บทที่1 เฟิ่งจิ่ว
ยามซวี่ ณ.เรือนร้างแห่งหนึ่งแถบชานเมืองหลวงในแคว้นโจว
ชายฉกรรจ์คนหนึ่งกำลังอุ้มร่างของหญิงสาววัยปักปิ่นนางหนึ่งมาไว้กลางห้อง
มือหยาบกร้านเอื้อมไปหมายจะลูบใบหน้าอันงดงามของหญิงสาวแต่ก็ต้องชะงักเพราะเสียงเอ่ยถามของสหายร่วมอาชีพ
“นางยังไม่ตายใช่ไหม” ชายร่างอ้วนที่เข้ามาใหม่ส่องตะเกียงไปที่ใบหน้าของหญิงสาว
ชายฉกรรจ์ “ยัง เมื่อสักครู่เจ้าไม่ควรกระแทกศรีษะนางกับรถม้าถ้านางตายขึ้นมาพวกเราก็ไม่ได้เล่นสนุก”
ชายร่างอ้วน ”ใครใช้ให้นางฟื้นขึ้นมาร้องโวยวายเล่าในเมื่อนางยังไม่ตายเราก็มาเล่นสนุกกับนางกันเถอะ“
ชายฉกรรจ์ไม่ตอบแต่เอื้อมมือหมายจะสัมผัสที่เนินอกอวบอิ่มของหญิงสาว
หมับ ป๊อก มือข้างที่หมายจะสัมผัสซาลาเปาลูกโตกับถูกหักอย่างง่ายดายโดยหญิงสาวที่เมื่อสักครู่ยังนอนหลับตาไม่ได้สติ
“โอ๊ย” ก่อนที่เสียงร้องที่สองของชายฉกรรจ์จะดังขึ้นลำคอของเขาก็ถูกนิ้วมือเรียวยาวหักลงดังป๊อก
ชายร่างอ้วนเห็นสหายร่วมอาชีพถูกหักคอตายตรงหน้าเขาจึงหยิบท่อนไม้พุ่งเข้าหาหญิงสาวหมายจะทุบตีนางให้ตายตกไปตามกัน
หญิงสาวเบี่ยงตัวหลบท่อนไม้ตรงหน้านางดึงปิ่นปักผมบนศรีษะออกมาแล้วเขวี้ยงออกไปปักที่ลำคอชายร่างอ้วนอย่างแม่นยำ
ชายร่างอ้วนกุมลำคอที่มีเลือดไหลทะลักเขามองนางอย่างไม่อยากจะเชื่อเมื่อสักครู่หญิงสาวตรงหน้ายังถูกเขาและสหายใช้กำลังฉุดมาอย่างง่ายดายมิหนำซ้ำตอนนางฟื้นขึ้นมาร้องโวยวายเขายังโขกศรีษะนางกับรถม้าจนนางแน่นิ่ง
ไม่รอให้ชายอ้วนรอนานหญิงสาวหยิบท่อนไม้ฟาดเข้าไปทีศรีษะของเขาจนศรีษะผิดรูปตายตามสหายไป
หญิงสาวเช็ดมือกับชายเสื้อแล้วสบถขึ้นว่า “ปู่ย่ามันเถอะ!เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
นางมีแซ่ว่าเฟิ่งนามจิ่วอายุยี่สิบแปดปีขณะกำลังเดินเล่นที่ตลาดค้าของเก่านางพึ่งจะซื้อน้ำเต้าใส่สุราได้อย่างเดียวก็ถูกองค์กรของศัตรูส่งนักฆ่านับสิบคนมาไล่ล่าสังหาร
นางวิ่งหนีไปจนถึงตรอกมืดไร้ผู้คนและตรอกนี้ยังเป็นทางตันมีทางเข้าออกทางเดียว
นางจึงต่อสู้กับนักฆ่าเหล่านั้น นางสังหารไปได้หลายคนแต่นางก็บาดเจ็บไม่น้อยเมื่อนักฆ่าคนสุดท้ายถูกนางฆ่าตาย ตัวนางก็ทนพิษบาดแผลจากกระสุนเหล็กไม่ไหวสิ้นใจตายเช่นกัน
แต่เหตุใดวิญญาณนางจึงไม่ไปยังแม่น้ำเหลืองเล่าเหตุไฉนถึงมาอยู่ในร่างของหญิงสาววัยปักปิ่นคนนี้
ฉับพลันนั้นเองความทรงจำมากมายก็หลั่งไหลเข้ามาในสมองของเฟิ่งจิ่ว
หนึ่งเค่อต่อมาเฟิ่งจิ่วก็เรียบเรียงความทรงจำเสร็จที่แท้หญิงสาวคนนี้มีชื่อแซ่เดียวกับนางและเพราะเป็นบุตรีคนที่เก้าบิดาจึงตั้งชื่อให้นางว่าจิ่ว
ในอดีตตระกูลเฟิ่งเหลือทายาทเพียงคนเดียวคือเฟิ่งเฟยเทียนฮูหยินผู้เฒ่าจึงสั่งให้บุตรชายแต่งภรรยาเอกภรรยารองและอนุเข้ามาหลายคนเผื่อให้ตระกูลเฟิ่งมีทายาทเยอะๆ
ซึ่งเฟิ่งเฟยเทียนก็ไม่ทำให้ผิดหวังภายในเวลาไม่กี่ปีเขามีบุตรชายเจ็ดคนบุตรสาวสามคนเป็นทายาท
เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าบรรลุเป้าหมายแล้วประกอบกับร่างกายที่อ่อนแอจึงไม่ยุ่งเรื่องในจวนอีกมอบหมายให้ฉินซื่อซึ่งเป็นฮูหยินเอกคอยดูแลจวน
ส่วนตนเองใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบใช้เวลาส่วนใหญ่เข้าห้องพระสวดมนต์ขอพรให้ตระกูลเฟิ่งเจริญรุ่งเรืองสงบร่มเย็นเป็นสุข
เฟิ่งจิ่วเป็นบุตรของเฉียวซื่ออนุคนที่สี่ของเฟิ่งเฟยเทียนขุนนางขั้นสี่แห่งแคว้นโจว
เฟิ่งจิ่วยังมีน้องชายร่วมบิดามารดาเดียวกันวัยเก้าขวบอยู่หนึ่งคนคือเฟิ่งสือบุตรคนที่สิบบุตรชายคนเล็กของเฟิ่งเฟยเทียน
แรกเริ่มเดิมทีชีวิตของเฟิ่งจิ่วกับเฟิ่งสือก็ไม่ได้ลำบากอะไรถึงแม้จะเป็นลูกอนุแต่เพราะมีมารดาที่ได้รับความโปรดปรานสองพี่น้องจึงใช้ชีวิตเยี่ยงคุณหนูคุณชายตระกูลใหญ่สิ่งใดที่บุตรภรรยาเอกมีเฟิ่งจิ่วกับน้องชายย่อมต้องได้รับไม่ต่างกัน
จวบจนเมื่อสามปีก่อนอนุเฉียวได้สิ้นใจตายเพราะโรคประหลาดที่ไม่มีหมอคนใดรักษาได้ตั้งแต่นั้นมาชีวิตของบุตรอนุที่ไร้มารดาคอยปกป้องก็เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังเท้า
สิ่งดีๆที่เคยได้รับกับไม่ได้รับ สิ่งที่ควรได้รับในฐานะบุตรอนุก็ไม่ได้รับเพราะฉินซื่อใช้อำนาจฮูหยินเอกกลั่นแกล้งบุตรอนุที่ตนเกลียดชังอย่างหนัก
ในอดีตมารดาของเฟิ่งจิ่วเป็นนางคณิกาขายศิลปะไม่ขายเรือนร่างหลังจากเฟิ่งเฟยเทียนแต่งฉินซื่อเข้าจวนตระกูลเฟิ่งตามสัญญาหมั้นหมายได้ไม่นานเขาก็พบรักกับหญิงงามอย่างเฉียวซื่อ
เขาใช้เงินถึงห้าร้อยตำลึงทองซื้อตัวนางมาจากหอนางโลมสร้างความคับแค้นใจให้ฉินซื่อยิ่งนัก
มิหนำซ้ำความโปรดปรานที่เขามีให้เฉียวซื่อตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมายังเป็นหนามทิ่มแทงใจให้แก่ฉินซื่อไม่น้อย
เมื่อเฉียวซื่อตายลงประกอบกับเฟิ่งเฟยเทียนได้รับคำสั่งให้ไปจัดการความเรียบร้อยของดินแดนที่พึ่งยึดมาจากแคว้นเจา
ฉินซื่อจึงใช้โอกาสนี้กลั่นแกล้งบุตรอนุทุกคนแต่ที่ถูกรังแกหนักสุดก็คือสองพี่น้องเฟิ่งจิ่วกับเฟิ่งสือ
เฟิ่งจิ่วยังรับรู้ด้วยว่าชายสองคนที่ถูกนางสังหารเป็นคนที่ฉินซื่อจ้างวานมา
นางค้นตัวพวกมันพบตั๋วเงินหนึ่งพันตำลึงเงินกับเศษเงินอีกนิดหน่อยเฟิ่งจิ่วเก็บเงินทั้งหมดใส่ถุงเงินของตนเองแล้วจุดไฟเผาเรือนร้างหลังนี้ไปพร้อมกับตู้โดยสารรถม้าและศพของพวกมัน
นางขี่ม้าไปหาโรงเตี๊ยมพักค้างคืนขณะที่นางถอดเสื้อผ้าเพื่ออาบน้ำก็พบว่าที่คอของนางใส่สร้อยคอมีจี้เป็นน้ำเต้าใส่สุราที่นางซื้อมาจากร้านขายของเก่าก่อนตาย
ที่สำคัญนอกจากมันจะย่อส่วนเป็นจี้ห้อยคอได้มันยังขยายใหญ่ได้ถึงหนึ่งฝ่ามือเท่ากับตอนที่นางซื้อมันมาและมันยังบรรจุสุราชั้นดีรสชาดเหมือนกับสุรายี่ห้อรีเจนซี่
และที่ทำให้เฟิ่งจิ่วดีใจมากก็คือสุราในน้ำเต้าดื่มเท่าไหร่ก็ไม่มีวันหมด
หลังอาบน้ำเสร็จเฟิ่งจิ่วดื่มสุราชั้นดีจากน้ำเต้าก่อนนอน พอนางตื่นขึ้นมาในรุ่งเช้าประตูเมืองก็เปิดพอดีนางจึงขี่ม้าสีดำตัวใหญ่กลับเข้าเมือง
*หนึ่งชั่วยามเท่ากับสองชั่วโมง
*หนึ่งเค่อเท่ากับสิบห้านาที
ยามจื่อคือ 23.00-01.00 น.
ยามโฉ่วคือ 01.00-03.00 น.
ยามอิ๋นคือ 03.00-05.00 น.
ยามเหม่าคือ 05.00-07.00 น.
ยามเฉินคือ 07.00-09.00 น.
ยามซื่อคือ 09.00-11.00 น.
ยามอู่คือ 11.00-13.00 น.
ยามเว่ยคือ 13.00-15.00 น.
ยามเซินคือ 15.00-17.00 น.
ยามโหย่วคือ 17.00-19.00 น.
ยามซวีคือ 19.00-21.00 น.
ยามไฮ่คือ 21.00-23.00 น.
*หนึ่งพันอีแปะเท่ากับหนึ่งตำลึงเงิน
*สิบตำลึงเงินเท่ากับหนึ่งตำลึงทอง
*ซื่อคือคำเรียกต่อชื่อของสกุลเดิมของสตรีที่แต่งงานแล้ว
แผนผังตระกูลเฟิ่ง
ฮูหยินผู้ฒ่าสวี่หรานอายุห้าสิบสี่ปี ท่านย่าของเฟิ่งจิ่ว
เฟิ่งเฟยเทียนอายุสามสิบแปดปี บิดาของเฟิ่งจิ่ว
ฉินซื่อฮูหยินเอกอายุสามสิบห้าปี มารดาของเฟิ่งเอ้อร์และเฟิ่งลิ่ว
เหลียวซื่อฮูหยินรองอายุสามสิบห้าปี มารดาของเฟิ่งอีและเฟิ่งซาน
อนุหลินอนุคนที่หนึ่งอายุสามสิบสองปี มารดาของเฟิ่งชี
อนุหม่าอนุคนที่สองอายุสามสิบสามปี มารดาของเฟิ่งซื่อกับเฟิ่งปา
อนุเฉียนอนุคนที่สามอายุสามสิบสองปี มารดาของเฟิ่งหวู่
อนุเฉียวอนุคนที่สี่อายุสามสิบเอ็ดปี(เสียชีวิต)มารดาของเฟิ่งจิ่วและเฟิ่งสือ
บุตรชายคนโตเฟิ่งอีอายุสิบเก้าปี
บุตรชายคนที่สองเฟิ่งเอ้อร์อายุสิบแปดปี
บุตรชายคนที่สามเฟิ่งซานอายุสิบเจ็ดปี
บุตรสาวคนที่สี่เฟิ่งซื่ออายุสิบเจ็ดปี
บุตรชายคนที่ห้าเฟิ่งหวู่อายุสิบเจ็ดปี
บุตรสาวคนที่หกเฟิ่งลิ่วอายุสิบหกปี
บุตรชายคนที่เจ็ดเฟิ่งชีอายุสิบหกปี
บุตรชายคนที่แปดเฟิ่งปาอายุสิบหกปี
บุตรสาวคนที่เก้าเฟิ่งจิ่วอายุสิบห้าปี
บุตรชายคนที่สิบเฟิ่งสืออายุเก้าปี
อีคือหนึ่ง
เอ้อร์คือสอง
ซานคือสาม
ซื่อคือสี่
หวู่คือห้า
ลิ่วคือหก
ชีคือเจ็ด
ปาคือแปด
จิ่วคือเก้า
สือคือสิบ
