บทที่ 2 ไวไฟยิ่งกว่าสี่จี (2)
“ฮัลโหลล พรรคพวกอย่าลืมฉันสิ ฉันก็นั่งจุ้มปุ๊กร่วมโต๊ะอยู่ด้วยเห็นไหมเนี่ย ไม่ได้หายไปไหนนะจ๊ะ” แกล้งแซวเล่นเมื่อเห็นว่าเพื่อนหนุ่มเอาแต่นั่งทำตาหวานหยดย้อยมองหน้าเวียงพิงค์แต่เพียงผู้เดียวโดยไม่สนใจอะไรเลย
“ใครจะกล้าลืมเพื่อนที่แสนดีอย่างเธอกันเล่าแม่นางหมวยเกี๊ยะน้อยใจอะไรกันยะ” เวียงพิงค์เอนศีรษะลงบนไหล่บางแล้วเอื้อมแขนหยิบมันฝรั่งทอดกรอบใส่ปากเพื่อนอย่างเอาใจ รู้หรอกว่าเพื่อนไม่ได้จริงจังอะไรแต่ก็แค่รับมุขเท่านั้นแหละ
“ไม่ต้องมาประจบเอาใจฉันเลยเลยแม่ตัวดี อื้อค่อยๆป้อนเคี้ยวไม่ทันแล้วนะอย่ายัดสิ” หมวยแกล้งตีหน้าบึ้งแต่ก็ทำได้ไม่นานก็ต้องยิ้มออกมาจนได้
“พิ้งค์ผมมีเรื่องจะคุยด้วย” เสียงห้วน ๆ ของผู้มาใหม่เอ่ยพูดอย่างไม่ให้ใครได้ตั้งตัวทั้งนั้น มาถึงก็เดินตรงดิ่งมาตรงนี้เลยทันทีและก็ทันเห็นว่าไอ้ส่วนเกินที่นั่งอยู่ก่อนกำลังทำตาเยิ้มใส่เวียงพิงค์ของเขาอย่างออกนอกหน้า
“กลับไปแล้วไม่ใช่เหรอปริ๊นท์แล้วทำไมถึงกลับมาอีกล่ะ” หมวยถามอย่างแปลกใจที่อยู่ ๆ เพื่อนน้องชายก็มาปรากฏกายอีกครั้งพร้อมกับหน้าบึ้งๆเหมือนกับอยากจะอาละวาดใส่ใครอย่างงั้นแหละ แถมมันยังบอกว่ามีเรื่องจะคุยกับเพื่อนของเธออีก ซึ่งมันไม่น่าจะมีเรื่องอะไรให้คุยกันนะ
“ปริ๊นท์มีอะไรกับพะ...” ยังไม่ทันจะกล่าวจบประโยคแขนเรียวเล็กก็ถูกดึงเสียก่อนเลยทำให้ต้องลุกขึ้นยืนโดยอัตโนมัติแล้วทำหน้างงหนักมากเพราะไม่เข้าใจว่าเหตุใดหนุ่มหล่อรุ่นน้องคนนี้ถึงทำท่าเหมือนโกรธเธอด้วย
“ขอเวลาส่วนตัวสำหรับเราสองคนหน่อยนะครับ ขอย้ำชัด ๆอีกครั้งว่าว่าต้องการความเป็นส่วนตัว” เขาพูดแค่นั้นก็ลากคนตัวบางให้ออกไปด้วยกันท่ามกลางความงุนงงของหมวยและปกป้อง
ปริญพาเวียงพิ้งค์ออกมายืนตรงด้านข้างของคลับเพราะต้องการความเป็นส่วนตัว ต่างฝ่ายต่างจ้องหน้ากันโดยที่ยังไม่มีใครเอื้อนเอ่ยอะไรออกมา จนกระทั่งฝ่ายหญิงสาวทนไม่ไหว
“ตกลงปริ๊นท์มีเรื่องอะไรกันแน่” เธอถามอย่างใจเย็นเพราะยังงงๆกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สนิทกันก็เปล่าแต่ทำเหมือนกับรู้จักกันมานมนานซะอย่างงั้นแหละ
“ผม ผมเอ่อ ผมปวดหัว” คำตอบขัดแย้งกับความจริงอย่างน่าหัวเราะสิ้นดี แต่ช่างหัวมันสิ คิดคำแก้ตัวที่ดีกว่านี้ไม่ออกนี่หว่า จะบอกว่าไม่ชอบให้ไอ้นั่นนั่งจ้องหน้าพิ้งค์ก็กลัวจะโดนย้อนกลับว่าแล้วเกี่ยวอะไรด้วยแบบนั้นมันยิ่งจี๊ดใหญ่ เวียงพิ้งค์สะบัดข้อมือที่โดนยึดไว้ออกแล้วเปลี่ยนท่าเป็นยืนกอดอก
“ปวดหัวแล้วทำไมไม่นอนกลับมาที่นี่อีกทำไมปริ๊นท์ อย่ามาโกหกพี่จะดีกว่าพ่อหนุ่ม บอกมาได้แล้วว่าปริ๊นท์ไม่พอใจอะไรพี่กันแน่ พี่ดูออกนะว่าเราไม่ได้มีเรื่องจะคุยกับพี่จริงๆหรอก เพราะไม่อย่างนั้นแล้วนายคงคุยกับพี่ตั้งแต่ตอนที่ยังไม่กลับบ้านแล้ว ขับรถกลับไปกลับมามันเสียเวลานะว่าไหม” หรี่ตาจับผิดอย่างเต็มที่แล้วที่บอกว่าปวดหัวเนี่ยถ้ามันคือเรื่องจริงมันเกี่ยวอะไรกับเธอไม่ทราบ
จับผิดเก่งเหลือเกินแม่คุณ แต่เขาก็ไม่น่าลืมเลยว่าเวียงพิงค์คนนี้ไม่ธรรมดา ถึงขนาดฉะกับแม่เลี้ยงให้เขาได้เห็นเป็นบุญตามาแล้วครั้งหนึ่ง เรื่องโกหกระดับเด็กอนุบาลแบบนี้คงไม่เชื่อง่ายๆแน่ ตกม้าตายเพราะพูดอะไรไม่คิดแท้ๆ
“อย่ามาใช้คำว่าพ่อหนุ่มกับผมนะพิ้งค์ แล้วก็ช่วยเลิกคิดว่าผมเป็นน้องชายหรือไอ้เด็กคนหนึ่งด้วย เพราะผมไม่ต้องการจะมีพี่สาวแบบพิ้งค์เข้าใจไหมครับ” เขาจงใจเปลี่ยนเรื่องกะทันหัน แต่ทุกคำพูดมันก็คือความรู้สึกจริงๆที่เกิดขึ้นภายในใจ
“ฉันก็ไม่อยากจะมีน้องชายแบบนายเหมือนกัน เด็กอะไรไม่มีเหตุผลเอาซะเลย คิดว่าตัวเองเป็นใครกันไอ้เด็กบ้า” ความอดทนชักเริ่มจะหมดลงไปทุกทีแล้ว ครั้งแรกที่เจอก็คิดว่าจะดีซะอีก และอย่างที่เขาว่ากันนั่นแหละถูกแล้วตัดสินคนเพียงแค่นั้นมันไม่ได้
“พิ้งค์นี่นอกจากพูดไม่รู้เรื่องแล้วยังจะดื้ออีกนะ” จับไหล่บางเนียนนุ่มมือเอาไว้มั่นทั้งสองข้าง พลางยิ้มที่มุมปากก่อนมันจะเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว
“จะทำอะไร” ถามอย่างระแวดระวัง สัญชาติญาณบอกกับเธอว่าสถานการณ์ตอนนี้มันไม่น่าไว้วางใจเอาซะเลย ทั้งผลักทั้งดันแต่นายกำแพงหินนี่ก็ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย
ปริญมองหน้าสวยๆที่ยับยุ่งด้วยแววตานิ่งเฉย แต่ในความนิ่งนั้นมันกลับแฝงความปรารถนาบางอย่างเอาไว้แทบไม่มิด ถ้าเวียงพิงค์สังเกตสักนิดจะเห็นว่ามันไหวระริกแค่ไหน
ใบหน้าขาวใสเกลี้ยงเกลาค่อยๆขยับและโน้มต่ำลงเรื่อย ๆจนกระทั่งริมฝีปากแตะเข้ากับกลีบปากนุ่มนิ่มที่คอยพร่ำพูดว่าเขาเป็นเด็กอย่างต้องการจะลงโทษให้หลาบจำ ส่วนคนที่ถูกเด็กจูบนั้นไม่ต้องพูดถึงตอนนี้ตกตะลึงจนตาค้างร่างกายแข็งทื่อไปเรียบร้อยแล้ว
“อื้อ!!” เมื่อได้สติสองมือก็ระดมทุบหลังกว้างของคนที่กระทำการอุกอาจกับตัวเองอย่างบ้าคลั่ง จะผละหน้าออกก็โดนกดท้ายทอยเอาไว้จนแน่นเอวก็ถูกล็อกจนแทบจะขยับตัวไม่ได้ นี่มันจูบแรกในชีวิตของเธอเลยนะไอ้เด็กบ้านี่มันกล้ามาก
“ปากพิ้งค์นุ่มมาก มีกลิ่นพั้นซ์จาง ๆ ด้วย” กระซิบบอกเสียงสั่นพร่าแล้วกดจูบลงหนักๆอย่างมันเขี้ยว แค่นี้มันยังไม่พอกับความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในตอนนี้หรอก ยังไงก็ต้องได้มากกว่าแตะปากกันเฉยๆ และจังหวะที่เวียงพิงค์จะอ้าปากโต้กลับเขาก็รีบฉกฉวยโอกาสแทรกลิ้นเข้าไปสำรวจความหวานในโพรงปากเล็กทันที
จูบที่ในชีวิตลูกผู้หญิงวัยยี่สิบสามปีอย่างเวียงพิงค์ไม่เคยประสบพบเจอมาก่อนตั้งแต่เกิดมา มันทำให้เธอเข่าแทบทรุดได้ง่าย ๆ ลมหายใจเหมือนถูกกระชากออกไปอย่างรุนแรง ร่างกายอ่อนเปลี้ยจนไม่อาจจะยืนด้วยสองขาของตัวเองได้หากไม่มือใหญ่คอยช่วยประคองตรงบั้นเอวเอาไว้มีหวังร่วงลงไปกองที่พื้นเป็นแน่ ลิ้นร้ายที่เชี่ยวชาญกวาดต้อนลิ้นเล็ก ๆ ของเธอไปทั่วจนไม่รู้จะหลบไปทางไหนถูก เลยลองทำใจกล้าแตะๆกับลิ้นที่มันเกี่ยวพันในปากดู เรียกเสียงคำรามจากลำคอหนาราวกับเจ็บปวดจนเธอต้องนิ่วหน้า
