมากมายบนโต๊ะ “พี่เก้าอาหารน่ากินยิ่งนัก”
เฟิ่งจิ่ว “น่ากินก็กินเยอะๆถ้ายังไม่อิ่มก็สั่งมาเพิ่มอีกพี่เจ็ดพี่แปดอยากกินอะไรเพิ่มก็สั่งได้เลยนะไม่ต้องเกรงใจ”
เฟิ่งชี,เฟิ่งปาไม่ถามว่าเฟิ่งจิ่วเอาเงินมาจากไหนขนาดพวกเขาสองคนแอบคัดลอกตำราหาเงินยังไม่อยากให้คนที่จวนรู้เลย
ทั้งสองคนเพียงแค่รู้สึกว่าเฟิ่งจิ่วเปลี่ยนไปแต่เป็นเช่นนี้ก็ดีไม่น้อยทั้งสองคนรู้สึกสนิทกับเฟิ่งจิ่วในตอนนี้มากกว่าแต่ก่อน
เฟิ่งสือกินจนอิ่มกินต่อไม่ไหวเฟิ่งจิ่วจึงเรียกเสี่ยวเอ้อร์มาคิดเงิน
เสี่ยวเอ้อร์ ”หกสิบสามตำลึงห้าร้อยอีแปะขอรับเถ้าแก่ลดให้เหลือหกสิบสามตำลึงขอรับ“
เฟิ่งจิ่วนำเงินจ่ายให้เสี่ยวเอ้อร์ไปหกสิบสี่ตำลึงเงิน “ที่เหลือให้เจ้า”
เสี่ยวเอ้อร์คนนี้พึ่งเข้ามาทำงานได้ไม่นานยังไม่เคยได้รับเงินสินน้ำใจจากลูกค้าถึงหนึ่งตำลึงเงิน
เขาแทบอยากจะเรียกเฟิ่งจิ่วว่ามารดาแต่ก็กลัวบรุษที่มากับนางตีตายเขาจึงคุกเข่าให้นาง “ขอบคุณขอรับแม่นางขอบคุณขอรับคุณชาย”
เฟิ่งจิ่วเบื่อที่แสร้งทำเป็นเรียบร้อยเหมือนเจ้าของร่างนางอยากเป็นตัวของตัวเองมากกว่านางจึงเลิกเสแสร้ง
นางเชิดหน้าขึ้น “ลุกขึ้นเถิดเข่าของบรุษมีค่าดั่งทองคำอย่าคุกเข่าพร่ำเพรื่อ”
เสี่ยวเอ้อร์รีบลุกขึ้น “ขอรับๆขอบคุณแม่นาง”
เฟิ่งจิ่วโบกมืออย่างไม่ใส่ใจท่าทางโบกมือของนางทำเอาเฟิ่งชี,เฟิ่งปา,เฟิ่งสือตาพร่าทั้งสามคนต่างมีความคิดเดียวกันคือเฟิ่งจิ่วช่างดูสง่างามยิ่งนัก
สองวันต่อมา
ฉินซื่อสั่งพ่อบ้านหลางให้เรียกทุกคนในจวนให้มารอรับเฟิ่งเฟยเทียน
ฮูหยินรองและอนุทั้งสามแต่งตัวด้วยความรวดเร็วทุกคนต่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ฮูหยินเอกตัวแสบไม่ยอมบอกล่วงหน้าว่านายท่านจะกลับมาวันนี้ช่างน่าตายนัก
วันนี้เป็นวันหยุดไม่ต้องไปกั๋วจื่อเจี้ยนลูกๆทั้งสิบคนของเฟิ่งเฟยเทียนจึงอยู่กันพร้อมหน้า
เมื่อเฟิ่งเฟยเทียนก้าวลงจากรถม้าฉินซื่อก็เดินนวยนาดเข้ามาหานางจีบปากจีบคอเอ่ย “ท่านพี่ท่านมาแล้ว”
เฟิ่งเฟยเทียน ”อืม“
เฟิ่งจิ่วเห็นฉินซื่ออ้อนเฟิ่งเฟยเทียนก็เบ้ปากนางหมั่นไส้ยิ่งนัก
เฟิ่งเฟยเทียนกวาดสายตามองไปรอบๆก็สบเข้ากับเฟิ่งจิ่วบุตรสาวคนที่เก้าของเขาไม่เจอกันสามปีนางโตขึ้นเยอะยิ่งโตยิ่งหน้าเหมือนมารดา
เฟิ่งเฟยเทียนพยุงฮูหยินผู้เฒ่าเข้าไปในจวนเนื่องจากฮูหยินผู้เฒ่าร่างกายอ่อนแอ สองแม่ลูกพูดคุยกันอยู่ชั่วครู่เฟิ่งเฟยเทียนก็ให้สาวใช้พยุงฮูหยินผู้เฒ่ากับเรือนไปพักผ่อน
เฟิ่งจิ่วตาเป็นประกายนางรู้แล้วว่าจะนำสุราในน้ำเต้าไปทดลองกับใคร
ภายในห้องโถงภรรยาและลูกๆทั้งเก้าคนต่างมองเฟิ่งเฟยเทียนด้วยความคิดถึง
มีเพียงเฟิ่งจิ่วคนเดียวที่มองเฟิ่งเฟยเทียนด้วยสายตาชื่นชมนางคิดในใจบิดาของนางช่างเป็นบรุษที่สง่างามยิ่งนัก
เฟิ่งเฟยเทียนรับรู้ได้ถึงสายตาชื่นชมที่เฟิ่งจิ่วมองมาเขาจึงเอ่ย “เจ้าเก้าเข้ามาใกล้ๆพ่อสิ”
เฟิ่งจิ่วเดินเข้าไปใกล้บิดานางมองเฟิ่งเฟยเทียนด้วยสายตาชื่นชมก่อนเอ่ยเสียงหวาน “ท่านพ่อ”
เฟิ่งเฟยเทียนหยิบกล่องไม้ในอกเสื้อออกมาส่งให้เฟิ่งจิ่ว ”พ่อกลับมาไม่ทันพิธีปักปิ่นของเจ้าน่าเสียดายยิ่งนัก“
เฟิ่งจิ่วเปิดกล่องไม้ออกดูก็เห็นปิ่นหยกขาวมันแพะดูเรียบง่ายแต่สง่างามอยู่หนึ่งเล่ม
เฟิ่งจิ่ว ”ขอบคุณท่านพ่อ“
สิ่งนี้เป็นของขวัญชิ้นแรกในชีวิตสองชาติภพที่นางได้รับจึงทำให้นางซาบซึ้งใจ
ขณะที่เฟิ่งจิ่วซาบซึ้งใจเฟิ่งซื่อกับเฟิ่งลิ่วก็มองเฟิ่งจิ่วด้วยความริษยา พวกนางทั้งสองคนก็ผ่านพิธีปักปิ่นมาโดยไม่มีบิดามาร่วมงานเช่นกันเหตุใดจึงมีเพียงเฟิ่งจิ่วที่ได้รับคำพูดดีๆและของขวัญจากบิดา
เหมือนเฟิ่งเฟยเทียนจะรับรู้ได้ว่าบุตรสาวอีกสองคนกำลังรู้สึกเช่นใดเขาจึงนำกล่องไม้อีกสองกล่องออกมาจากแขนเสื้อ “เจ้าสี่,เจ้าหกมารับไปสิพ่อให้เจ้า”
เหมือนได้น้ำมาดับไฟริษยาที่กำลังลุกโชนเฟิ่งซื่อ,เฟิ่งลิ่วนำกล่องไม้มาเปิดออกดูเห็นกำไลหยกก็ดวงตาเปล่งประกายทั้งสองคนสวมใส่ในทันที
เฟิ่งซื่อ,เฟิ่งลิ่ว ”ขอบคุณเจ้าค่ะท่านพ่อ”
เฟิ่งเฟยเทียนส่งสายตาให้บ่าวรับใช้นำกล่องที่ใส่หยกแขวนมาให้ บ่าวรู้ใจเจ้านายรีบไปยกกล่องมาวางตรงหน้าเจ้านาย
เฟิ่งเฟยเทียน “บุตรชายของข้าของพวกเจ้าก็มีเช่นกันมารับไปสิ”
บุตรชายทั้งเจ็ดมารับหยกแขวนแล้วเอ่ยขอบคุณอย่างพร้อมเพรียงกัน
ฉินซื่อร้อนใจไม่รอให้เฟิ่งเฟยเทียนไปพักผ่อนให้หายเหนื่อยนางรีบเอ่ย “ปลายเดือนเจ็ดลูกเก้าก็จะแต่งออกไปแล้วพี่สาวทั้งสองยังไม่มีแม้แต่การหมั้นหมายเลยเจ้าค่ะ”
เฟิ่งเฟยเทียนรู้เรื่องการแต่งงานของเฟิ่งจิ่วทางจดหมายที่ฉินซื่อเขียนบอกแล้วเมื่อฉินซื่อเอ่ยเรื่องนี้เขาจึงไม่แปลกใจอะไร
ปกติหม่าซื่อกับฉินซื่อไม่ถูกกันแต่พอได้ยินว่าเป็นเรื่องการแต่งงานของบุตรสาวอนุหม่าจึงสนับสนุนคำพูดของฉินซื่อ
อนุหม่า “ลูกสี่ก็อายุสิบเจ็ดปีแล้วเจ้าค่ะข้าเกรงว่าถ้าออกเรือนช้าไปกว่านี้อีกหนึ่งปีก็จะกลายเป็นสาวเทื้อเสียก่อน”
ฉินซื่อ “ก่อนหน้านี้ท่านพี่ยังไม่กลับมาข้าจึงไม่กล้าตัดสินใจเรื่องนี้บัดนี้ท่านพี่กลับมาแล้วเรื่องการแต่งงานของบุตรสาวจะชักช้าไม่ได้นะเจ้าคะ”
เฟิ่งเฟยเทียน “เรื่องนี้ข้าจะจัดการตามความเหมาะสมพวกเจ้าแยกย้ายกันไปเถอะข้าอยากพักผ่อนแล้ว”
อนุสามเฉียนซื่อได้ยินดังนั้นจึงอาศัยที่ตนเองอายุน้อยที่สุดในบรรดาภรรยาของเฟิ่งเฟยเทียนรีบเดินเข้าไปคล้องแขนเขา “ข้าให้บ่าวเตรียมน้ำร้อนไว้ให้ท่านพี่อาบแล้วเรารีบไปกันเถอะเจ้าค่ะ”
ถึงแม้เฉียนซื่อจะอายุสามสิบกว่าแล้วแต่นางดูแลตนเองอย่างดีจนเหมือนสตรีอายุยี่สิบกว่าๆ
เมื่อก่อนมีเฉียวซื่อที่งดงามกว่านางมาแย่งความโปรดปรานบัดนี้เฉียวซื่อไม่อยู่แล้วเฉียนซื่อจึงไม่ยอมปล่อยโอกาสที่จะได้รับความโปรดปรานไป
เฟิ่งเฟยเทียนมองอนุเฉียนที่ไม่เจอกันสามปีพบว่านางงดงามและดูเด็กลงไม่น้อย ตลอดสามปีที่ผ่านมาเขาทำแต่งานจึงไม่ได้ปลดปล่อยเฉกเช่นบรุษทั่วไป
ในเมื่อกลับถึงบ้านแล้วก็สมควรได้ปลดปล่อยเขาจึงพยักหน้าและเดินเคียงคู่ไปกับอนุเฉียน
ฉินซื่อบีบผ้าเช็ดหน้าในมือแน่นนางกร่นด่าอนุเฉียนในใจไปหลายคำ อนุอีกสองคนที่เหลือก็มองแผ่นหลังของเฟิ่งเฟยเทียนด้วยแววตาแดงก่ำ
มีเพียงฮูหยินรองที่คิดเพียงแต่ว่าเย็นนี้จะต้องหาโอกาสบอกเฟิ่งเฟยเทียนถึงเรื่องความเป็นอยู่อย่างยากลำบากของลูกๆตลอดเวลาสามปีที่เขาไม่อยู่
ไม่ต้องให้ฮูหยินรองเหลียวซื่อรายงานพ่อบ้านก็แอบรายงานเจ้านายของเขาเรียบร้อย
เฉียนซื่อยังใช้ช่วงเวลาหลังจากที่ทั้งสองสอดประสานกันเสร็จเอ่ยฟ้องถึงความร้ายกาจของฉินซื่อที่กระทำกับลูกๆทั้งแปดคนของเขา
เมื่อทุกคนมารับประทานอาหารเย็นกันพร้อมหน้าเฟิ่งเฟยเทียนก็เอ่ยขึ้น “ฮูหยินเจ้าเหนื่อยมามากแล้วพรุ่งนี้เช้าก็ส่งเรื่องในจวนให้เยี่ยนฟางดูแลเถอะนับจากนี้เจ้าอยู่เฉยๆก็พอ“
ฉินซื่อจะเอ่ยปฏิเสธอะไรได้ล่ะนางจึงก้มหน้าเอ่ยตอบเฟิ่งเฟยเทียน “เจ้าค่ะ“
เยี่ยนฟางคือชื่อของฮูหยินรองพอนางได้ยินว่าเฟิ่งเฟยเทียนมอบอำนาจดูแลเรือนหลังให้นางจึงรีบเอ่ย ”ขอบคุณเจ้าค่ะข้าจะดูแลเรือนหลังอย่างดีไม่ทำให้ท่านพี่ผิดหวัง“
อาหารมื้อนี้ฉินซื่อกินอย่างไม่รู้รสชาดนางไม่อยากกินเลยสักนิดแต่ก็ต้องเสแสร้งทำเป็นกินตามปกติ เพราะกลัวเฟิ่งเฟยเทียนจะรู้ว่านางกำลังไม่พอใจที่ถูกริบอำนาจการดูแลจวน
