ตอนที่10 ร่วมทุกข์2
สายลมยังคงเข้าปะทะใบหน้า
เสียงลมยังคงดังอื้ออึงอยู่ตลอดเวลา
ในขณะที่ทั้งม้าและพวกเขากำลังลอยตัวพ้นขอบเขตของผืนแผ่นดิน
อึดใจพวกเขาจึงรับรู้ได้แล้วว่า ใต้ร่างของพวกเขานั้น...
เป็นหน้าผา!
และเพียงพริบตา เสียงน้ำแตกกระจายดังพลันตามมา
ตู้ม!
ทั้งม้าทั้งคนจึงกระจัดกระจายกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศละทางแล้วไหลตามกระแสน้ำที่เชี่ยวกรากอยู่ครู่หนึ่ง
จ้าวจิ่นหลงที่มีสติดีเยี่ยมจึงดำน้ำตามหาเฉินเจียวเหมยในทันทีที่ประคองร่างกายของตนเองเอาไว้ได้
เขาเห็นร่างบางของเฉินเจียวเหมยกำลังจมอยู่ใต้น้ำอยู่อึดใจก่อนที่นางจะได้สติแล้วรีบตะเกียกตะกายขึ้นมาทางเขาที่กำลังดำน้ำเข้าไปหานาง
ชายหนุ่มเห็นอย่างนั้นจึงรีบดำน้ำแล้วว่ายน้ำให้เร็วยิ่งกว่า เขารีบเข้าไปช้อนร่างของหญิงสาวเอาไว้เพื่อหมายจะพากันขึ้นไปยังผิวน้ำพร้อมๆ กัน
จ้าวจิ่นหลงและเฉินเจียวเหมยรีบโผเข้าหากันอย่างไม่รู้ตัว
เมื่อชายหนุ่มหญิงสาวโผเข้าหากันได้แล้วจึงไม่รอช้ารีบพากันขึ้นมาเหนือผิวน้ำในทันที
จ้าวจิ่นหลงรีบกอดกระชับรอบเอวของเฉินเจียวเหมยเอาไว้แน่นในขณะที่เฉินเจียวเหมยก็รัดต้นคอของจ้าวจิ่นหลงเอาไว้แน่นเช่นเดียวกัน
“แค่ก แค่ก”
เฉินเจียวเหมยสำลักน้ำจนตัวโยนในขณะที่จ้าวจิ่นหลงรีบเอื้อมมือขึ้นปัดปอยผมออกจากวงหน้าของนางพัลวัน เขารีบกอดประคองนางให้ลอยคออยู่ในน้ำทั้งอย่างนั้น พลางเมียงมองหาฝั่งที่ใกล้ที่สุดอย่างเร็วเมื่อเห็นว่านางสำลักน้ำจนหน้าแดง จมูกและริมฝีปากแดงไปหมดอย่างน่าสงสารจับใจ
“ม้าเล่า” เฉินเจียวเหมยถามหาม้าในทันทีที่หายดีจากอาการสำลักน้ำ
“มันว่ายน้ำไปทางนั้น” จ้าวจิ่นหลงตอบคำพลางโอบกระชับเฉินเจียวเหมยให้แนบแน่นมากยิ่งขึ้นเพื่อจะพานางขึ้นฝั่งทางด้านหนึ่งที่ประเมินดูแล้วใกล้กับพวกเขามากที่สุดในยามนี้
“มันไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่” เฉินเจียวเหมยยังคงเอ่ยถึงม้าอย่างนึกห่วงใย
“เจ้าห่วงตัวเองก่อนดีหรือไม่” จ้าวจิ่นหลงบ่นออกมา
เฉินเจียวเหมยถึงกับหรี่ตามองใครบางคนที่นางกอดต้นคอของเขาอยู่พลันนึกขัดใจขึ้นมาก่อนเอ่ยเสียงแหลม “ม้าตัวนั้นมันช่วยท่านเอาไว้นะ”
จ้าวจิ่นหลงถึงกับชะงักไปอึดใจก่อนหันหน้ามามองสตรีในอ้อมแขนด้วยสายตาบางอย่าง
แต่ทว่า...เขาเพียงเอ่ยเสียงต่ำออกมาด้วยอารมณ์ขัดเคืองไม่ต่างกัน “แล้วมันต้องตกหน้าผาลงมาในน้ำเพราะใคร”
“...”
เฉินเจียวเหมยถึงกับนิ่งอึ้งไป เพียงอึดใจจึงส่งยิ้มแห้งๆใส่หน้าจ้าวจิ่นหลงเสียอย่างนั้น นางเมามันในการขี่ม้ามากไปหน่อย
“ไม่ต้องมายิ้มกลบเกลื่อน” จ้าวจิ่นหลงเริ่มเข่นเขี้ยวสตรีนางนี้อีกแล้ว
เฉินเจียวเหมยจึงเม้มริมฝีปากเอาไว้แน่น นางเถียงบุรุษน่าตายผู้นี้ไม่ได้จริงๆ
จ้าวจิ่นหลงใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งจึงโอบกอดร่างบางของเฉินเจียวเหมยพาขึ้นมาบนฝั่งจนสำเร็จ ก่อนจะจับร่างของนางพลิกซ้ายพลิกขวาไปมาเพื่อมองหาบาดแผลที่อาจจะเกิดกับเรือนร่างของนาง
เฉินเจียวเหมยถูกจ้าวจิ่นหลงจับพลิกซ้ายพลิกขวาไปมาอย่างนั้นแต่ก็มิได้ปัดป้องแต่อย่างใด นางเพียงยืนอยู่นิ่งๆ คล้ายกับชะงักงันไปเพียงนิดก่อนจะเอ่ยเสียงเครียด “เวียนหัวแล้ว”
“ข้าต้องการดูให้แน่ใจว่าเจ้าไม่เป็นอันใด”
“ห่วงตัวเองเถอะ”
“...”
“ข้ามิได้เป็นอันใด” เฉินเจียวเหมยเอ่ยออกมาอย่างนั้น นางมิได้นำพาใดๆ กับอาการร้อนใจของใครบางคนตรงหน้าของนางในยามนี้ หากนางเป็นสตรีอ่อนแอคงอยู่ไม่ได้จนถึงตอนนี้
“อวดเก่ง” จ้าวจิ่นหลงดุใส่ใบหน้างามอย่างขัดเคืองเหลือประมาณ นางบ้าบิ่นอย่างนี้แล้วเขาจะห่างจากนางได้อย่างไร
น่าชังนัก!
เฉินเจียวเหมยเพียงหรี่ตามองจ้าวจิ่นหลงนิ่งๆ อย่างขัดใจไม่ต่างกัน ก่อนเอ่ยอย่างไม่ยินยอม “แน่นอนข้าเก่ง” แถมด้วยยกมือขึ้นเท้าสะเอวเชิดหน้าน้อยๆ อย่างถือดี
“เจ้า!”
“ทำไม!”
“เจ้าไม่ควรทำตัวเยี่ยงนี้ เจ้าเป็นสตรี”
“ข้าจะทำ”
“เจ้า”
“ทำไม”
“ดื้อด้าน”
“ท่าน!”
“ฮึ!”
“หึ!”
และแล้วทั้งสองก็สะบัดหน้าใส่กันอีกครั้ง ทั้งๆ ที่ยืนห่างกันเพียงคืบ
“อ๊ะ! นั่น!” จู่ๆ เฉินเจียวเหมยก็ร้องอุทานขึ้นมาพลางชี้นิ้วไปยังทิศทางหนึ่ง
“อันใด” จ้าวจิ่นหลงหันมามองกิริยานั้นของเฉินเจียวเหมยพลางถามขึ้นอย่างเสียมิได้
เฉินเจียวเหมยรีบจับจูงมือของจ้าวจิ่นหลงให้เดินไปกับนางอย่างไม่รู้ตัว
จ้าวจิ่นหลงเพียงเดินตามการจับจูงมือนั่นไปอย่างไม่รู้ตัวเช่นเดียวกัน
นี่เขาเดินตามสตรีน่าตายผู้นี้ได้อย่างไร เสียเกียรติยิ่ง! ทั้งๆ ที่ใจของจ้าวจิ่นหลงคิดอย่างนั้นแต่เท้ากลับก้าวเดินเคียงข้างกับเฉินเจียวเหมยอย่างมั่นคง
ทั้งสองพากันเดินมาจนถึงเนินดินแห่งหนึ่งที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงริมแม่น้ำไม่ไกลจากที่พวกเขายืนเถียงกันเมื่อครู่ เนินดินตรงนั้นสูงชันขึ้นไปจากบุคคลทั้งสองประมาณสองช่วงลำตัว บนยอดของเนินดินนั้นมีต้นหญ้าหน้าตาแปลกๆ อยู่ประปรายปะปนกันอย่างหลากหลาย
“สมุนไพร” เฉินเจียวเหมยเอ่ยขึ้นเพื่อบอกกล่าวแก่ชายหนุ่มผู้ซึ่งกำลังทำหน้างุนงงกับนางเหลือประมาณ
“ท่านปีนขึ้นไปเก็บมาให้ข้าที” นางเอ่ยสั่งการบุรุษข้างกายหน้าตาเฉย
“ต้นไหนกัน ถ้าดึงมาหมดนั่น คงตายกันไปข้าง” เขาบ่นอุบ มันมีต้นหญ้าจนเต็มพื้นที่ตรงนั้น นางจะบ้าหรือไร
“ถ้าเช่นนั้น” เฉินเจียวเหมยหรี่ตาลงแล้วปรายตามองจ้าวจิ่นหลงอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนเอ่ยเสียงนุ่ม “ให้ข้าขี่ท่าน ได้หรือไม่”
“หืม” จ้าวจิ่นหลงถึงกับหรี่ตามองเฉินเจียวเหมย
ขี่กันเลยหรือ ได้อย่างไร
“นะ ขี่คอ แค่นั้น” นางส่งเสียงออดอ้อนอย่างต้องการหลอกใช้
จ้าวจิ่นหลงรู้ดีถึงน้ำเสียงอย่างนั้น จึงเอ่ย “ไม่ต้องเลย”
เฉินเจียวเหมยจึงเริ่มขมวดคิ้วอย่างขัดใจ และเริ่มอธิบาย
“สมุนไพรนั่น มันเป็นสมุนไพรช่วยให้เราสองคนได้อบอุ่นนะ น้ำเย็นปานนี้ เนื้อตัวเปียกชื้นอย่างนี้ ไอเย็นจะแทรกเข้าได้ เข้าใจหรือไม่ ท่านนี่ ดื้อด้าน!” ปิดท้ายด้วยการดุใส่หน้าอย่างสวยงาม
