บทที่เก้า ตำหนักเฉงกุน
ท่านคือบุรุษที่อยู่เหนือผู้คนทั่วล้า
ส่วนตัวข้าคือสตรีที่อยู่เหนือหัวใจของท่าน
.....
ในตอนนั้นเองที่เกาหยวนยื่นมือมาหมายจะปลดเปลื้องผ้าคลุมหน้าของนางออก.... หากเเต่นางก็ลุกขึ้นออกไปจากออ้อมอกของเขาเสียก่อน
เขามองจ้องไปที่ดวงตาของนางเขารับรุ้ได้ถึงความรู้สึกที่นางส่งผ่านมาทางสายตาของนาง ..... เจ็บปวดเหลือเกิน
นางย้ายไปนั่งที่เก้าอี้ข้างๆ นางเปลี่ยนเพลงที่เป่านั้นเป็นเพลงที่ช้าลงสำเนียงนั้นเสียงเพลงนั้นฟังดูเศร้าไม่น้อยเลยทีเดียว
"เจ้าเป่าขลุ่ยได้เก่งมาก ระบำของเจ้าก็ยอดเยี่ยม" เกาหยวนเอ่ย
"ขอบพระทัยเพคะ" ลั้วเจินละขลุ่ยออกจากริมฝีปาก
"วันนี้ดึกมากเเล้ว.... ให้เจ้าพักผ่อน" เกาหยวนเอ่ยอย่างอ่อนโยนก่อนที่จะลุกเดินจากไป
......
เกาหยวนหยุดยืนอยู่ที่หน้าตำหนัก ภายในใจเขาในเวลานี้ที่คิดก็เพียงว่านางนั้นเเสร้งให้เขาสนใจในตัวนาง มิยอมลงให้กับเขาง่ายๆ .... ดูเอาเถิดเพียงจะเห็นหน้ายังยากเย็นปานนี้ เเต่ดวงตาคู่นั้น? เกาหยวนส่ายศีรษะอย่างไม่เข้าใจก่อนที่จะส้าวเท้าเดินจากไป
ในตอนนั้นลั้วเจินนางที่นั่งอยู่บนเก้าอี้นั้น.... นางนั่งอยู่อย่างนั้นหลังจากที่เกาหยวนจากไปนางก็มิได้ลุกจากไปที่ใด ภายในใจนางยังคิดมิตก
เเต่จู่ๆ ก็มีเสียงขลุ่ยที่คุ้นเคยได้ดังขึ้น..... ลั้วเจินเมื่อนางได้ยินเสียงนั้นก็วิ่งออกไปที่หน้าตำหนักโดยทันที
"อี้เทียนเกอเกอ....." ผู้ที่สอนนางเป่าขลุ่ยนี้มิใช่ใครหากเเต่เป้นอี้เทียนผู้นี้ เสียงขลุ่ยด้วยเป็นเพลงที่เขาเเต่งขึ้นเพื่อเป้นเพลงของนางกับเขา เพลงที่สื่อถึงความรู้สึกดีๆ ความทรงจำดีๆ ที่นางเคยมีร่วมกันกับเขา วันที่นางยังขี่ม้าท่องอยู่ในทุ่งหญ้า
"ท่านเป่าขลุ่ยเพลงนี้..... เพื่อตอกย้ำว่าข้า มันตอกย้ำกับข้า..... ว่าชาตินี้ ตัวข้าไม่มีทางที่จะมีวันเวลาเช่นนั้นอีกเเล้ว ไม่มีอีกเเล้ว " ลั้วเจินในเวลานั้น จู่ๆ น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตาของนาง นางหลุบตาลง ก่อนที่จะที่สูดลมหายใจจนลึก
"ข้า..... ตัวข้าไม่มีหนทางให้เดินกลับเเล้วมีเเต่เดินหน้าต่อเท่านั้น"
ลั้วเจินนางเดินกลับเข้าไปในตำหนัก ก่อนที่จะปิดประตูลง..... การปิดประตูในครั้งนี้ต่างกับครั้งไหนๆ ในชีวิตของนางนับเเต่นี้ ฐานะของนางคือสตรีในวังหลังของเกาหยวน... เป็นองค์หญิงเเต่งเชื่อมสัมพันธ์ของสองชาติพันธ์ เป็นสตรีที่มิอาจมีหัวใจรักเเก่ผู้ใด เป็นสตรีที่อยู่เพื่อทำร้ายผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามี เป็นสตรีที่มีชะตาชีวิตเป้นดั่งเพลิงที่เผาพลาญทุกสิ่งรอบกายให้มอดไหม้เป็นธุลี
เช้าวันต่อมา....
ราชโองการจากเกาหยวนก็ได้มาถึง
"องค์หญิงถั้วปาลั้วเจินพร้อมพรั่งด้วยคุณสมบัติของสตรีที่ดีพร้อมทั้งปวง.... องค์จักรพรรดิทรงพอพระทัยเเต่งตั้งให้เป็นสนมชั้นกลาง เจี่ยยวี่ พระราชทานขันทีรับใช้หกคน นางกำนัลรับใช้ สี่คน พระราชทานตำหนัก เฉิงกุน (ซื่อสัตย์-ราชา,จริงใจ-กษัตย์) จบราชโองการ
สิ้นคำลั้วเจินนางคำนับรับราชโองการ
"ขอบพระทัยฝ่าบาท ทรงพระเจริญหมื่นปี.... หมื่นปี"
ในเวลานั้น... ลั้วเจินเพียงยิ้มอย่างไม่บ่งบอกความ รู้สึกใด.... 'เฉิงกุน ภักดิ์ดีต่อราชา' ยามเดินเข้าตำหนักหรือหมายในนางสำนึกไว้.... ว่านางต้องภักดิ์ดีจริงใจต่อเขา ตำหนักเฉิงกุนนี้.... ชื่อนี้ไม่ใช่ว่าไร้ซึ่งความหมาย
"พระสนม.... ตำหนักเฉิงกุนนี้เป็นตำหนักที่สร้างขึ้นใหม่ ทางด้านปีกตะวันออกของวังหลวง ใกล้ที่ประทับของฝ่าบาทมาก" ขันทีผู้นำราชโองการมาผู้นั้นกล่าวกับนางท่าทีของเขาก็ดูประจบประเเจงไม่น้อย
หลายวันต่อมา
ตำหนักเฉิงกุน
ลั้วเจินนางยังคงสวมอาภรณ์ดั่งชาวทุ่งหญ้า.... ใบหน้านางยังคงมีผ้าคลุมอยู่อย่างเดิม นางสวมอาภรณ์สีม่วงเข้ม
ในเวลานั้นนางเดินเข้าสู่ตำหนักเฉิงกุน.... ปลายนิ้วนางไล่สัมผัสไปตั้งเเต่เครื่องเรือนที่อยู่ด้านหน้าตำหนัก นางพินิจอย่างตั้งใจ
"ล้วนเป็นของล้ำค่า.... " เกาหยวนผู้นี้เอาอกเอาใจนางไม่น้อย.... หลายวันมานี้เขามาหานางทุกวัน ไม่เว้น เเม้นจะไม่ได้เห็นใบหน้าของนาง เขาก็มิรบเร้า.... เเน่หละ ใบหน้านางสำคัญไฉน เพียงนางคือสตรีที่มาเชื่อมสัมพันธ์เท่านั้น หาได้จะมีใจรักผูกพันธ์กันเสียเมื่อไหร่ หน้าที่ของนางคือให้กับเนิดโอรสสองสายเลือด ที่เขาดีต่อนางก็เพื่อให้นางมีใจภักดิ์ดีต่อเขาดั่งชื่อตำหนักนี้เเหละหนา.....
"พระนางเพคะทรงเลือกอาภรณ์ที่จะสวมใส่ในงานเลี้ยงคณะทูติวันนี้ด้วยเพคะ" นางกำนัลนางหนึ่งเอ่ยกับนาง
"อ้อ..... เรื่องนั้น เราเตรียมของเรามาอยู่เเล้วลำบากพวกเจ้าเเล้ว" ลั้วเจินนางยิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับนางกำนัลเล่านั้น ดูก็รู้ล้วนเป็นคนที่เกาหยวนส่งมาจับตามองนางโดยทั้งสิ้นไม่มีคนของนางเเม้นสักคน.... ไม่สิ เว้นเสียเเต่คนนึง ขันทีผู้นั้น นาม เค่อหาน เขาเป็นคนของนาง ที่อี้เทียนส่งมาเเทรกซึมในวังหลวงนี่ ทำให้ชีวิตของนางดูไม่โดดเดี่ยวเกินไปนัก
"พระนาง.... วันนี้ขอให้ท่านระวังตัวให้ดี พวกที่หมายจะขัดขว้างการเเต่งเชื่อมสัมธ์สองเเคว้นหรือก็มากอย่างพวกซงหนู ก็ไม่พอใจเช่นกัน หรือเเม้นเเต่พวกที่ต่อต้านจักรรดิเว่ยนี้ก็มีไม่น้อย " เค่อหานเอ่ยกับนางอย่างเเผ่วเบา ลั้วเจินนางพยักหน้า.... หากมีเรื่องเช่นนั้นใช่ว่าจะเป็นเรื่องร้ายเสียทั้งหมด.... บางทีนางอาจจะอาศัยเรื่องราวเหล่านี้เพื่อถางหญ้าที่รกหนทางของนางให้เปิดออกก็เป็นได้
โปรดติดตามตอนต่อไป
