บท
ตั้งค่า

บทที่ 2 ไวไฟยิ่งกว่าสี่จี (3)

“อื้ม” เสียงครางต่ำดังออกจากลำคอ มือใหญ่ดึงเอวอ้อนแอ้นเข้าหาลำตัวมากขึ้นจนอวัยวะตั้งแต่หน้าอกลงไปประกบติดกันอย่างแนบแน่น และความนุ่มหยุ่นของเนินเนื้อกลม ๆ ที่กำลังบดเบียดก็เรียกเลือดร้อนๆในกายให้โหมกระพือหนักขึ้นอีกเท่าตัว ส่วนล่างไม่ต้องพูดถึงมันรวดร้าวตึงเครียดไปหมดแล้ว เวียงพิงค์เองยังรับรู้ได้ว่าอะไร ๆ ของคนที่เอาแต่จูบเธอมันกำลังตื่น

“พอ...พอแล้ว” ห้ามเสียงสั่น ขนตามร่างกายก็ลุกชันไปทั้งตัว ความรู้สึกหวาบหวามที่กำลังเป็นอยู่ในขณะนี้มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน มันเป็นอะไรที่แปลกใหม่ก็จริงแต่ใจมันก็บอกว่าไม่ถูกต้อง เห็นหน้ากันแค่สองสามครั้งมาทำแบบนี้กับเธอได้ยังไง

“พิ้งค์” ลูบแก้มเนียนแดงก่ำเบา ๆ พอเธอเงยหน้าขึ้นสบตาก็เห็นความวูบไหวในระคนเสียใจในดวงตากลมโตจนเขาต้องกอดกระชับร่างเล็กแต่ทว่าอวบอิ่มแน่นขึ้นไปอีก จะปล่อยเธอไปตอนนี้ไม่ได้เด็ดขาดไม่เช่นนั้นแล้วคงเข้าถึงตัวได้ยากแน่

“ปล่อย! บอกให้ปล่อยฉันไงไอ้บ้า! อย่ามาทำเหมือนฉันง่ายเหมือนสาว ๆ ในชีวิตของนายนะโว้ย!” ดิ้นออกจากอ้อมแขนที่กอดรัดร่างกายเธอเอาไว้แน่นอย่างสุดฤทธิ์เมื่อแรงที่เหือดหายไปเริ่มค่อย ๆกลับคืนสู่ร่างแล้ว แค่นี้ก็อายและเสียหน้ามากเกินทนขืนอยู่ต่อมีหวังเธอได้กลายร่างเป็นนางยักษ์จับเด็กหักคอแน่ ๆ

“พิ้งค์ได้ขับรถมาไหมครับหรือว่ามากับเจ๊หมวย ผมขอคำตอบจริงๆนะไม่ใช่คำโกหก” เขาไม่สนใจอาการขัดขืนเล็กๆนั่นหรอก แรงแค่นั้นจะไปสู้ผู้ชายอกสามศอกอย่างเขาได้ยังไงกัน เห็นหน้ามุ่ยๆแล้วก็อยากจะแกล้งเลยฟัดแก้มนุ่ม ๆ ทั้งสองข้างอย่างซ่านใจ อาการถลึงตาใส่ที่นอกจากจะไม่น่ากลัวแล้วมันกลับน่ารักจนไม่อาจจะระงับการแกล้งได้จึงเปลี่ยนเป้าหมายมาไซ้ที่ซอกคอขาว ๆ แทนบ้าง

“ไอ้หมาปริ๊นท์! ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้เลย อย่ามาลวนลามกันแบบนี้นะ เอ๊ะ! ทำไมนายถึงฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องเนี่ย ฮื่อ!” เวียงพิงค์ทั้งทุบทั้งเตะเพื่อจะสลัดตัวเองให้หลุดจากไอ้หมาบ้าที่เอาแต่แกล้งฟัดร่างกายเธออย่างบ้าคลั่ง

“ถ้าผมเป็นหมาผมก็สามารถเลียพิ้งค์ได้ทั้งตัวโดยไม่มีความผิดใช่ไหมครับ งั้นยอมเป็นหมาก็ได้ถ้าพิ้งค์อยากจะให้เป็นจริง ๆ” ผงกหน้าขึ้นมาถามแล้วยิ้มใส่ตาคนพยศ อายุมากกว่าก็จริงแต่ความไร้เดียงสาของเธอมันทำให้เขาดูมีอายุมากกว่าหลายปีนัก

“บ้า! อย่าพูดอะไรบ้า ๆ แบบนั้นนะ ใครจะไปยอมให้นายเลียกัน ทะลึ่งใหญ่แล้ว” ความร้อนตีวูบขึ้นมาเลย ถ้าส่องกระจกตอนนี้คงเห็นว่าใบหน้าตัวเองแดงจัดแล้วแน่ ๆ

“งั้นก็ตอบคำถามผมมาได้แล้วว่าวันนี้ได้ขับรถมารึเปล่า ไม่อย่างนั้นจะกลายร่างเป็นหมาแล้วจับเลียทั้งตัวจริง ๆ ด้วย” แกล้งขู่แล้วตวัดลิ้นเลียรอบริมฝีปากให้กลัวเล่น เวียงพิงค์ถึงกับตาโตแล้วก้าวถอยหลังเพื่อหนีอย่างหวั่นเกรง

“ฉันไม่ได้ขับรถมา รู้แล้วก็ปล่อยสักทีเถอะเกิดมีใครมาเห็นเข้ามันคงไม่ใช่เรื่องดีแน่” นอกจากจะหวาดระแวงไอ้คนตรงหน้าแล้ว คนที่มาเที่ยวเธอก็กลัว เพราะไม่อยากให้ใครเข้าใจผิดคิดว่ากำลังแอบทำเรื่องไม่งามกันอยู่

“ทำไมกลัวไอ้นั่นมันจะมาเห็นเราพลอดรักกันรึไง” ถามเสียงห้วนอย่างไม่พอใจเพียงแค่คิดว่าเธอแคร์ไอ้คนที่ทำให้เขาต้องแจ้นกลับมาอีกก็เลือดขึ้นหน้า

“พูดจาให้มันดี ๆ นะใครพลอดรักกับนายกันยะ แล้วนี่จะลากฉันไปไหนอีกเนี่ย ฉันไม่ไปกับนายนะนายปริ๊นท์ หูแตกหรือไง ว้ายย!” พยายามยื้อยุดไม่ไปตามแรงลากแล้วพอคนข้างหน้าหยุดเธอก็ปะทะเข้ากับอกแข็งเต็ม ๆ

“เสียงพิ้งค์เริ่มจะทำให้ผมปวดหูแล้วนะ จะเข้าไปเอากระเป๋าแล้วกลับบ้านดีๆหรือจะต้องให้ปากเปื่อยก่อนเลือกให้ไว” ปลายหัวนิ้วโป้งข้างขวาลูบเบาที่กลีบปากนุ่มแล้วจ้องเข้าไปในนัยน์ตากลมรีบหลุบต่ำก้มลงมองพื้น ศีรษะเล็กที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสีดำส่ายไปมา เธอไม่อย่างจะเสี่ยงกับอารมณ์ดิบเถื่อนขึ้น ๆ ลง ๆ ของหมอนี่หรอก เพราะคงไม่ใช่แค่ขู่เพียงอย่างเดียวแน่สู้สงบปากสงบคำก่อนเป็นดีที่สุด เข้าไปในร้านได้แล้วอะไร ๆ มันก็คงจะง่ายขึ้น ยัยหมวยก็นั่งรออยู่ในนั้น

“เดินนำไปสิ” หมอนั่นไม่ได้พูดอะไรอีกนอกจากดึงมือให้เธอได้เดินตามต้อย ๆ จะสะบัดออกก็ไม่ได้เพราะถูกบีบเอาไว้แน่นเลย แล้วอย่างนี้จะตอบคำถามของเพื่อนได้ยังไงกัน ชีวิตทำไมจะต้องโคจรมาเจอกับนายนี่ด้วย ตัวปัญหาชะมัดเลย

หมวยมองเพื่อนรักที่ถูกลากออกไปแล้วถูกจูงมือกลับมาอย่างงๆเพราะไม่เข้าใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นและยังท่าทางที่ดูเหมือนจะสนิทสนมกันของคนทั้งคู่อีก เช่นเดียวกับปกป้องที่ยังคงนั่งปักหลักอยู่ที่เดิม เวียงพิงค์ที่ถูกจ้องได้แต่ยิ้มแหย ๆ พลางบิดข้อมือออกแต่มันก็ไม่เป็นผลความคิดที่ว่ามันจะง่ายขึ้นเมื่ออยู่ต่อหน้าเพื่อนมันคงไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว เกาะติดเป็นลูกลิงเลย

“หยิบกระเป๋าสิครับพิ้งค์ นี่มันดึกแล้วนะจะอยู่ที่นี่ทั้งคืนเลยรึไง” บอกคนข้างกายนิ่ง ๆ เมื่อเธอมัวแต่มองหน้าเพื่อน

“พิ้งค์จะกลับแล้วเหรอ ยังคุยกันได้ไม่เท่าไหร่เอง นั่งต่ออีกสักหน่อยสิ นี่ก็ยังไม่ดึกเท่าไหร่เลยหรือถ้าไม่อยากขับรถกลับลำพังเดี๋ยวเราตามไปส่งก็ได้” ปกป้องชวนคุยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ทำเป็นไม่สนใจสายตาขุ่นขวางของชายหนุ่มรุ่นน้องที่ยืนจ้องหน้าเขาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกลัวเลยแม้แต่น้อย เพราะตราบใดที่เวียงพิงค์ยังโสดเขาก็มีสิทธิ์ที่จะจีบเธอเหมือนกัน

“เอายังไงพิ้งค์จะกลับหรือว่าจะอยู่คุยต่อฉันยังไงก็ได้ตามใจเธออยู่แล้ว” ปรายตามองที่มือของเพื่อนน้องชายที่ยังไม่ยอมจะปล่อยให้เพื่อนรักเป็นอิสระอย่างขัดใจ

“ฉันว่าเรากลับดีกว่าหมวยนี่ก็จะสามทุ่มเข้าไปแล้ว ป้องไปนั่งกับเพื่อน ๆ ตามสบายเถอะจ้ะพวกเขาคงรอนานแล้วล่ะ ไว้วันหลังมีโอกาสค่อยเจอกันใหม่ละกันนะ” กลับคือทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะขณะนี้เธออึดอัดจะแย่อยู่แล้ว เสียงเพลงหวานหูที่เปิดคลอก็ไม่ได้ทำให้อินไปกับมันเลยแม้แต่น้อย

“เจ๊หมวยไม่ต้องไปส่งพี่พิ้งค์หรอกไปส่งแทนดีกว่าไม่มีรถกลับบ้านเพราะวันนี้ไม่ได้ขับมาเหมือนกัน ปล่อยให้ไอ้ปริ๊นท์มันไปส่งพี่พิ้งค์เองเหอะ ดึกแล้วเนี่ยอย่ามัวแต่ชักช้า” แทนไทที่โผล่พรวดเข้ามาเอ่ยทะลุกลางปล้องแล้วยักคิ้วให้เพื่อนอย่างกวน ๆ

“เอาตามนั้นละกันครับเจ๊หมวย เรากลับกันเถอะพิ้งค์ ผมไม่อยากให้พิ้งค์นอนดึก” ปริญโน้มตัวลงคว้ากระเป๋าใบขนาดย่อมขึ้นมาถือ มันเดาได้ไม่ยากเพราะของเจ๊หมวยก็อยู่ที่เจ้าตัว ใบนี้จึงเป็นของใครไม่ได้นอกจากคนข้างๆเขา

“พิ้งค์ครับ” ปกป้องเรียกเพื่อจะรั้งตัวเพื่อนสาวเอาไว้ แต่ปริญก็ไม่รออะไรอีกแล้ว กระตุกมือบางให้ออกเดินตามหลังตนในทันที

“เดี๋ยวสิปริ๊นท์” เวียงพิงค์ค้านแล้วรั้งมือที่กำลังจะลากเธอออกไปแต่มีหรือที่จะได้ตามใจหวัง “แล้วฉันจะโทรหาเธอนะหมวย” เอี้ยวหน้าหันมาบอกเพื่อนก่อนจะตัดใจหันกลับไปมองทางแทน

“แกกับฉันมีเรื่องต้องคุยกันยาวไอ้แทน ไปกลับบ้านได้แล้ว ขอตัวก่อนนะป้อง ไว้โอกาสหน้าค่อยนัดเจอกันใหม่ถ้านายยังไม่กลับไปเรียนต่อที่อังกฤษอะนะ” หมวยคว้าแขนน้องชายพลางยิ้มให้เพื่อนหนุ่มที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมอย่างเห็นใจ

ร่างบอบบางเดินเอื่อย ๆ มาทิ้งตัวลงบนโซฟาด้วยอาการเลื่อนลอย พลางลูบไล้ริมฝีปากตัวเองแล้วสะบัดหน้าไปมาจนผมกระจาย แข้งขายกขึ้นมาดิ้นกลางอากาศ ก่อนจะลงจากรถไอ้หมาปริ๊นท์ก็ลากเธอเข้าไปจูบอีก มันบ้า ๆ มาก ๆ เลย คืนนี้เธอถูกจูบสองครั้งสองคราโดยที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันเลยแม้แต่น้อย

‘ฝันดีนะครับพิ้งค์’

“ฝันดีกับผีน่ะสิไอ้หมาบ้า ฉันคงต้องฝันร้ายไปตลอดทั้งคืนแน่ ๆ โอยย ยัยพิ้งค์เอ๊ย!” เสียงนุ่มๆที่พูดกับเธอก่อนจะแยกจากกันมันไม่ได้ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย ใจจริงอยากจะข่วนหน้าเจ้าเล่ห์ที่หูตาแพรวพราวนั่นแทบตายแต่ก็กลัวว่าจะโดนเอาคืนหนักกว่าเก่าเลยได้แต่ฮึดฮัดข่มจิตข่มใจอดกลั้นเอาไว้

เสียงบ่นพึมพำเข่นเคี่ยวเคี้ยวฟันยังคงดำเนินต่อไปไม่หยุดหย่อนกระทั่งเสียงกรีดร้องของโทรศัพท์ในกระเป๋าเรียกร้องความสนใจเวียงพิงค์ถึงได้หยุดและรับสายของเพื่อนสนิท

(แกถึงห้องยังอะพิ้งค์)

“ฉันถึงสักพักแล้วล่ะคุณเพื่อน” น้ำเสียงห่วงใยของหมวยทำเอาเวียงพิงค์อมยิ้ม

(ไอ้ปริ๊นท์กับแกมีอะไรในกอไผ่กันใช่ไหม บอกมาเลยนะอย่าได้คิดปิดบังเป็นอันขาด ขอแบบละเอียดๆด้วย เพราะถามจากไอ้แทนมันก็บอกว่าไม่รู้อย่างเดียว)

เวียงพิงค์กรอกตามองบน เพราะไม่รู้จะเริ่มเล่าจากตรงไหนก่อน เธอเองยังไม่เข้าใจการกระทำนายปริ๊นท์อะไรนั่นเลย ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากจนตั้งรับไม่ทัน

“อะไรในกอไผ่ของแกมันคืออะไรล่ะหมวย” แกล้งทำเป็นไม่เข้าใจทั้งที่เข้าใจแจ่มแจ้งแดงแจ๋เลยล่ะ

(อย่ามาแอ๊บ แต่ก็ขี้เกียจเถียงกับแกงั้นถามตรงๆก็ได้แกกับไอ้ปริ๊นท์ไปปิ๊งกันตอนไหนทำไมฉันไม่รู้มาก่อน พลาดไปตอนไหนยังไงเท่าที่จำได้แกบอกเองนิว่านายปริ๊นท์มันเคยไปซื้อดอกไม้ที่ร้านแล้วครั้งนี้ก็เคยเจอกันเป็นครั้งที่สองเองไม่ใช่เหรอ โอ๊ย! บอกตรงๆฉันงงไปหมดแล้วนะเนี่ย ถ้าไม่รู้คืนนี้นอนไม่หลับแหง ๆ)

“ฉันกับนายปริ๊นท์...” เธอเล่าเท่าที่ตัวเองจะเล่าได้

กว่าจะวางสายจากหมวยได้ก็กินเวลาไปเกือบ ๆ ชั่วโมง เพราะถูกซักไซ้ไล่เรียงไปด้วย เมื่ออยู่กับตัวเองอีกครั้งร่างบางก็ลุกขึ้นยืน คว้ากระเป๋าได้ก็เดินไปทางห้องนอน คืนนี้เธอเหนื่อยเกินกว่าจะคิดอะไรได้อีกแล้ว เพราะพรุ่งนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีกบ้างเลยต้องเก็บแรงเอาไว้สู้กับวันใหม่

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel