ตอนที่ 1 อดีต (จุดเริ่มต้นของเพื่อน)
“นี่พวกเรารู้จักกันมาเกือบปีแล้วนะ ไปดูหนังกันมั้ยวะ ฉลองความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนแบบเป็นทางการสักหน่อย ช่วงนี้กิจกรรมรับน้องก็ดูจะเบา ๆ ลงแล้ว” แชมเปญหันไปชวนเพื่อนระหว่างที่ทุกคนกำลังนั่งพักในช่วงกลางวันเพื่อรอเรียนในภาคบ่าย
“ก็ดีเหมือนกัน ตั้งแต่รู้จักกันมาเรียนเสร็จกลับบ้าน รับน้องเสร็จกลับบ้าน ตื่นเช้าก็มาเรียนเสร็จแล้วก็กลับบ้าน ยังไม่เคยทำตัวเหลียวไหลสักที นี่ยังรู้สึกว่าตัวเองเป็นเด็กดีกว่าตอนเรียนมัธยมเสียอีกหว่ะ”วายุเงยหน้าจากโทรศัพท์เห็นดีด้วยกับความคิดของแชมเปญ
“ว่าไง ไปกันหรือเปล่า” เฟียสหันไปถามธามคีรีและเตชิน
“กูยังไงก็ได้” เตชินไหวไหล่มือข้างหนึ่งกำลังไถโทรศัพท์ไปเรื่อย ๆ
“มึงล่ะ” เฟียสหันไปถามธามคีรีอีกครั้ง
“แล้วแต่” ธามคีรีตอบแล้วลุกขึ้นเพื่อเดินเลี่ยงออกไปรับโทรศัพท์ที่ดังขึ้นมาพอดี
“สรุปไปทุกคนนะจะได้ครบองค์ ฉันจะเช็ครอบหนังวันพรุ่งนี้แล้วนะ” แชมเปญถามย้ำอย่างมีความหวังพร้อมหันไปมองหน้าเพื่อนทีละคนเหมือนจะคอนเฟริ์มให้แน่ใจ
“พวกแกไปกันเถอะพอดีฉันรับงานไว้” เฌอแตมเอ่ยออกมาหลังจากที่คิดอยู่นานว่าจะปฏิเสธเพื่อนยังไงดี เธอไม่อยากใช้เงินที่มีอยู่อย่างจำกัดไปในทางที่ฟุ่มเฟือยแบบนั้น เพราะทุกวันนี้ก็ต้องวิ่งหางานทำตัวเป็นเกลียวเพื่อจะได้พอค่าหอค่ากิน ดีที่ค่าเรียนยังกู้ กยศ.ได้
“อ้าวเหรอ แกทำงานกี่โมงล่ะเดี๋ยวหาวันที่ไม่มีเรียนไปก็ได้นี่ ถ้าแกต้องทำงานช่วงเย็นจะได้ไม่ต้องกระทบกับงานที่ทำไงล่ะ” แชมเปญทำหน้าผิดหวังเล็กน้อยที่เพื่อนสาวในกลุ่มจะไม่ไปและพยายามเสนอทางเลือกให้กับเพื่อน
“นั่นสิพวกเราไปช่วงกลางวันก็ได้” มิ้นเสริมเพราะอยากให้เพื่อนไปด้วยกันจนครบ
“แต่ว่า…” ยิ่งเพื่อนพยายามหาทางออกช่วยเธอเฌอแตมก็ยิ่งรู้สึกลำบากใจมากขึ้น สายตาเกือบทุกคู่กำลังมองมาที่เธออย่างรอคำตอบ จนในที่สุดเฌอแตมก็ต้องยอมบอกปัญหาของเธอออกไป
“คือฉันมีปัญหาเรื่องเงินเลยไม่อยากฟุ่มเฟือยโดยไม่จำเป็น ตั๋วหนังมันอาจจะเป็นเงินไม่มาก แต่สำหรับฉันที่ต้องหาค่าหอ ค่ากิน ค่าอยู่เองก็เลยต้องประหยัด พวกแกไปกันเถอะไม่ต้องห่วง ปกติฉันก็ไม่ค่อยได้ดูหนังในโรงอยู่แล้วก็เลยไม่ได้รู้สึกว่าอยากไปเท่าไหร่” เฌอแตมหันไปมองหน้าเพื่อนทุกคนขณะพูด ไม่อยากให้ใครต้องกังวลใจเรื่องเธอ
ทุกคนเงียบฟังไม่มีใครเอ่ยอะไรจนเฌอแตมรู้สึกว่าเธอคงจะเสียเพื่อนที่คบมาเกือบปีเพราะความจน แต่จู่ ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
“เดี๋ยวฉันจ่ายค่าตั๋วหนังให้เอง” ธามคีรีที่รู้เรื่องนี้ตั้งแต่ต้นพูดขึ้นเสียงเรียบ ขณะที่เดินเข้ามาหลังจากคุยโทรศัพท์เสร็จ
“ไม่ต้องหรอกธาม มันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรจะมาเสียงตังค์ให้ฉันทำไม” เฌอแตมปฏิเสธในความมีน้ำใจของเพื่อนชาย คนที่พูดน้อยที่สุดในกลุ่ม
“บ้านมันรวยมากเผื่อเธอยังไม่รู้ ลูกชายคนเดียวของนักธุรกิจผู้ผลิตชิ้นส่วนและยานยนต์เพื่อจำหน่ายและส่งออกรายใหญ่ของเอเชียแบบมันแค่นี้ขนหน้าแข้งไม่ร่วงหรอก มันเสนอมาให้ขนาดนี้แล้วอย่าปฏิเสธมันเลย ฉันอยากให้แกไปด้วยกันจริง ๆ นะจะได้ครบองค์ไง” แชมเปญรีบสนับสนุนในข้อเสนอของธามคีรีก่อนจะมองเฌอแตมแล้วทำตาปริบ ๆ
“ไปเถอะพวกเราจะได้มีวันเวลาดี ๆ ของเพื่อนร่วมกัน”มิ้นพูดขึ้นมาอีกคน หลังจากนั้นทุกคนก็ช่วยกันโน้มน้าวเฌอแตมให้รับนำใจจากธามคีรีเพื่อที่จะได้ไปด้วยกัน
เฌอแตมหันไปมองหน้าเพื่อนทุกคนอย่างชั่งใจอีกครั้งก่อนจะตัดสินใจ เธอไม่อยากทำตัวเป็นภาระของเพื่อนในเรื่องที่ไม่จำเป็น แต่เมื่อมองไปยังทุกคนก็ได้เห็นแต่แววตาแห่งความจริงใจที่มีให้เธอ จากที่คิดว่าเพื่อนจะรังเกียจที่เธอจนมาตอนนี้เธอกลับได้รับในสิ่งที่ตรงข้ามกับคำว่ารังเกียจไปมาก เฌอแตมจึงหันไปมองธามคีรีอีกครั้ง
“ขอบคุณมากนะธาม” รอยยิ้มบาง ๆ ถูกส่งไปให้ธามคีรีเป็นการขอบคุณ ในขณะที่อีกฝ่ายเพียงแค่พยักตอบเท่านั้น เพราะมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสำหรับเขา
หลังจากวันนั้นทุกคนก็ได้รับรู้เรื่องราวชีวิตของเฌอ แตมทุกด้าน ซึ่งเธอก็เล่าให้เพื่อนฟังแบบไม่ปิดบังถึงความลำบากที่ครอบครัวของเธอมีจนกระทั่งเกือบที่จะไม่ได้เรียนเพราะไม่มีเงิน
เฌอแตมเป็นเด็กต่างจังหวัดใกล้ ๆ กรุงเทพฯ เธอสอบเข้ามหาลัยของรัฐชื่อดังในกรุงเทพได้แต่ฐานะทางบ้านกลับไม่อำนวย ก่อนที่จะตัดสินใจมาเรียนที่นี่เธอเกือบต้องสละสิทธิ์เพราะไม่มีเงินพอเป็นค่าเทอมและค่าใช้จ่ายในการเข้าเรียน ดีที่ว่ายายได้มอบสร้อยทองเส้นสุดท้ายที่มีให้เธอไปขายเพื่อที่อยากจะให้หลานมีอนาคตที่ดี เฌอแตมดิ้นรนหางานพาร์ทไทม์ทำเพื่อที่จะเป็นค่าหอค่าและค่าใช้จ่ายทุกอย่างด้วยตัวเองตั้งแต่เข้าเรียน ปี 1 เพื่อไม่ให้ยายต้องผิดหวังที่มอบสิ่งมีค่าสุดท้ายเป็นใบเบิกทางให้เธอได้มาเรียนเพื่อจะได้มีอนาคตที่ดี
เพื่อนในกลุ่มไม่มีใครมองถึงฐานะของเฌอแตมแม้แต่น้อย ทุกคนคือเพื่อนที่เท่าเทียมกันและคอยเกื้อหนุนกันในสิ่งที่เพื่อนขาดอยู่เสมอ
หลังจากผ่านพ้นปีหนึ่งมาจนขึ้นปีสองความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนก็แน่นแฟ้นขึ้นตามกาลเวลา หลังจากที่รู้ว่าเฌอแตมต้องคอยหาเงินส่งตัวเองเรียน ทุกคนก็คอยยื่นมือให้ความช่วยเหลือเธอทุกด้าน โดยเฉพาะธามคีรีที่ตั้งแต่รู้ว่าเพื่อนสาวคนนี้ลำบากก็ไม่เคยที่จะหยุดให้ความช่วยเหลือนับแต่นั้นมา ทั้งช่วยเหลือแบบเปิดเผยและไม่เปิดเผย รวมถึงสรรพนามที่แต่ละคนใช้เรียกกันนั้นก็เก๋าขึ้นตามกาลเวลาและความสัมพันธ์
“วันหยุดนี้ไปทำห้องให้หน่อยสิ ไม่ได้ทำมาเป็นเดือนแล้ว รู้สึกรก ๆ ยังไงไม่รู้” ธามคีรีนั่งลงตรงหน้าเฌอแตมในเช้าวันหนึ่งในขณะที่กำลังรอเพื่อนคนอื่น ๆ ที่กำลังเดินทางมาเรียน
“จ่ายเท่าไหร่” เฌอแตมถามหาค่าจ้างทั้งที่ยังคงเปิดตำราเรียนในรายวิชาที่ครูจะสอบเก็บคะแนนในเช้านี้
“ยังไม่ทันทำถามค่าหาจ้างแล้ว เคยจ่ายให้น้อยหรือไง”
“ไม่เคย”
“แล้วจะถามทำไม จะไปหรือไม่ไป”
“อืม ถ้าเจอถุงยางอนามัยคิดค่าจ้างเพิ่มสองเท่าเป็นค่าเสี่ยงภัย” เฌอแตมบอกคนจ้างด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะช้อนสายตาขึ้นมองเพื่อนชายที่มีหน้าตาเป็นอาวุธ นี่หากไม่ใช่เพื่อนกันแล้วบังเอิญเธอเจอมันข้างนอกก็ไม่พ้นคิดว่ามันเป็นเด็กม.ปลายที่ยังไม่หย่านม UHT เป็นแน่ ผู้ชายอะไรหล่อไม่พอยังหน้าเด็กจนใครเดาอายุที่แท้จริงไม่ออก
“ค่าเสี่ยงภัยอะไร” ธามคีรีทำหน้าคล้ายไม่เข้าใจ
“เอ๊า ก็ค่าเสี่ยงภัยโรคติดต่อไง กูจะแน่ใจได้ไงว่าผู้หญิงที่มึงลากไปเอาจะไม่เอาโรคไปติดมึง ถ้ามึงติดโรคกูไปทำความสะอาดไปหยิบไปจับกูก็เสี่ยงไง” เฌอแตมพูดสีหน้าจริงจัง
“กูไม่ได้มั่วแตม แล้วคอนโดกูก็ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนไปด้วยนอกจากมึง” น้ำเสียงจริงจังไม่ต่างกันพูดพร้อมทำหน้าเคร่ง
“เชื่อตาย?” เฌอแตมเบะปากทำท่าว่าไม่เชื่อในสิ่งที่ธามคีรีบอก
“พูดมาก อาทิตย์นี้ก็ไปคอนโดกูทั้งสองวันเลยละกัน ทั้งเสาร์ทั้งอาทิตย์นั่นแหละ”
“ไปทำไมสองวัน ทำความสะอาดทำวันเดียวก็เสร็จ”เฌอแตมแย้ง ถึงแม้ธามคีรีจะจ่ายเงินแต่เธอก็ไม่ได้อยากไปขลุกอยู่คอนโดมันทุกวัน
“ซักผ้ารีดผ้าด้วยขี้เกียจส่งร้าน ส่งทีไรไม่ผ้าหายก็สีตก” ธามคีรีหาข้ออ้างเพื่อที่จะจ้างเพื่อนทำงานเพิ่ม
“จิ๊!! มึงนี่เรื่องมาก มึงก็แค่เปลี่ยนร้านซักไงธาม”
“สรุปไม่ทำ?” ธามคีรีถามกลับเสียงนิ่ง
“ทำ..ไม่ต้องมาตีหน้าเคร่งใส่” เฌอแตมตอบเสียงสะบัด เธอไม่ค่อยชอบสักเท่าไหร่เวลาถูกธามคีรีจ้องหน้ากดดันเอาคำตอบ มันทำให้เธอรู้สึกกลัวมันทุกครั้ง
“ก็แค่นั้น” สีหน้านิ่งฉาบไปด้วยแววตาแห่งความพอใจที่การเจรจาจ้างงานกับเพื่อนสาวบรรลุผล
“กูว่ากูมาเช้าแล้วนะมึงสองคนมาก่อนกูอีก มาด้วยกันหรือไงมึงสองคนน่ะ” เสียงของแชมเปญดังขึ้นก่อนที่หุ่นแบบเอวบางร่างน้อยจะปรากฎตัว
แชมเปญคือลูกสาวเจ้าของตลาดสดรายใหญ่กลางกรุงและห้องแถวรอบ ๆ ตลาด รวมถึงพื้นที่ให้เช่าสำหรับธุรกิจแบบคอมเพล็กซ์ในอาณาบริเวณเดียวกันบนพื้นที่กว่าห้าสิบไร่ที่มีแต่คนอยากจะไปเปิดแผงค้าขาย ด้วยทำเลทองและกำลังซื้อของลูกค้าที่มาเดินตลาดที่นั่นทำเอาพ่อค้าแม่ค้าต่างแย่งกันเพื่อจะได้พื้นที่เช่า และค่าเช่าก็แพงขึ้นตามไปด้วยจนทำให้ครอบครัวของแชมเปญร่ำรวยจากการเก็บค่าเช่าและธุรกิจต่าง ๆ ในพื้นที่ของตัวเอง
“นัดบ้าอะไรล่ะกูมาถึงก่อน ธามมันพึ่งมา” เฌอแตมเงยหน้าบอกกับแชมเปญที่พึ่งมาถึง
“ออ กูนึกว่าพวกมึงมาด้วยกันซะอีก”
“กูไม่ได้อยู่บ้านเดียวกับมันค่ะ กูโหนรถเมล์มา” เฌอแตมทำตาค้อนใส่แชมเปญ
“ 555 มึงไม่แวะรับมันมาด้วยล่ะธาม มึงผ่านหน้าหอพักมันทุกวัน” แชมเปญหัวเราะขำขันกับท่าทีของเฌอแตมแล้วหันไปพูดกับธามคีรี
“ชวนตั้งแต่ปี 1” ธามคีรีตอบห้วน ๆ
“กูไม่อยากเป็นภาระใคร แค่ที่พวกมึงช่วยเหลือกูมาตั้งแต่ปีหนึ่งกูก็ไม่รู้จะตอบแทนยังไงแล้ว ให้กูพึ่งตัวเองบ้าง เดินทางมาเรียนแค่นี้สบายมาก”
“แต่ถ้ามึงมากับมันมึงก็จะประหยัดค่ารถเมล์ไปหลายบาทเพื่อเก็บตังไว้ใช้อย่างอื่นไงไม่ดีเหรอวะ” วายุที่พึ่งมาสมทบได้ยินเพื่อนคุยกันก็เอ่ยขึ้นหลังจากที่นั่งลงตรงเก้าอี้ม้าหินอ่อนข้าง ๆ กับธามคีรี
“พวกมึงเป็นไรเนี่ย พร้อมใจกันบรีฟกูจัง” เฌอแตมมองเพื่อนทั้งสามอย่างแปลกใจ
“ก็แค่เป็นห่วง มึงจะแปลกใจอะไรนักหนาพวกกูก็ห่วงมึงนั่นแหละ” วายุพูดสีหน้าจริงจัง
“ไว้เปลี่ยนใจแล้วจะบอก ขอบใจพวกมึงมากโดยเฉพาะมึงนะธาม” เฌอแตมถอนหายใจหันไปพูดและยิ้มบาง ๆ ให้ทุกคน ระหว่างสงสารตัวเองที่กลายมาเป็นภาระของเพื่อนกับดีใจในความโชคดีของตัวเองที่มีเพื่อนดี ตอนนี้เธอก็ไม่รู้ว่าจะรู้สึกอันไหนก่อน
เฌอแตมยังคงขยันหางานพิเศษทำไม่ว่าจะเป็นงานเสริ์ฟร้านอาหารหลังเลิกเรียน งานพาร์ทไทม์ร้านกาแฟช่วงเสาร์อาทิตย์ บางครั้งก็รับจ๊อบเป็นเด็กเสริ์ฟโรงแรมที่บ้านของเฟียส หากว่าที่โรงแรมต้องการนักศึกษาช่วยงาน รายได้จากการวิ่งหางานทำของเธอก็พอจ่ายค่าหอพักไปได้ทุกเดือน และเหลือเก็บอยู่บ้างหลังจากหักค่ากินต่าง ๆ แล้ว
เงินที่เหลือเก็บของเธอคงจะไม่เหลือหากงานที่เธอทำเป็นแค่งานเสริ์ฟทั่วไป แต่ที่มันพอจะเหลือให้เก็บเพื่อไว้เป็นค่าทำรายงานหรือจิปะถะกับเรื่องเรียนอยู่บ้างก็เป็นเพราะค่าจ้างที่ธามคีรีให้เธอต่างหาก ทุกครั้งที่มันจ้างให้เธอไปทำงานให้ก็มักจะจ่ายค่าจ้างเกินกว่าที่ตกลงหลายเท่าตัว
“มึงไม่ต้องจ่ายเงินให้กูมากมายทุกครั้งหรอกธาม กูรู้สึกทำงานให้มึงไม่คุ้มกับค่าเงินของมึงเลย” เธอบอกกับเพื่อนชายในวันหนึ่งเมื่อต้องมาซักรีดเสื้อผ้าให้มัน
“ทำไม หรือไม่อยากรับงานกู?”
“อยากรับทั้งงานทั้งเงินนั่นแหละ แต่ทุกครั้งที่มึงโอนเงินให้มันมากไป กูก็ทำงานวน ๆ ไปแบบเดิมไม่ได้สร้างบ้านให้มึงไม่ต้องจ่ายค่าแรงโหดปานนั้น”
“กูเต็มใจ”
“แต่มึงก็ยังเรียนไม่จบยังหาเงินเองไม่ได้ มึงเอาเงินมาจ่ายกูแบบนี้ถ้ามึงไม่พอใช้มึงก็ต้องกลับไปขอที่บ้านอีก กูไม่สบายใจถ้ามันเป็นแบบนั้น” เฌอแตมพูดตามที่ใจคิดในขณะที่มือก็รีดผ้าให้ธามคีรีไปด้วย
“กูไม่ได้ขอเงินที่บ้านมาตั้งแต่ ม.ปลายแล้วมึงไม่ต้องห่วง เงินทุกบาทที่กูจ่ายมึงคือเงินที่กูหาเอง รวมถึงคอนโดที่มึงนั่งอยู่ตอนนี้ด้วย”
“ห๊ะ ! มึงทำงานอะไรทำไมมีเงินมากมายขนาดซื้อคอนโดด้วยตัวเอง” เฌอแตมวางเตารีดในมือทันทีแล้วหันมาถามธามคีรีราวกับว่าไม่อยากเชื่อ
“เล่นหุ้น เล่นมาตั้งแต่เริ่มขึ้น ม.ปลายแล้ว” ธามคีรีบอกตามตรงไม่ปิดบัง
“ม.ปลายก็อายุแค่สิบกว่ามึงสามารถเล่นได้แล้วเหรอตอนนั้น”
“ตอนนั้นที่บ้านเปิดพอร์ทให้ก็เล่นผ่านพอร์ทที่เขาเปิดให้ แต่ตอนนี้เปิดพอร์ทเองแล้ว” ธามคีรีพูดไปก็เดินวนไปรอบ ๆ ห้องคล้ายกับเล่าให้ฟังเสียมากกว่า เฌอแตมฟังแล้วก็พยักหน้าหงึกหงัก หลังจากนั้นเธอก็ไม่ได้ถามอะไรต่อเพราะเธอไม่ได้มีความรู้เรื่องหุ้น แค่อยากรู้ว่ามันหาเงินจากไหนตั้งเยอะแยะก็เท่านั้น
ธามคีรีนั่งมองเพื่อนสาวนั่งรีดผ้าให้ตัวเองเงียบ ๆ สลับกับมองกราฟหุ้นในโทรศัพท์ ก่อนจะตัดสินใจบอกย้ำในสิ่งที่อีกฝ่ายกังวลอีกครั้ง เพราะกลัวว่าหากยังเข้าใจว่าเขาเบียดเบียนเงินที่บ้านมาจ้าง ต่อไปเฌอแตมก็คงหาข้ออ้างที่จะไม่มาทำงานให้เป็นแน่
“ไม่ต้องกลัวว่ากูจะเอาเงินที่บ้านมา และไม่ต้องกลัวกูจนเพราะกูจัดระเบียบการเงินของตัวเองอย่างดี” เสียงเรียบบอกย้ำในความกังวลที่เพื่อนสาวมี
“ค่ะ คนรวย” เฌอแตมเหลือบตามองพร้อมพูดประชดเล็กน้อยก่อนจะลุกเก็บเตารีดให้เข้าที่เมื่อรีดผ้าเสร็จ
วันนี้พวกนั้นมันนัดกินบุฟเฟ่ต์อาหารทะเลร้านเปิดใหม่ เดี๋ยวเสร็จนี้ไปพร้อมกันเลย กูบอกมันแล้วว่าเจอกันที่ร้าน” ธามคีรีบอกเมื่อเห็นว่าเฌอแตมกำลังจะเสร็จจากการเก็บเสื้อผ้าเข้าตู้ให้เขา
“หัวเท่าไหร่” เฌอแตมถามถึงราคาเป็นอย่างแรก
“ไม่ต้องถาม เดี๋ยวจ่ายให้เอง” ธามคีรีทำท่าว่าไม่อยากตอบคำถามนั้น เพราะหากบอกราคาไปแน่นอนว่าเฌอแตมต้องอิดออดที่จะไปกินด้วยกัน
“กูถามราคา ไม่ได้บอกว่าให้จ่ายให้”
“กูไม่ใช่เจ้าของร้านจะไปรู้ราคาได้ไง ไปถึงร้านก็เห็นเองแหละ ร้านเขาคงติดราคาบอกอยู่” ธามคีรีตอบปัด ๆ เพราะไม่อยากบอกถึงราคาที่แท้จริง สำหรับเขาและคนอื่น ๆ ก็คงเป็นราคาปกติ แต่สำหรับเพื่อนสาวคนนี้ไม่ปกติแน่
“กวน” เฌอแตมบ่นไล่หลัง เมื่อธามคีรีเดินหายเข้าไปทางห้องนอน
“จะรู้ไปทำไมแค่ไปกินก็พอ” ธามคีรีเดินออกมาจากห้องด้วยผ้าเช็ดตัวพันกายแค่ท่อนล่างผืนเดียว ส่วนช่วงอกเปลือยเปล่าเผยให้เห็นอกหนาที่ขาวสะอาดและมัดกล้ามอกที่หนัดแน่นทำเอาเฌอแตมต้องรีบเบือนหน้าหนีแล้วคว้าหมอนมาปิดหน้าเอาไว้
“ก็แค่อยากรู้ แล้วนี่จะแต่งตัวให้มันดี ๆ หน่อยไม่ได้หรือไง กูเป็นผู้หญิงนะเกรงใจบ้างกูยังไม่อยากตาเป็นกุ้งยิง” เฌอแตมแหวใส่ธามคีรี ในขณะที่ใจก็เต้นตึกตัก
“อีกหน่อยก็ชิน”
