ตอนที่ ๖
ตอนที่ ๖
‘โซ่ ฉันเห็นแฟนแกพาสาวที่ไหนก็ไม่รู้ไปเที่ยวผับ มีโอบมีกอดกันด้วยนะ ตอนแรกฉันก็นึกว่าเป็นแก แล้วก็งงมากด้วยที่แกยอมให้ไอ้เต้กอด แต่พอฉันจ้องดีๆ กลับไม่ใช่แกซะงั้น ฉันว่าแกลองสังเกตแฟนดูบ้างนะ ว่าเขานอกใจหรือเปล่า’
‘แล้วจะให้สังเกตยังไงล่ะ เต้ก็ทำตัวปกติ’ ไอ้ที่ปกติก็คือว่างก็เจอกัน แต่ปีแรกๆ ที่คบหากันเตชินท์มาหาเธอทุกวัน แต่พอขึ้นปีสอง เตชินท์ก็บอกว่ามาหาบ่อยไม่ได้นะ เพราะเรียนหนัก แล้วไหนจะต้องหาเงินเรียนอีกด้วย ซึ่งเธอก็เข้าใจดี
‘ก็สังเกตว่าห้ามเราจับโทรศัพท์ไหม แล้วเวลาโทรศัพท์มาต้องออกไปคุยไกลๆ หรือเปล่า แล้วก็พาลหงุดหงิดใส่เราบ่อยหรือเปล่า เพราะถ้ามีอาการแบบนี้ ฉันฟังธงว่าไอ้เต้กำลังจะมีคนอื่น’
คำพูดของเพื่อนรักที่ตอนนี้ย้ายไปอยู่กับสามีที่ต่างประเทศหลายปีดังเตือน แล้วนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เพื่อนของเธอเห็น แต่เธอคิดว่าเป็นเพื่อนของแฟนหนุ่มตลอด เพราะเธอและเตชินท์ เรียนกันละคณะครั้ง และคณะของแฟนหนุ่มก็มีผู้หญิงเยอะกว่าผู้ชาย เธอจึงไว้ใจและเชื่อใจมาตลอดว่าไม่มีอะไร และแฟนหนุ่มยังซื่อสัตย์กับเธอ ทว่าเวลานี้เธอเริ่มไม่แน่ใจแล้ว
‘เต้จะไม่ทรยศความรักของเราใช่ไหม’
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
เสียงเคาะประตูทำให้ชลินทราสะดุ้งตกใจแล้วก็รีบสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ส่องกระจกดูสภาพหน้าตา พยายามทำสีหน้าให้สดชื่นแล้วไปเปิดประตู
“ยัยโซ่ เปิดประตูหน่อย”
“ป้า มีอะไรเหรอจ๊ะ”
“แกเป็นอะไรยัยโซ่ ตาแดงๆ” จุรียื่นหน้าเข้ามาจ้องหน้าหลานสาว
“โซ่แค่แสบตาน่ะป้า ว่าแต่ป้ามีอะไรหรือเปล่า”
“แกไปอยู่หน้าร้านสักชั่วโมงไป ป้าว่าจะออกไปทำธุระซะหน่อย เอ่อ! ว่าแต่พรุ่งนี้แกจะไปกรุงเทพฯ กี่โมง แล้วนัดตาเต้ไว้แล้วหรือยัง”
“ไม่ได้ไปแล้วป้า พอดีเต้เอาเงินไปผ่อนคอนโดหมดแล้ว”
“อ้าว! ไหนแกบอกจะพากันไปดูปีหน้าไง อะไรของมันว่ะ!”
“เต้สิป้า จัดการเองหมดเลย นี่โซ่ก็ต่อว่าเต้ไปแล้วว่าทำไมไม่มาปรึกษากันก่อน”
“แล้วแกแน่ใจนะว่าไอ้เต้เอาเงินไปซื้อคอนโดจริงๆ ไม่ใช่เอาไปปรนเปรอผู้หญิงจนหมดตัวแล้ว” จุรีเริ่มไม่ไว้ใจว่าที่หลานเขย เพราะฝ่ายนั้นพอได้งานที่กรุงเทพฯ ก็ไม่ได้แวะมาเยี่ยมเยียนกันเลย
“คง...ไม่หรอกป้า” ชลินทราตอบแบบไม่แน่ใจ เพราะก่อนหน้าเธอก็ได้ยินชัดเต็มสองหูว่ามีผู้หญิงบอกคิดถึงแฟนของเธอ
“แกไม่ควรวางใจยัยโซ่ ยิ่งอยู่ห่างกันแบบนี้ เกิดไอ้เต้มันมีคนอื่นแล้วฮุบเงินแกไปหมด แกจะทำยังไง เอาไว้ว่างๆ แกกับฉันไปกรุงเทพฯ ด้วยกัน จะได้รู้ว่าแฟนแกมันซื้อคอนโดจริงหรือเปล่า ไปล่ะ!”
“จ้ะป้า” ชลินทราเดินตามหลังผู้เป็นป้าออกมาเฝ้าหน้าร้าน ที่เธอก็อดสงสัยไม่ได้ว่าป้าจะออกไปไหน แล้วที่ถือนั่นคือซองอะไร
‘หวังว่าป้าคงไม่ได้เอาบ้านไปจำนองกับเสี่ยหรอกนะ’
“ไอ้โซ่! เอาข้าวกะเพราไก่ไข่ดาวหกกล่อง เดี๋ยวป้ามาเอง” เสียงลูกค้าร้องบอกอยู่ทางถนนอีกฝั่ง ปลุกให้คนที่กำลังคิดเรื่องผู้เป็นป้าสะดุ้งก่อนจะร้องตอบไปว่าได้ๆ แล้วก็รีบลงมือทำ และหลังจากทำข้าวกล่องหกกล่องเสร็จ เธอก็แทบไม่ว่างอีกเลยเมื่อมีพนักงานบริษัทมาสั่งข้าวสามสิบกล่อง ทำให้เธอทำเป็นมือระวิงกว่าจะเสร็จก็เกือบหกโมงเย็น เธอจึงรีบทำอาหารไปส่งใครบางคนที่บ้านเช่า
เมื่อจัดการนำเอาอาหารใส่ปิ่นโตแล้วเธอก็หันมาบอกให้แก๊ปและเกรซ สองพี่น้องที่มาช่วยงานในช่วงปิดเทอมเก็บร้านให้หน่อย ก่อนที่เธอจะวางเงินไว้ให้คนล่ะสองร้อยห้าสิบบาท แล้วก็รีบบึ่งรถคู่ใจไปยังบ้านเช่า
‘ทำไมมันดูเงียบๆ นะ หรือว่าไม่มีใครอยู่’ เดินเข้ามาในบ้านแล้วก็พึมพำเบาๆ แล้วก็มองหาคนในบ้าน แต่ก็ไม่เจอใคร เธอจึงเดินไปที่ห้องครัวจัดแจงวางอาหารไว้แล้วหาที่ครอบมาครอบไว้ ก่อนจะเดินออกมาเพื่อกลับบ้าน แต่ขณะกำลังสตาร์ทรถโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงก็ดังขึ้นเสียก่อน
“เดี๋ยวฉันรีบไปค่ะ” ชลินทรากดวางสายแล้วรีบบึ่งรถไปโรงพยาบาลด้วยความเป็นห่วงผู้เป็นป้า
ที่โรงพยาบาล ชลินทราได้แต่ผุดลุกผุดนั่งด้วยใจกระวนกระวายหลังจากมาถึงโรงพยาบาลแล้วก็ได้ทราบว่าตอนนี้หมอกำลังช่วยชีวิตป้าของเธออยู่ หลังจากป้าโดนรถกระบะขับชนอย่างแรง อาการสาหัส เธอรอแล้วรอเล่าก็ไม่มีหมอหรือพยาบาลออกมาจากห้องเลยสักคน เธอจึงเดินออกมาสูดอากาศข้างนอกสักครู่แล้วจะกลับเข้าไป เพราะยิ่งอยู่ตรงนั้นเธอก็ยิ่งรู้สึกจะหายใจไม่ออก
‘ป้า ป้าอย่าทิ้งโซ่ไปอีกคนนะ โซ่ไม่เหลือใครแล้ว’ชลินทราได้แต่ภาวนาขอให้ป้าปลอดภัยทั้งน้ำตา
“โซ่” เจ้าของเสียงยื่นมือไปแตะแขนเล็กเบาๆ เพราะดูท่าอีกฝ่ายจะกำลังเหม่อลอย
“อ้าวพี่โป้ง สวัสดีค่ะ ว่าแต่พี่มาทำอะไรเหรอคะ” ชลินทราเช็ดน้ำตาแล้วก็เงยหน้ามองเจ้าของมือที่วางบนบ่าของตน พอเห็นว่าเป็นพี่ที่ทำงานเก่าก็รีบลุกขึ้นยกมือไหว้
“พี่พาเมียมาหาหมอ แล้วโซ่มายื่นทำอะไรตรงนี้ล่ะ แล้วนั่นร้องไห้ด้วยเหรอเรา”
“เอ่อ...โซ่เดินออกมาสูดอากาศค่ะพี่โป้ง”
“สูดอากาศแถวโรงพยาบาลเนี่ยนะ แปลกคนนะเราเนี่ย แล้วนี่เรากับเต้จะแต่งงานกันเมื่อไหร่ล่ะ แล้วถ้าได้ฤกษ์แต่งกันก็อย่าลืมส่งการ์ดเชิญพี่ด้วยนะ พี่จะรอไปร่วมงาน”
“คงอีกนานเลยค่ะพี่โป้ง แต่เดี๋ยวโซ่ขอตัวก่อนนะคะ” เพราะเห็นว่าตอนนี้ภรรยาของอีกฝ่ายเดินมาแล้ว ซึ่งก็เป็นคนทำงานในแผนกเดียวกับเธอและเคยกล่าวหาว่าเธอจะแย่ง พี่โป้งมาด้วย ทั้งที่เธอกับพี่โป้งเป็นแค่พี่น้องกัน เพราะแม่ของพี่โป้งและป้าจุรีสนิทกัน แต่แม่ของพี่โป้งก็เสียไปเกือบปีกว่าแล้ว เธอกับพี่โป้งก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย แต่วันนี้บังเอิญเจอ แถมยังมาเจอภรรยาของพี่เขา ที่มองเธอราวกับจะฉีกเนื้อเธอออกเป็นชิ้นๆ
“พี่โป้ง! กลับกันเถอะ” สีหน้าบ่งบอกชัดเจนว่าไม่พอใจที่สามีมาคุยกับผู้หญิงอื่น
“เลิกหึงพี่กับโซ่ได้แล้ว พี่บอกไปกี่ครั้งแล้วว่าพี่กับโซ่เป็นแค่พี่น้องกัน” โป้งพยายามอธิบาย แต่รู้ดีว่าภรรยาไม่ฟังเขาเลยชวนเธอกลับบ้านก่อนที่ภรรยาจะแย้งอะไรออกมา ส่วนเขาก็ครุ่นคิดว่ารุ่นน้องคนนั้นมาทำอะไรที่นี่โรงพยาบาล หรือป้าจุรีจะไม่สบาย
“พี่โป้ง! ไหนว่าไม่คิดอะไรกับแม่นั่น แล้วเหลียวมองมันทำไม”
“กุ๊ก อย่ามาชวนพี่ทะเลาะ แล้วที่พี่มองพี่ก็แค่สงสัยว่าป้าจุรีอาจจะไม่สบาย”
“แล้วจะไปห่วงทำไม ไม่ใช่ป้าของพี่ซะหน่อย แต่ถ้าจะห่วง ก็ไปห่วงป้าของกุ๊กสิ”
“หยุดไปเลย ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว” โป้งกระชากรถออกทันทีแต่ใจก็ยังอดสงสัยไม่ได้เรื่องชลินทรา และเขาคงต้องหาเวลาไปเยี่ยมป้าจุรีและชลินทราที่บ้านบ้างแล้ว
ด้านชลินทราเมื่อเดินมาถึงก็เห็นพยาบาลวิ่งกันวุ่นไปหมด เธอก็ได้แต่มองคนนั่นทีคนนี่ที เพราะจะเข้าไปถามใครก็กลัวจะไปขัดขวางการทำงานของเขา กระทั่งหมอเดินออกมาแล้วเดินตรงมาที่เธอ
“คุณเป็นหลานสาวของคนเจ็บใช่ไหมครับ”
“ชะ...ใช่ค่ะ” ชลินทราใจสั่นไปหมด ไม่อยากได้ยินอะไรจากหมอต่อจากนี้เลย เพราะเธอสังเกตจากสีหน้าของหมอแล้ว เธอก็พอเดาได้
“ขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ”
“มะ...ไม่ ไม่จริงใช่ไหมหมอ ป้าของโซ่ยังอยู่ ยังอยู่” น้ำตาของชลินทราไหลเป็นทางเมื่อหมอยืนยันว่าป้าของเธอเสียชีวิตลงแล้ว เธอหันหลังให้กับหมอแล้วร้องไห้แบบไม่อายใคร ก่อนที่พยาบาลจะเข้ามาปลอบและพาไปสงบสติอารมณ์นานนับชั่วโมง เธอจึงได้เดินไปดูป้าครั้งสุดท้าย แล้วเดินทางกลับบ้านราวกับคนไร้วิญญาณ หลังจากพยาบาลสาวคนหนึ่งอาสามาส่ง
