ตอนที่่ 1 กองไฟในทรวง
1
กองไฟในทรวง
“น้องดา ไหว้พี่ภูสิลูก” กำนันมิตร โพธิ์วิจิตรบอกบุตรสาวในวัย 6 ขวบ ที่กำลังน่ารักน่าชังในสายตาของผู้ใหญ่ เด็กหญิงมธุรดามองเด็กหนุ่มตัวสูงตรงหน้าอย่าสงสัย ก่อนพนมมือขึ้นไหว้อย่างอ่อนช้อยงดงาม ทำให้เด็กชายภูผา ชัยเชษฐ์ในวัย 10 ขวบ ต้องยกมือขึ้นรับไหว้ และส่งยิ้มอ่อนโยนให้น้องตัวน้อย
“ภู...นี่น้องดา คนที่ภูจะต้องดูแลไปตลอดชีวิต เมื่อภูมีอายุครบ 28 ปีนะลูก” นายหัวภูศิษฐ์บอกลูกชาย
“ดูแลตลอดชีวิต หมายความว่ายังไงครับพ่อ” เด็กชายภูผาไม่เข้าใจในคำพูดของบิดาเท่าไรนัก จึงถามอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจ
“ภูไม่ต้องไปหาเจ้าสาวที่ไหนแล้วไงลูก พอภูอายุครบ 28 ปี ภูจะมีเจ้าสาวที่ชื่อมธุรดาหรือน้องดาคนนี้” นายหัวภูศิษฐ์อธิบาย
ในเวลานั้นเด็กชายและเด็กหญิงยังไม่เข้าใจผู้ใหญ่นัก แต่ความที่ถูกชะตากันของทั้งคู่ ทำให้พี่ภูและน้องดาสนิทสนมกันเรื่อยมา และเป็นบ่อเกิดของความรักแต่หาใช่ความรักระหว่างชายหญิงไม่ แต่กลับเป็นความรักระหว่างพี่ชายกับน้องสาว
“แม่ครับ คำว่าเจ้าสาว หมายถึงผู้หญิงที่ต้องแต่งานกับผู้ชายคนหนึ่ง และคนทั้งคู่รักกันด้วยใช่มั้ยครับ” เด็กชายภูผาถามมารดาขึ้นในวันหนึ่ง
“ใช่จ้ะ” รสรินมารดาของภูผาตอบ
“แล้วคนไม่ได้รักกันจะแต่งงานกันได้มั้ยครับ”
รสรินถอนหายใจยาว ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าบุตรชายถามเพราะอะไร แต่เรื่องระหว่างเพื่อนรักคือสามีของเธอกับกำนันมิตรนั้น เป็นเรื่องที่เธอเข้าไปเกี่ยวข้องไม่ได้ เพราะตอนที่เธอแต่งงานกับภูศิษฐ์ กำนันมิตรและคุณถนอมซึ่งเป็นภรรยายังไม่มีบุตร และได้พูดกับคู่บ่าวสาวคู่ใหม่ว่า
“ถ้านายมีลูกสาว นายต้องยกลูกสาวนายให้ลูกชายเรานะภูศิษฐ์” กำนันมิตรบอก
“ได้สิเพื่อนรัก และถ้านายมีสาว นายก็ต้องยกลูกสาวให้ลูกชายเราด้วยนะมิตร” และภูศิษฐ์ก็ตอบรับอย่างยินดี
มันเป็นเหมือนคำมั่นสัญญาที่เพื่อนรักให้ไว้ต่อกัน และคำพูดของลูกผู้ชายที่มีตำแหน่งหน้าที่การงานที่มั่นคง เป็นที่เคารพนับหน้าถือตาของคนทั่วไป ทำให้ไม่อาจเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขคำพูดนั้นได้
รสรินมองน้องลูกชายที่จ้องมองมาตาแป๋วอย่างอยากรู้ ก็ย่อตัวลงและลูบศีรษะทุยนั้นอย่างรักใคร่
“ถึงจะยังไม่รักกัน แต่หลังจากแต่งงานกันแล้ว ก็ต้องรักกันเข้าสักวันหนึ่งนะลูก” นั่นเป็นคำตอบที่รสรินคิดว่าดีที่สุดในเวลานั้น
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว บัดนี้เด็กชายภูผาเติบโตขึ้นจนอายุ 25 ปี ร่างสูงกำยำดูสง่าผ่าเผยและรูปงามยิ่งนัก เขาเป็นที่หมายปองของสาวๆ มากมาย แต่ยกเว้นอยู่คนหนึ่งที่เธอไม่คิดจะมองภูผาอย่างหมายปองมากกว่ามองด้วยความชื่นชมและภูมิใจในตัวพี่ชายคนนี้
“พี่ภูคะ น้องดาว่าเราน่าจะหากุหลาบดินมาปลูกแถวนี้นะคะ เหมืองชัยเชษฐ์จะได้ดูมีสีสันขึ้นมาหน่อย”
“ก็แล้วแต่น้องดาสิครับ อีกหน่อยน้องดาก็จะมาอยู่ที่นี่ในฐานะของนายหญิง น้องดาอยากทำอะไรก็ทำได้ตามใจชอบ”
“พี่ภูขา...” มธุรดาเรียกชายหนุ่มเสียงหวาน
“ว่าไงครับ” ภูผาเองก็ตอบรับเสียงนุ่มเช่นกัน
“พี่ภูไม่มีคนรักเหรอคะ น้องดาเห็นสาวๆ ตบแถวเรียงหน้ากระดานเข้าหาพี่ภูตั้งเยอะ ไม่ชอบใครสักคนเลยเหรอคะ”
ภูผาชะงักไปนิด ก่อนมองเข้าไปในดวงตาคู่สวยของมธุรดานิ่ง เขายังไม่คิดจะรักใคร เพราะยังอยากใช้ชีวิตอิสระให้คุ้มค่าก่อน และอีกไม่กี่ปีภาระหน้าที่ที่จะต้องดูแลผู้หญิงตรงหน้าก็จะเริ่มขึ้นแล้ว มธุรดาเป็นผู้หญิงที่น่ารักอ่อนหวาน เขาคิดว่าสักวันคงจะรักเธอได้ไม่ยาก ตามที่มารดาเคยพูดเอาไว้
“แล้วน้องดาล่ะ มีคนรักหรือยัง เอ...แต่ใครน๊อ จะมาชอบผู้หญิงขี้แยแบบนี้ ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ” ภูผาถามกลับและกระเซ้าด้วยคำพูด จนหญิงสาวหน้าแดงที่ถูกล้อ
“เชอะ...ไม่ต้องมาล้อเค้าเลยนะ สักวันเค้าก็ต้องมีคนรักอยู่แล้วล่ะ” มธุรดาทำปากยื่นและแลบลิ้นปลิ้นตาให้ภูผา
จากนั้นไม่นานภูผาก็ถูกบิดาส่งไปเรียนต่ออเมริกาด้านธรณีวิทยา เพื่อกลับมาดูแลกิจการเหมืองแร่ต่อจากผู้เป็นบิดาเป็นเวลา 3 ปี ในขณะนั้นมธุรดาก็มีผู้ชายมากหน้าหลายตามาจีบ แต่เธอกลับไม่ชอบใครสักคนเลย จนกระทั่งภูผากลับมา
มธุรดาไปรอรับที่สนามบิน ภูผาในวันนี้ดูเป็นหนุ่มใหญ่ ร่างสูงสง่างามนั้นน่าเกรงขาม ใบหน้าคมเข้มที่เปื้อนยิ้มให้เธอได้ตลอดเวลาก็ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
“สวัสดีค่ะพี่ภู ยินดีต้อนรับกลับเมืองไทยนะคะ ไหนๆ มีสาวๆ ตามมาบ้างหรือเปล่าเอ่ย...” มธุรดาแกล้งชะโงกหน้าไปด้านหลังของภูผา ทำทีเป็นหาสาวตาน้ำข้าวที่อาจจะตามติดมา เพราะพี่ภูของเธอในวันนี้หล่อเหลากว่าเมื่อ 3 ปีที่แล้วมาก
“ยัยบ๊อง พี่ยังนิยมของไทยจ้ะ ไม่นิยมของนอก แล้วเราล่ะ เจอคนถูกใจรึยัง” ภูผาจิ้มนิ้วชี้เข้าที่หน้าผากมน และยิ้มกว้าง
“เฮ้อ...ยังเลยค่ะ พี่ภูคงต้องมีน้องดาเป็นเจ้าสาวจริงๆ แล้วล่ะค่ะ”
“พี่น่ะไม่มีปัญหา เพราะพี่ก็ยังไม่ได้รักใคร แต่น้องดาน่ะสิ ถ้าเราแต่งงานกันแล้ว น้องดาไปเจอคนถูกใจเข้าจะทำยังไง พี่ก็คงปล่อยให้น้องดามีความสุขกับคนที่รัก” ภูผาบอกอย่างปลงตก ถ้ามธุรดาไม่มีคนรัก วันหนึ่งเธอกับเขาคงจะรักกันได้อย่างแน่นอน ภูผาถอนหายใจออกมาแรงๆ
“ขอบคุณนะคะพี่ภูที่เข้าใจ น้องดาโชคดีที่สุดที่มีพี่ชายอย่างพี่ภู”
และวันแต่งงานของทั้งคู่ก็มาถึง งานแต่งงานของภูผาและมธุรดาจัดว่าเป็นงานแต่งงานที่โด่งดังที่สุดในจังหวัดระนอง เพราะบิดาและมารดาของเจ้าบ่าวเจ้าสาวเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่สังคม ฉะนั้นแขกเหรื่อที่มาร่วมงานในวันนี้จึงแน่นขนัด ลานกว้างของเหมืองชัยเชษฐ์แทบจะต้อนรับแขกที่มาร่วมงานไม่พอเลยทีเดียว จนกระทั่งถึงเวลาส่งตัวเข้าห้องหอและบิดามารดาทั้งสองฝ่ายเข้าไปให้ศีลให้พรและกลับออกไปแล้วนั่นแหละ
“เหนื่อยจัง” มธุรดาบ่นออกมาทันทีที่ประตูห้องหอปิดสนิท
“เหนื่อยก็ไปอาบน้ำแต่งตัวและเข้านอนซะ”
“อ้าว...แล้วพี่ภูล่ะคะ นอนที่ไหน”
ภูผาพยักเพยิดไปที่ประตูเล็กๆ ด้านขวามือ
“นั่นเป็นประตูเข้าไปห้องข้างๆ พี่จะไปนอนห้องโน้น ส่วนน้องดาก็นอนห้องนี้แล้วกัน ไม่ต้องกลัวว่าใครจะจับได้ เพราะกุญแจห้องข้างๆ นั่นอยู่ที่พี่คนเดียว คนอื่นไม่มีเก็บไว้ เพราะเป็นห้องของพี่ตอนเด็กๆ”
“ขอบคุณนะคะพี่ภู” มธุรดาซาบซึ้งในน้ำใจของภูผา เพราะเขาไม่คิดจะล่วงเกินเธอ และทำตัวเป็นสุภาพบุรุษเรื่อยมา แม้กระทั่งแต่งงานกันแล้วแบบนี้ เขามีสิทธิ์ในตัวเธอทุกอย่าง แต่เขาก็ไม่ทำเหตุผลง่ายๆ คือ ภูผาไม่ได้รักมธุรดานั่นเอง
หลังจากงานแต่งงานผ่านพ้นไปเพียง 1 ปี ข่าวร้ายที่สุดในชีวิตของภูผาก็เกิดขึ้น เมื่อนายหัวภูศิษฐ์และนายหญิงรสรินที่กำลังเดินทางไปท่องเที่ยวไกลถึงสวิตเซอร์แลนด์ก็ประสบอุบัติเหตุเครื่องบินตก ทำให้ทั้งคู่เสียชีวิตลงพร้อมกัน ภูผาเศร้าโศกเสียใจมาก แต่ยังได้รับกำลังใจจากมธุรดาเป็นอย่างดี และภาระหน้าที่ดูแลกิจการเหมืองชัยเชษฐ์ก็ตกมาถึงมือภูผา ชายหนุ่มตรากตรำทำงานหนักจนแทบไม่ได้หลับได้นอน และแทบไม่ได้เจอกับมธุรดาเลยด้วยซ้ำ จนหญิงสาวต้องดักรอด้วยความเป็นห่วงในเช้าวันหนึ่ง
“พี่ภูขา...พักซะบ้างนะคะ เดี๋ยวล้มป่วยลงไปอีกคน”
“ขอบใจน้องดาที่เป็นห่วงพี่ แต่พี่ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ว่าแต่น้องดาเถอะ พี่ไม่มีเวลาคุยด้วยเลย ถ้าอยากกลับบ้านหรือออกไปเที่ยวที่ไหนบ้าง ก็ให้คนขับรถพาไปนะจ๊ะ”
“ค่ะ พี่ภูไม่ต้องห่วงน้องดาหรอกค่ะ ห่วงตัวพี่เองดีกว่า พี่ภูผอมลงไปเยอะเลยนะคะนี่”
“หึ หึ ขอบใจจ้ะ พี่ต้องเข้าเหมืองแล้ว ไปก่อนนะจ๊ะ” ภูผายกมือยีผมของมธุรดาอย่างหยอกเย้า ก่อนจะเดินออกไปจากบ้าน
มธุรดามองตามแผ่นหลังกว้างของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีทางนิตินัย ก่อนคิดว่าวันนี้จะกลับไปหาบิดาที่บ้านและอาจจะออกไปหาซื้อข้าวของเครื่องใช้ในตลาดด้วยเลย
หลังจากมธุรดากลับจากบ้านของกำนันมิตรผู้เป็นบิดา หญิงสาวก็พาร่างบอบบางมาเดินเลือกซื้อของใช้ในตลาด หญิงสาวมองหาร้านอาหารเพื่อหาอะไรทานเมื่อรู้สึกหิวขึ้นมา พลันสายตาก็สะดุดลงที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งที่คนไม่ค่อยพลุกพล่านเท่าใดนัก หญิงสาวหาที่ว่างและนั่งลงจากนั้นก็สั่งอาหารที่ต้องการทานกับแม่ค้า
ทินวิทย์พาร่างสมส่วนเข้ามาในร้านอาหารแห่งเดียวกับที่มธุรดาเข้ามา มองหาโต๊ะว่างแต่ก็ไม่มีแล้วสายตาของเขาก็สะดุดลงที่เก้าอี้ว่างโต๊ะเดียวกับหญิงสาว
“ขอโทษครับ ขอผมนั่งด้วยคนได้มั้ยครับ” ชายหนุ่มขออนุญาตจากมธุรดาที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว
มธุรดามองชายหนุ่มตรงหน้า เขาเป็นผู้ชายร่างสมส่วนหน้าตาดี สวมเสื้อเชิ้ตลายตารางหมากรุกพับแขนขึ้นแค่ศอก สอดชายเสื้อไว้ในกางเกงยีนส์สีเข้มขนาดพอดีตัว มองรวมๆ แล้วชายหนุ่มตรงหน้าก็ดูดีคนหนึ่ง แม้จะไม่เท่าภูผาก็ตาม
“เชิญตามสบายค่ะ” เมื่อหล่อนพิจารณาเขาจนทั่วแล้วก็เอ่ยอนุญาตให้ชายแปลกหน้านั่งลง
“คุณเป็นคนที่นี่หรือครับ” ทินวิทย์ถาม
ผู้หญิงตรงหน้าเขานั้นจัดเป็นผู้หญิงที่สวยทีเดียว รูปร่างก็เร้าใจไม่น้อย แถมยังมีผิวพรรณเนียนละเอียดเสียอีกทำให้เขาอยากรู้จักหล่อนขึ้นมาทันใด
“ค่ะ ฉันเป็นลูกสาวกำนันมิตร” มธุรดาตอบพลางส่งยิ้มบางๆ แต่มีเสน่ห์ให้ชายแปลกหน้า
“อ้อ...เหรอครับ พอดีเลยงั้นผมขอถามอะไรบางอย่างได้มั้ยครับ”
“อะไรเหรอคะ ถ้าตอบได้ฉันจะตอบ”
“พอดีผมมาเที่ยวน่ะครับ แต่ที่นี่เพิ่งจะมาเป็นครั้งแรกเลยยังไม่รู้ว่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง ถ้าคุณไม่รังเกียจะเป็นพระคุณมากหากจะช่วยเป็นไกด์นำเที่ยวให้ผม” ทินวิทย์ส่งยิ้มอย่างเชิญชวนให้หญิงสาว
“เอ่อ...” มธุรดาครุ่นคิด แต่บางสิ่งที่อยู่ในดวงตาคู่นั้นของผู้ชายตรงหน้าทำให้หญิงสาวต้องพยักหน้าตอบรับอย่างไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน “วันนี้ฉันว่างพอดี ตกลงค่ะ ฉันจะเป็นไกด์ให้คุณเอง” มธุรดาตอบ “แต่เอ...ฉันยังไม่รู้จักชื่อคุณเลย”
“ผมทินวิทย์ครับ แล้วคุณ...”
“ฉันชื่อมธุรดาค่ะ”
“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ คุณนี่นอกจากจะสวยแล้วยังชื่อเพราะอีก” ทินวิทย์ทำปากหวาน เขาอยากสานสัมพันธ์กับมธุรดาให้มากกว่านี้ เพราะหล่อนสวยและดูอ่อนหวานเรียบร้อยถูกใจเขา
“คุณทินวิทย์นี่ปากหวานไม่ใช่เล่นเลยนะคะ ปากแบบนี้สงสัยคงจะหลอกล่อผู้หญิงให้เดินตามมานักต่อนักแล้วกระมังคะ”
“ผิดแล้วล่ะครับ ผมไม่เคยหลอกล่อใครและไม่จำเป็นต้องหลอกล่อด้วยครับ”
“ดูคุณเชื่อมั่นในตัวเองจังเลยนะคะ”
“ผมเป็นคนพูดความจริงครับ” ชายหนุ่มส่งสายตาเป็นนัยให้หญิงสาว “งั้น...เดี๋ยวมื้อนี้ผมขอเลี้ยงคุณเองเป็นการตอบแทนที่ช่วยเหลือผม”
“จะดีเหรอคะ ฉันว่าต่างคนต่างจ่ายดีกว่านะคะ”
“ผมจ่ายดีกว่าครับ ถือว่าเลี้ยงตอบแทนที่คุณอุตส่าห์เป็นไกด์ให้” และทินวิทย์ก็ชิงจ่ายค่าอาหารมื้อนี้เอง
จากนั้นทั้งสองคนก็พากันเดินทางไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ โดยมีมธุรดาเป็นไกด์ ตลอดเวลาหญิงสาวสังเกตทินวิทย์มาตลอด เขาเป็นคนเอาใจเก่งยิ้มให้เธอตลอดเวลาและคุยสนุก จนหญิงสาวรู้สึกว่าวันนี้เธอได้หัวเราะมากกว่าทุกวัน
“ขอบคุณนะครับสำหรับวันนี้ ผมสนุกมาก”
“เช่นกันค่ะ นานแล้วที่ฉันไม่ได้เที่ยวแบบนี้เลย”
“เหรอครับ แต่ผู้หญิงอย่างคุณคงจะมีหนุ่มๆ อาสาพาไปเที่ยวบ่อยๆ นะครับ”
มธุรดายกมือปิดปากและหัวเราะออกมาจนน้ำตาเล็ด
“ไม่หรอกค่ะ ฉันมีครอบครัวแล้ว” หญิงสาวบอกความจริงออกไป
“อ้าว...เหรอครับ ผมก็หมดหวังสิครับแบบนี้ แย่จังเลย”
มธุรดาส่งยิ้มหวานปลอบใจให้ทินวิทย์
“แต่ฉันก็ยินดีเป็นเพื่อนคุณนะคะ ถ้าแค่เพื่อนคงไม่มีปัญหา”
“แล้วแบบนี้ พรุ่งนี้เราจะมีโอกาสได้ไปเที่ยวด้วยกันอีกมั้ยครับ”
มธุรดาใช้เวลาครุ่นคิดอยู่เพียงชั่วครู่ และพยักหน้าน้อยๆ ให้ชายหนุ่ม แล้วทินวิทย์ก็บอกจุดนัดพบและเวลาให้มธุรดาทราบ
ตั้งแต่นั้นมาทินวิทย์กับมธุรดาก็มักจะนัดเจอกันตามสถานที่ต่างๆ เสมอ มธุรดาเริ่มมีใจให้แก่ทินวิทย์ และวันหนึ่งหล่อนกับทินวิทย์ก็มีสัมพันธ์สวาทลึกซึ้งต่อกัน เวลาผ่านไปไม่นานมธุรดาก็หลงรักทินวิทย์จนหมดใจและเริ่มตามติดชายหนุ่มไปในทุกๆ ที่ ซึ่งนั่นทำให้ผู้ชายอย่างทินวิทย์ไม่ชอบ เขาไม่ชอบเป็นผู้ถูกไล่ตาม แต่เขาชอบเป็นผู้ไล่ตามมากกว่า ชายหนุ่มเริ่มตีตัวออกห่างและหนีหายไปจากหญิงสาว
เรื่องราวความรักของมธุรดาที่มีต่อทินวิทย์ ได้เปิดเผยให้ภูผารู้จากปากของเธอเองในวันหนึ่ง
“พี่ภูขา...ตอนนี้น้องดา...เอ่อ...”
“น้องดามีคนรักแล้ว” ภูผาต่อให้ พร้อมด้วยรอยยิ้มบางๆ เป็นกำลังใจให้ภรรยาทางนิตินัย เขารู้แล้วแต่รอให้หญิงสาวเป็นฝ่ายบอกเอง และไม่ได้มีความรู้สึกเสียใจแต่อย่างใด เพราะไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร ภูผาก็ไม่ได้รักมธุรดาอยู่ดี
“พี่ภูรู้แล้วเหรอคะ” มธุรดาเบิกตากว้างอย่างตกใจ และอดรู้สึกผิดต่อภูผาไม่ได้ เพราะความ สัมพันธ์ระหว่างเธอกับทินวิทย์นั้น เกินเลยจากความเป็นเพื่อนนานแล้ว
“ใช่ น้องดาคิดว่าพี่จะปล่อยให้เมียพี่ออกไปเที่ยวทุกวันๆ จนไม่เป็นห่วงบ้างเลยเหรอ”
คำว่า “เมียพี่” ทำให้ใบหน้านวลใสนั้นสลดวูบ ก่อนคำขอโทษจะถูกเอ่ยออกมาเบาๆ
“ขอโทษค่ะ น้องดาขอโทษ”
“จะขอโทษทำไม ถ้าน้องดารักเขาก็ดีสิ น้องดาจะได้มีความสุขซะที”
มธุรดาโผเข้ากอดเอวหนาของภูผา เป็นครั้งแรกที่เธอได้ใกล้ชิดเขามากขนาดนี้ และรู้สึกว่าอกกว้างนี้ช่างอบอุ่นเหลือเกิน
“น้องดาจะไปคุยกับเขาให้รู้เรื่อง และพี่ภูจะได้เป็นอิสระบ้าง” หญิงสาวพึมพำกับอกกว้าง โดยไม่รู้ว่าภูผาลอบถอนหายใจอย่างหนักหน่วง
อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ทินวิทย์ตีตัวออกห่างจากมธุรดา เป็นเพราะเขาได้ไปพบดอกไม้ที่สวยกว่า สดกว่าและสาวกว่าอย่างวีรดา วิสุทธิจารย์ ชายหนุ่มจึงหันเหความสนใจมาให้วีรดา และทิ้งมธุรดาอย่างไม่มีเยื่อใย หญิงสาวพยายามติดต่อหาเขาทางโทรศัพท์แต่ก็ติดต่อไม่ได้ จนเธอตัดสินใจไปหาทินวิทย์ที่ห้องพักในโรงแรม และได้พบว่าทินวิทย์กำลังกอดก่ายวีรดาอยู่บนเตียง ที่ซึ่งเธอเองก็เคยขึ้นไปนอนทอดร่างให้เขากอดและเชยชมมาแล้ว
“ทิน...นี่มันอะไรกันคะ ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร” มธุรดาร้องถาม
“ผู้หญิงคนนี้เมียฉัน แต่เธอน่ะสิเป็นใคร ผัวก็มีอยู่ที่บ้านทั้งคน ทำไมวิ่งโร่มาหาผู้ชายอื่นอีก”
“ทิน! ทำไมพูดกับดาแบบนี้คะ”
“ฮึ เธอนี่...สวยดีอยู่หรอกนะ แต่โง่ชะมัด เขาเบื่อแล้วยังไม่รู้ตัวอีก” วีรดาสมทบ
“ก็อย่างนี้ล่ะจ้ะต้นอ้อ แต่งงานกับผัวมานาน แต่รู้มั้ย กลับโดนผมเจาะไข่แดงซะงั้น ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ คิดดูแล้วกัน ว่าผัวยังไม่นอนด้วยเลย แล้วผมจะทนกินของจืดไม่มีรสชาติไปทำไม ใช่มั้ยจ๊ะที่รัก” ทินวิทย์หันไปบอกวีรดา และซุกซบใบหน้าลงกับอกนุ่ม อย่างไม่ยี่หระว่ายังมีมธุรดาอีกคนที่อยู่ในห้อง
มธุรดาเสียใจจนไม่อาจมองภาพตรงหน้าต่อไปได้ เธอกำลังรู้สึกว่าตัวเองมีเขางอกออกมา เธอคงโง่เง่าเต่าตุ่นเหมือนที่ทินวิทย์พูดจริงๆ หญิงสาวหมุนตัววิ่งกระเซอะกระเซิงออกไปจากห้องของทินวิทย์ทันที หญิงสาวกลับไปที่เหมืองชัยเชษฐ์และวิ่งผ่านหน้าดิ่งเข้าบ้าน และตรงเข้าห้องนอน ก่อนทุ่มตัวร้องไห้อย่างหนัก
ดิ่งซึ่งเป็นคนงานชายคนหนึ่ง เห็นสภาพของนายหญิงที่วิ่งร้องไห้เข้าไปในบ้าง ก็เอะใจว่าคงเกิดเรื่องร้ายๆ ขึ้นแน่นอน จึงวิ่งไปตามนายหัวภูผา
“นายหัวครับ...นายหัว”
“มีอะไร ไอ้ดิ่ง”
“นายหญิงครับ ผมเห็นนายหญิงร้องไห้วิ่งเข้าบ้านไปครับ” จบคำพูดของดิ่ง ภูผาก็วิ่งกลับไปที่บ้านของตน และตรงไปที่ห้องนอนของมธุรดา
ภูผากวาดตามองไปรอบห้องนอนของตัวเอง และสายตาคมกริบก็หยุดลงยังร่างที่ทอดยาวคว่ำหน้าอยู่บนเตียงใหญ่ เขาสาวเท้าเร็วๆ เข้าไปหา
“น้องดา! นี่...ใครบังอาจทำร้ายน้องดาน่ะ...ฮึ” เขาถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นสภาพของมธุรดาเต็มตา ดวงหน้าที่เคยสดใสนั้นนองไปด้วยหยาดน้ำตา ดวงตาคู่สวยบวมเป่งและแดงก่ำเพราะผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก
มธุรดาพลิกตัวแลลืมตาขึ้นมามองสบดวงตาคมกริบด้วยแววแห่งความเสียใจอย่างใหญ่หลวง
“พี่ภูคะ น้องดาขอโทษ น้องดาผิดไปแล้วค่ะ ยกโทษให้น้องดาด้วยนะคะ” เสียงที่เปล่งออกมานั้นเบานัก แต่ภูผาก็ได้ยิน
“น้องดา...ไม่จำเป็นต้องขอโทษพี่ น้องดาไม่ได้ทำอะไรผิด น้องดาเพียงแค่อยากมีความรักเท่านั้นเอง” เขาบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนยิ่งยวด
“เขาไม่ได้รักน้องดาค่ะ เขาหลอกให้น้องดาหลงรัก พอเขาเบื่อเขาก็ไปมีคนใหม่ พี่ภูขา...น้องดาเห็น...เห็นเขา...ทินวิทย์...เขากำลัง...”
“ไม่ต้องห่วงนะน้องดา มันคนนั้นต้องได้รับบทเรียนราคาแพงอย่างแน่นอน ที่มันกล้าทำกับน้องดาได้มากขนาดนี้”
“อย่าเลยค่ะ อย่าให้มือของพี่ภูต้องแปดเปื้อนกับความชั่วของเขาเลยค่ะ แค่พี่ภูยังอยู่เคียงข้าง น้องดาก็ดีใจแล้วค่ะ” มธุรดาจ้องมองใบหน้าคมคายหล่อเหลาของผู้เป็นสามีทางนิตินัย ด้วยความรู้สึกรักของน้องสาวที่มีต่อพี่ชาย
“น้องดาพักผ่อนให้มากๆ นะจ๊ะ อย่าคิดมาก อย่าไปใส่ใจจดจำสิ่งเลวร้ายที่คนชั่วมันทำไว้ให้น้องดาต้องเจ็บใจเลย น้องดายังมีพ่อและมีพี่อยู่อีกทั้งคนนะจ๊ะ” ภูผาปลอบ
“ขอบคุณค่ะ น้องดาไม่เป็นไรแล้วค่ะ พี่ภูไปทำงานเถอะ” มธุรดาไม่อยากให้ภูผาต้องเป็นกังวลไปกับเธอ จึงแสร้งหลับตาลงทำเหมือนอยากนอนนักหนา
“หลับซะนะจ๊ะน้องดา ตื่นขึ้นมาจะได้ลืมเรื่องนั้นไปซะ”
ภูผาจึงจัดการห่มผ้าให้มธุรดา ก่อนจะถอยออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ
ร่างสูงของศิลามาหยุดอยู่ด้านหลังของผู้ที่เป็นทั้งเจ้านายและเพื่อน บ่าที่เคยผึ่งผายสง่างามของภูผาตอนนี้กลับงุ้มลง ท่าทางที่เคยหยิ่งทระนงตอนนี้กลับมีแต่ความเศร้าหมอง
“นายหัวภู” เขาเรียก
“ว่าไงหิน” เสียงทุ้มๆ ตอบกลับมา
“จะทำยังไงต่อไปดีครับ”
“จัดการมันซะ” เสียงกร้าวดังกลับมา
“จัดการเหรอครับ นายหัวบอกมาได้เลยว่าจะให้ทำยังไง”
“ฉันอยากฆ่ามันให้ตายคามือ แต่เพราะมันไม่ได้ทำคนเดียวยังมีอีกคนที่เป็นสาเหตุสำคัญของเรื่องนี้” ภูผาหันกลับมาสบตาคมของเพื่อนสนิท “ให้คนไปสืบหาตัวผู้หญิงคนนั้น คนที่เป็นสาเหตุทำให้ทินวิทย์เปลี่ยนใจจากมธุรดา”
คำสั่งที่ได้ยินนั้นทำให้ร่างสูงของศิลาต้องค้อมตัวลงเล็กน้อยเพื่อรับคำสั่ง ก่อนจะถอยฉากออกไปเพื่อปฏิบัติตามคำสั่ง
เมื่อลับร่างของศิลา ภูผาก็หันหน้ากลับไปมองทางเดิม กรามของชายหนุ่มขบกันแน่นมือใหญ่กำหมัดนิ่งอยู่ข้างลำตัว มัน...ที่ทำให้มธุรดาน้องสาวที่รักยิ่งของเขาต้องมีสภาพเป็นแบบนี้จะต้องชดใช้!
ร่างบอบบางที่กำลังก้มๆ เงยๆ อยู่หน้าเตาในห้องครัวนั้นทำให้ร่างสมส่วนของวรุฒต้องชะงัก ก่อนจะเดินเข้าไปหาเจ้าของร่างบาง
“จ๊ะเอ๋...ทำอะไรอยู่จ๊ะ ไหน...อื้ม...หอมจังเลย น่าทานจังขอพี่รุฒทานด้วยได้มั้ย”
ร่างบางของพิมพ์มาดา วิสุทธิจารย์ ในวัย 23 ปี สะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองที่ชายหนุ่มนามว่าวรุฒ แล้วส่งยิ้มหวานๆ ให้
“ทำไข่พะโล้กับผัดเต้าหู้ใส่ไข่อยู่น่ะค่ะ พี่รุฒทานด้วยกันสิคะ กระถินทำตั้งเยอะเลย”
“แหมดีจัง พี่กำลังหิวอยู่พอดี แล้วนี่เขาไปไหนกันหมดล่ะ พี่เข้ามาไม่เห็นมีใครสักคน”
“ก็คงออกไปตามเรื่องนั่นล่ะค่ะ” พิมพ์มาดาตอบ
“เล่นไพ่อีกตามเคยสินะ แล้วพอกลับมาก็คงมาหาเรื่องกระถินอีกตามเคย พี่สงสารกระถินจัง”
“กระถินชินซะแล้วค่ะ บุญคุณที่เลี้ยงดูมามันค้ำคอจนกระถินทำอะไรไม่ได้” น้ำเสียงนั้นเศร้าลง
“แล้วเรื่องเรียนต่อล่ะ จะทำยังไง”
“กระถินคงไม่ได้เรียนต่อแล้วล่ะค่ะพี่รุฒ” หล่อนตอบ
“อ้าว...ทำไมล่ะ กระถินอยากเรียนต่อมากเลยไม่ใช่เหรอ”
“คุณป้าจะให้กระถินแต่งงานค่ะ” สีหน้าที่สดใสของพิมพ์มาดาตอนนี้ดูเศร้าสร้อยยิ่งนัก
“อะไรนะ!” วรุฒถามเสียงดังอย่างตกใจ เพราะเขานั้นมีใจชื่นชอบสาวน้อยตรงหน้าอยู่แล้ว แต่พอทราบว่าสาวน้อยต้องแต่งงานก็ใจหาย
“พี่รุฒได้ยินไม่ผิดหรอกค่ะ กระถินต้องแต่งงานกับเสี่ยปภพที่เป็นเจ้าของบ่อนที่คุณป้าไปเป็นหนี้การพนันไว้”
“ห๊า...ทำไมต้องเป็นกระถินด้วย ทำไมไม่เป็นต้นอ้อแทน ทั้งที่ต้นอ้อควรมีส่วนรับรู้ปัญหาของครอบครัวและต้องช่วยแก้ไขปัญหาที่แม่สร้างขึ้น”
“ก็เพราะพี่ต้นอ้อเป็นลูกไงคะ ลูกในไส้ที่แม่รัก เมื่อรู้ว่าลูกไม่ชอบแม่จะบังคับลูกได้ยังไงล่ะคะ”
“ก็เลยต้องเป็นกระถิน ที่เป็นแค่หลานงั้นเหรอ”
“ค่ะ กระถินต้องตอบแทนพระคุณข้าวแดงแกงร้อนที่เลี้ยงดูกระถินมา” สาวน้อยตอบและหันมาส่งยิ้มฝืดๆ ให้วรุฒ
“เราอย่าพูดเรื่องนี้กันเลยค่ะ พูดไปก็เจ็บใจเปล่าๆ เรามากินข้าวแก้หิวกันดีกว่า”
เมื่อสาวน้อยหันไปตักกับข้าวที่เพิ่งทำเสร็จใส่จาน วรุฒเลยต้องไปช่วยยกมาวางไว้ที่โต๊ะอาหาร การสนทนาเรื่องดังกล่าวต้องหยุดลงไปโดยปริยาย แม้เขาอยากจะถามว่าเหลือเกินว่าหนี้สินที่นางวิไลสร้างนั้นมีจำนวนเท่าไหร่ แต่ถึงแม้เขาจะรับรู้ก็คงช่วยอะไรพิมพ์มาดาไม่ได้อยู่ดี เพราะฐานะทางบ้านของเขาก็อยู่ในขั้นพอมีพอกินเท่านั้น สิ่งที่ชายหนุ่มจะทำได้ก็คงมีเพียงแค่การให้กำลังใจพิมพ์มาดาเท่านั้น
หลายวันผ่านไปต่อจากนั้น มธุรดาฝันเห็นภาพการพลอดรักกันบนเตียง ร่างของทินวิทย์และผู้หญิงคนนั้นเปล่าเปลือยและกำลังขับกล่อมท่วงทำนองเพลงพิศวาสอย่างดุเด็ดเผ็ดมันแทบทุกค่ำคืน หญิงสาวมักจะสะดุ้งตื่นขึ้นกลางดึกด้วยเหงื่อโทรมกาย เธอร้องไห้จนน้ำตาเป็นเผาเต่า แต่ต้องกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ไม่ให้ภูผาได้ยิน มีแต่ดวงตาที่แดงก่ำเท่านั้นเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่ภูผาได้เห็น
“น้องดา...”
“พี่ภูคะ น้องดาอยากไปหาพ่อ ให้คนพาน้องดาไปหน่อยนะคะ” มธุรดาบอกขึ้นในวันหนึ่ง
“อ๋อ...ได้สิจ๊ะ ถ้าน้องดาได้ออกไปเปิดหูเปิดตาบ้าง อาจทำให้น้องดาสบายใจขึ้น” ภูผาสนับสนุน
“ขอบคุณค่ะพี่ภู”
มธุรดาไปหากำนันมิตรด้วยสีหน้าที่พยายามทำให้ยิ้มแย้มและแจ่มใสที่สุด เธออยู่กับบิดาทั้งวัน และทำขนมกลีบลำดวนที่ชอบให้บิดาทาน ก่อนกอดเอวหนาของบิดาแน่น น้ำตาใสๆ แทบไหลลงมาอาบสองแก้มนวล แต่หญิงสาวก็กลั้นเอาไว้ได้ทันท่วงที เธอผละออกห่างและส่งยิ้มหวานให้บิดา
“น้องดาต้องไปแล้วนะคะ พ่อดูแลตัวเองด้วยนะคะ น้องดาเป็นห่วงค่ะ”
“หึ หึ ไม่ต้องเป็นห่วงพ่อหรอกลูก พ่อดูแลตัวเองได้” กำนันมิตรลูบศีรษะของลูกสาวเบาๆ
มธุรดามองบิดานิ่งนาน ก่อนเดินออกจากบ้านไปช้าๆ ไม่วายหันกลับไปมองบิดาอีกครั้งและเดินจากไปเงียบๆ หญิงสาวเดินผ่านคนขับรถตั้งใจว่าจะเดินไปตลาด แต่ภาพตรงหน้าทำให้เธอต้องหยุดชะงัก ทินวิทย์กำลังโอบกอดวีรดาเดินข้ามถนนไปยังฝั่งตรงข้าม เหมือนเข็มพันเล่มทิ่มแทงใจหญิงสาวจนแทบกระอักเลือด มธุรดาแทบทรุดลงกับพื้น แต่เธอฝืนกายเอาไว้และมองคนทั้งคู่เดินหายไปลับตา
มธุรดาเดินไปร้านขายยาอย่างคนเหม่อลอย จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว และบอกกับเภสัชกรว่าต้องการซื้อยาแก้ปวดหนึ่งกระปุก เภสัชกรสาวก็หยิบให้พร้อมมองตามร่างบางที่เดินออกไปอย่างสงสัย เพราะเธอรู้จักมธุรดาเป็นอย่างดี แต่วันนี้หญิงสาวดูแปลกๆ ไปมาก
“ได้เรื่องมั้ย”
ในตอนบ่ายแก่ๆ ของอีก 3 วันถัดมา ภูผาก็ถามศิลาถึงคำสั่งที่ให้ไป
“ได้ครับ ผู้หญิงคนนั้นชื่อวีรดา วิสุทธิจารย์ ตอนนี้อยู่ที่กรุงเทพฯ” ศิลาตอบ
“แล้วไอ้ทินวิทย์ล่ะ”
“ทินวิทย์ก็อยู่ที่กรุงเทพฯ ด้วย แต่ไม่ได้อยู่ด้วยกันกับวีรดา”
“อืม...ตามดูมันต่อไป แล้วรายงานความเคลื่อนไหวให้รู้ตลอดเวลา”
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก” เสียงเคาะประตูห้องนอนของมธุรดา แต่คนเคาะต้องนิ่วหน้าเมื่อยืนรออยู่นานก็ไม่ได้ยินเสียงอนุญาตเหมือนทุกครั้ง
ภูผาเปิดประตูห้องเข้าไปเห็นร่างบางที่ผ่ายผอมลงไปมากนอนเหยียดยาวอยู่บนเตียงนุ่ม แต่แล้วดวงตาคมกริบต้องเบิกกว้าง ก่อนพุ่งร่างเข้าไปหาเมื่อเห็นยาเม็ดสีขาวหล่นกระจายเกลื่อนพื้น
“น้องดา...น้องดา...ทำไมทำแบบนี้ น้องดา!” ภูผาเรียกและเขย่าร่างบาง แต่หญิงสาวก็ไม่ไหวติง จนชายหนุ่มต้องแตะปลายนิ้วเข้าที่จมูก และพบว่าภรรยาทางนิตินัยของเขาไม่มีลมหายใจแล้ว “น้องดา...น้องดา...” ภูผาคำรามลั่นบ้าน น้ำตาลูกผู้ชายไหลออกมาอย่างไม่อาย เขาไม่คิดเลยว่าน้องสาวที่รักยิ่ง จะคิดสั้นแบบนี้ มธุรดาไม่น่าคิดสั้นเลย ทำไมนะ...ทำไมเธอถึงตัดสินใจแบบนี้
เมื่อรู้ข่าวการตายของบุตรสาว ทำให้กำนันมิตรโกรธแค้นภูผามาก และตราหน้าว่าภูผาเป็นต้นเหตุทำให้มธุรดาต้องตาย งานศพของมธุรดาที่ถูกจัดขึ้นนั้นมีแขกเหรื่อมาร่วมแสดงความเสียใจกับกำนันมิตรมากมาย และส่วนหนึ่งก็มองภูผาด้วยสายตารังเกียจ เพราะคิดว่าภูผาเป็นคนทำให้มธุรดาฆ่าตัวตาย ภูผาได้แต่นิ่งเงียบไม่โต้ตอบใดๆ ทั้งสิ้น เพราะกำลังเสียใจกับการตายของมธุรดา จนกระทั่งงานศพผ่านพ้นไป เพราะเก็บศพไว้แค่ 7 วันก็เผา เพื่อให้มธุรดาได้ขึ้นสวรรค์เสียที กำนันมิตรไปเก็บเสื้อผ้าข้าวของของบุตรสาว และเห็นจดหมายที่สอดอยู่ใต้หมอน จึงหยิบขึ้นมาเปิดอ่านด้วยน้ำตานองหน้า
ถึงคุณพ่อและพี่ภู
น้องดาตัดสินใจตัดช่องน้อยแต่พอตัว เพราะน้องดาไม่อาจทนเจ็บปวดได้อีกต่อไป น้องดาอ่อนแอมาจนไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้อีก น้องดาต้องขอโทษพ่อและพี่ภูด้วยนะคะ ที่ทำแบบนี้ น้องดามองไม่เห็นทางอื่นจริงๆ ค่ะ
พ่อคะ สาเหตุของการตัดสินใจของน้องดา ไม่ใช่เพราะพี่ภูหรอกนะคะ แต่น้องดาผิดเองที่ดันไปหลงรักคนที่ไม่รักน้องดาเลย เพราะน้องดากับพี่ภูไม่ได้รักกันค่ะ น้องดาพยายามรักพี่ภูแล้วนะคะ แต่ก็เป็นความรักแบบพี่ชายกับน้องสาวเท่านั้น พ่ออย่าโกรธพี่ภูเลยนะคะ พี่ภูเป็นคนดีมากจริงๆ ค่ะ
รักพ่อและพี่ภูค่ะ
ลาก่อน
น้องดา
กำนันมิตรเดินถือจดหมายนั้นออกมาให้ภูผาดู และกล่าวขอโทษขอโพยภูผา ชายหนุ่มสัญญาว่าจะพาคนที่ทำให้มธุรดาตายมาลงโทษให้ได้
