ตอนที่ 1
1
อาคารสำนักงานที่สูงถึง 35 ชั้น ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ใจกลางกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมืองหลวงที่เป็นศูนย์กลางทางธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก บราวน์บิวดิ้ง เป็นอาคารสำนักงานใหญ่ของเจมส์บราวน์ที่มีสาขาอยู่ทั่วทุกทวีป ภายในตึกสูง 25 ชั้น มีพนักงานที่เป็นฟันเฟืองเล็กๆ แต่มีความสำคัญนับร้อย ยังไม่รวมฟันเฟืองสำคัญที่เป็นมันสมองนักคิดค้นการออกแบบเครื่องประดับอัญมณีและผู้บริหารระดับสูง
มาร์ค บราวน์ คือทายาทอันดับ 1 ของตระกูลบราวน์ พ่อของเขาคือ เดเมียน บราวน์ แต่งงานกับสาวไทยคนสวย ซึ่งก็คือแม่ของเขา เพียงจันทร์ หรือพิซิร่า บราวน์ การเป็นลูกผสมอังกฤษ-ไทย ทำให้เขามีชื่อไทยว่าเมฆินทร์ เขามีน้องชายอีกคนที่อารมณ์ร้ายกาจมาก แมต บราวน์ หรือเมฆา แม่ของเขาตั้งชื่อลูกชายให้มีความหมายเดียวกันในภาษาไทยก็คือเมฆ เพราะเมฆจะไม่มีทางตกลงมาสู่พื้น แม้บางครั้งเมฆจะจางหายไปตามแรงลมและสภาพอากาศ แต่เมฆก็ยังลอยอยู่บนท้องฟ้า คนที่จะเห็นเมฆได้นั้นก็ต้องเงยหน้าขึ้นมองสูงเท่านั้นถึงจะเห็น
นี่คือที่มาของเมฆินทร์และเมฆา
ชายหนุ่มวัยจวนจะขึ้นเลข 4 กำลังหอบแฟ้มประวัติลูกหนี้ตรงไปยังห้องที่ติดป้ายสลักชื่อภาษาอังกฤษแต่มีความหมายตามภาษาไทยว่า ‘รองประธาน’ บราวน์บิวดิ้งเกิดขึ้นจากหัวคิดของคุณนายบราวน์ ด้วยความที่เธอเป็นสาวไทยหัวโบราณนิดหน่อย เธอก็เลยอยากสร้างอาคารหลังนี้ด้วยรูปลักษณ์ที่ยังคงความเป็นไทยไว้ในส่วนหนึ่ง อย่างเช่นภายในอาคารที่ประดับด้วยภาพศิลปะแบบไทยๆ ผ้าม่านที่เป็นผ้าไหมแท้งดงาม บานประตูยังแกะสลักลายไทยอันวิจิตร ผู้ที่ได้เข้ามาเยือนล้วนแล้วกว่า 80% ไม่ใช่ชาวไทย และสิ่งเหล่านี้ก็ทำให้พวกเขาเหล่านั้นต้องพิจารณาให้ข้อสรุปว่า ความเป็นไทยนั้นสวยและมีค่ากว่าที่ใครๆ คิด
โจเซฟ เพนนี่มัวร์ คือผู้ช่วยคนสำคัญของท่านรองประธานเจมส์บราวน์ เขารู้ลึกรู้ดีเท่าๆ กับที่ท่านรองประธานรู้ ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง เบื้องหลังในที่นี้ไม่ใช่ว่ามาร์ค บราวน์ จะทำธุรกิจยิบย่อย ธุรกิจมืดหรืออะไรทั้งนั้น แต่โจเซฟรู้ดีว่าลูกค้าที่เป็นลูกหนี้นอกระบบของมาร์ค บราวน์ มีไม่น้อยเลย สาเหตุคือเจ้านายของเขาใจดี ใครขอยืมเงินก็ปล่อยกู้ทุกคน แต่ใจร้ายตรงที่ดอกเบี้ยแพงหูฉี่ เหตุเพราะมาร์ค บราวน์ ไม่ต้องการให้ใครมาขอยืม แต่ในเมื่อกล้ายืม เขาก็กล้าให้ กล้าเรียกร้อง
เคยมีคำถามที่โจเซฟถามเจ้านายของตน ทำไมไม่ให้เขาไปกู้ธนาคาร คำตอบที่ได้รับเล่นเอาโจเซฟแทบหงายหลัง
‘ธนาคารไม่ให้กู้ แล้วเขาจะไปกู้ได้ไง’
ผู้ช่วยที่เก่งทุกด้านก็เกิดคำถามขึ้นอีกข้อว่า แล้วปล่อยกู้ไปได้ยังไง ขนาดธนาคารยังไม่ให้กู้ คำตอบที่ได้รับก็ทำให้เขาหมดคำถามนับจากนั้น
‘นายเคยคิดบ้างไหม สิ่งที่ธนาคารไม่กล้าเสี่ยง บางทีก็เป็นสิ่งสำคัญที่เปลี่ยนเป็นมูลค่ามากมาย หากมันมาอยู่ในมือของฉัน’
มาร์ค บราวน์ เป็นทั้งรองประธานของเจมส์บราวน์ และยังเป็นนักออกแบบชื่อก้องโลก ผลงานการออกแบบของเขากลายเป็นของหายาก เพราะกว่าเขาจะผลิตออกมาสักชิ้นก็ใช้เวลาหลายปี แต่ละชิ้นมูลค่าของมันวัดค่าไม่ได้เลย เครื่องประดับฝีมือการออกแบบของเขาแต่ละชิ้น ประดับอยู่บนเนื้อตัวของผู้ที่มีชื่อเสียงเกียรติยศและมีบารมีทั้งนั้น พ่อและแม่ของเขาภาคภูมิใจในตัวลูกชายคนโตคนนี้มากทีเดียว
“มาแล้วเรอะโจเซฟ”
ผู้ชายที่สวมสูทสีเทาเข้มนั่งก้มหน้าอยู่หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ บนเก้าอี้บุนวมหนาสีน้ำตาลไหม้ มาร์ค บราวน์ เงยหน้าละสายตาจากปลายปากกาที่กำลังเซ็นแกรกๆ ลงบนเอกสาร และมันก็เสร็จพอดีทันกับที่โจเซฟผลักประตูเข้ามา แฟ้มงานบนโต๊ะถูกปิดและผลักออกห่างแสดงให้เห็นว่าจบไปอีกงาน
“ผมเอาแฟ้มลับเฉพาะที่คุณมาร์คต้องการมาให้แล้ว แต่รู้สึกว่าปริมาณความหนาของแฟ้มนี่นับวันจะมากขึ้นทุกวันๆ นะครับ”
“หึ หึ นับวันเศรษฐกิจโลกก็ย่ำแย่ลงไปตามกาลเวลา แล้วนายจะหวังว่าปริมาณแฟ้มนั่นจะเบาบางลงหรือไงโจเซฟ” เสียงสัพยอกดังออกมา แสดงว่าวันนี้เจ้านายของโจเซฟอารมณ์ดีไม่ใช่หยอก
“ถ้ารู้ว่าเศรษฐกิจย่ำแย่แล้วเจ้านายยังจะกล้าแลกอีกหรือครับ”
“ทำไมล่ะ เงินฉันมีอยู่ทุกธนาคาร อัดเข้าไปจนนายแบงก์อ้วนพุงพลุ้ยกันทุกคนแล้ว แค่ฉันจะทำบุญทำทานกับคนยากไร้บ้าง มันจะผิดอะไรรึ”
“ถ้าเจ้านายคิดอย่างนั้น ก็ไม่ผิดอะไรหรอกครับ ขอให้คิดว่าทำบุญจริงๆ แล้วกัน” ปลายเสียงของโจเซฟแผ่วลงคล้ายกระซิบบอกกับตัวเองคนเดียว ไม่ต้องการให้คนตรงหน้าได้ยิน แต่หูของมาร์คก็ยังดีเช่นเดิม พูดเบาแค่ไหนไม่มีหรอกที่ไม่ได้ยิน
“อย่าทำให้ฉันอารมณ์เสียน่ะโจเซฟ” เอ่ยเตือนเสียงต่ำก่อนจะรับแฟ้มลับที่ลูกน้องผู้รู้ใจเรียก เปิดแฟ้มแรกไล่อ่านแบบมีเสียงอย่างจงใจ จนกระทั่งถึงแฟ้มที่ 4 คิ้วหนาก็ขมวดมุ่น
“เอ่อ...มิสเตอร์ฐากูรเป็นญาติห่างๆ ของคุณพิซิร่าครับ คุณนายเห็นว่ากำลังเดือดร้อนก็เลยให้ยืมเงินไปก้อนหนึ่ง ไม่มากเท่าไหร่ แต่...”
“แต่อะไร คุณแม่ให้ยืมแล้วเกี่ยวอะไรกับฉัน”
ผู้ที่ได้รับการพิจารณาการกู้ยืมจะต้องผ่านการพิจารณาจากมาร์คคนเดียวเท่านั้น ถ้านอกเหนือจากนี้ก็คือไม่เกี่ยวกัน แล้วทำไมประวัติของนายฐากูร สุริยาพิบูลย์ ถึงมาอยู่ในแฟ้มลูกหนี้ของเขา ในเมื่อคนให้ยืมคือมารดาของเขา ไม่ใช่เขา
“คุณพิซิร่าโยนให้เจ้านายครับ แล้วยังบอกอีกว่ารายนี้ห้ามคิดดอกเบี้ยแพง มิสเตอร์ฐากูลและครอบครัวไม่ใช่คนร่ำรวยมาจากไหน แถมยังเป็นญาติห่างๆ กันด้วย ให้เห็นใจหน่อยครับ”
“หมายความว่ายังไง คนที่จะกู้เงินฉันก็ต้องยอมรับข้อตกลงของฉันสิ ไม่อย่างนั้นคุณแม่ก็ให้ไปเองสิ เงินก็มีเหลือกินเหลือใช้ทั้งชาติก็ไม่หมดนี่นา ทำไมต้องโยนให้ฉันด้วย” กระแสเสียงเริ่มเข้มเช่นเดียวกับใบหน้าที่เริ่มขึงขังขึ้นเรื่อยๆ “ฉันไม่ได้ยึดธุรกิจปล่อยเงินกู้เป็นหลักนะ แค่ยอมให้ยืมสำหรับคนที่ฉันเห็นว่าสมควรแลกกับดอกเบี้ยนิดๆ หน่อย”
นิดๆ หน่อยๆ ที่ว่า ไม่ต่างจากการขูดเลือดขูดเนื้อนักหรอก โจเซฟได้แต่คิด ทว่าคนไม่มีทางออก แม้แต่ธนาคารก็ยังไม่ยอมปล่อยต้องบากหน้ามาขอหยิบยืมจากมาร์ค ทั้งที่รู้ว่าหากมีที่ไปก็ควรไป ดีกว่าหันหน้ามาพึ่งคนๆ นี้
“ไปบอกคุณแม่ ว่ารายนี้ไม่เกี่ยวกับฉัน”
“ตู๊ดๆๆ” เหมือนระฆังพักยก เสียงโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานเรียกมือใหญ่ต้องเอื้อมไปรับ เพราะไม่เคยปล่อยให้ดังเสียดแก้วหูนานๆ
“แม่ให้โทร.มาตามพี่กลับบ้านคืนนี้” มาร์คถึงกับโคลงหัว มารดาของเขาไม่คิดจะคุยกับเขาด้วยตัวเองเลยหรือ เรื่องกู้เงินก็ทำโดยไม่ยอมถามไถ่ ไหนจะเรื่องตามตัวกลับบ้านนี่อีก ต้องให้น้องชายตัวดีโทร.มาตาม สงสัยจะกลัวเขาไม่คุยด้วยเสียล่ะมั้ง ถ้าเรื่องกลับบ้านล่ะก็ ใครๆ ก็จะมาบังคับเขาไม่ได้เด็ดขาด คุณแม่คงทราบดีเลยให้น้องชายเป็นคนโทร.มา
“ไม่กลับ ยังกลับไม่ได้ ฉันมีงานสำคัญค้างอยู่”
“งานกกอีหนูน่ะเหรอพี่”
แมต หรือเมฆา บราวน์ รู้ใจพี่ชายยิ่งกว่าใครในโลก เขารู้ว่าพี่ชายมักจะเอางานมาบังหน้า เพื่ออ้างไม่ยอมกลับบ้าน แน่ล่ะ กลับมาก็ต้องโดนสอบสวนทั้งเรื่องงาน เรื่องผู้หญิง ก็พี่ชายของเขาอายุปาเข้าไป 30 แล้ว ยังไม่คิดจะแต่งงานอีก อยากครองตัวเป็นนักธุรกิจหนุ่มโสดฝีมือเยี่ยมต่อไปอีกนานแค่ไหนก็ไม่รู้
“เงียบปากไปเลยแมต งานฉันกองเท่าภูเขา สูงท่วมหัว ไม่เหมือนนายนี่ วันๆ ไม่ต้องทำอะไร เอาแต่วาดรูป พ่อศิลปินเอก”
ปลายสายไม่ได้หัวเสียต่อคำกระแทกแดกดันของพี่ชายเลยสักนิด เพราะรู้ว่าพี่ชายสุดที่รักของเขาไม่คิดจริงตามที่พูด ใครๆ ที่รู้จักสองพี่น้องตระกูลบราวน์จะต้องรู้ว่ามาร์คและแมตรักกันแค่ไหน ถึงแม้ภาพที่เห็นพวกเขาแทบจะไม่มีรอยยิ้มกว้างๆ เปิดให้กัน มีเพียงลักยิ้มบนมุมปากที่เหมือนกันและกดลึกให้แก่กันในบางเวลา ดวงตาและการกระทำเท่านั้นที่ระบายความรักซึ่งมีให้กันตามประสา
“พูดอย่างกับว่านายไม่ใช่ศิลปิน อย่าลืมสิมาร์ค นายเองก็ต้องวาดรูป แถมยังวาดได้ลึกซึ้งกว่าที่ฉันวาดอีก”
“แล้วนี่คุณนายบราวน์มีเรื่องสำคัญหรือเปล่า ถึงต้องให้นายโทร.มาเรียกฉัน ถ้าไม่สำคัญเพราะไม่ยอมโทร.มาบอกเอง ฝากกลับไปบอกด้วยนะ ฉันงอนแล้ว เอะอะๆ ก็ให้คนโน้นคนนี้โทร.มาตาม โทร.มาบอกเรื่อยเลย”
“หึ นายอยากให้คุณนายบราวน์โทร.หางั้นเหรอ ไม่หรอกมั้งพี่ชาย นายน่ะทนฟังเสียงอ่อนเสียงหวานของแม่ได้ไม่นานหรอก”
“หึ หึ สรุปว่า ฉันไม่มีทางเลือกสินะแมต”
“เยสเซอร์ นายไม่เคยมีทางเลือกเรื่องแม่อยู่แล้วนี่ เอาล่ะ อย่าให้คุณแม่ต้องโทร.ไปจิกนายเองนะพี่ชาย น้องชายผู้แสนดีอย่างฉันขอเตือน”
ปลายสายวางหูลงไปแล้ว มาร์คกระตุกยิ้มจนลักยิ้มบุ๋มสองข้างแก้ม ไม่เคยมีครั้งไหนที่เขาจะปฏิเสธความต้องการของพ่อกับแม่ได้เลยสักครั้ง ถึงแม้จะพยายามเลี้ยวลดคดเคี้ยวทำหลงๆ ลืมๆ ไปบ้าง สุดท้ายเขาก็ต้องทำตามความต้องการของท่านอยู่ดี
ดวงตาสีอัลมอนด์หลุบลงมองแฟ้มที่เกือบลืมไปแล้ว ก่อนจะพลิกเปิดไปผ่านๆ เหมือนไม่สนใจอะไร แต่แล้วใบหน้าหวานๆ ของคนในรูปถ่ายใบหนึ่ง ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นรูปถ่ายครอบครัวของเธอ ก็ทำให้เขาต้องหยุดมือลืมเรื่องมารดาไปชั่วคราว
“ใคร”
โจเซฟชะโงกหน้ามองรูปถ่ายในแฟ้มนั้นก่อนจะชักรอยยิ้มบนเรียวปากนิดๆ
“ครอบครัวของมิสเตอร์ฐากูรครับ คนซ้ายคือภรรยา ส่วนคนทางขวาคือลูกสาว”
“ทำไมต้องใส่รูปครอบครัวลงไปด้วย ฉันไม่ต้องการรู้จักใครนอกจากคนที่เป็นลูกหนี้” เสียงเข้มตอบมา แต่ตายังไม่ละไปจากรูปดังกล่าว
“รูปนี้คุณพิซิร่าก็เป็นคนเก็บไว้ครับ ไม่ทราบเหมือนกันว่าเพราะอะไร”
“อย่าบอกนะว่าเรื่องนี้จะเริ่มน้ำเน่าขึ้นมาแล้วน่ะ”
โจเซฟยิ้มแหยๆ เข้าใจดีว่า ‘น้ำเน่า’ หมายถึงอะไร
“แฮะๆ ไม่ทราบสิครับคุณมาร์ค เรื่องนี้คุณพิซิร่าไม่ได้บอกไว้ อ้อ...บางทีเย็นนี้เจ้านายอาจจะรู้อะไรลึกซึ้งมากกว่าตอนนี้ก็ได้นะครับ”
“อืม...ฉันก็สังหรณ์ใจว่าอย่างนั้นเหมือนกัน”
มาร์คพยักหน้า จับจ้องรูปถ่ายใบนั้นอึดใจเดียวก็ปิดแฟ้มดังกล่าว แล้วเริ่มสอบถามงานเคลียร์หนี้ตลอดจนงานของเจมส์บราวน์กับโจเซฟ
คฤหาสน์หรูบนเนื้อที่ 5 เอเคอร์ (1 เอเคอร์ เท่ากับ 2.5 ไร่) บัดนี้ไม่ได้มีแต่ประมุขของตระกูลบราวน์ทั้งสองท่านเท่านั้น แต่ยังมีญาติห่างๆ ของพิซิร่า บราวน์ นั่งล้อมวงอยู่บนโซฟาอิตาลีสีน้ำตาลเหลือบทองสุดหรู ข้างกายของพิซิร่ามีร่างหนาของเดเมียนนั่งอยู่ สายตาสีฟ้าของสามีกำลังจดจ้องไปยังร่างเล็กบอบบางยิ่งกว่าแก้วเจียระไนของเด็กสาววัย 15 ปี ที่เอาแต่กวาดตามองความวิจิตรตระการตาของช่อแชนเดอร์เลียช่อใหญ่ที่ห้อยระย้าอยู่กลางห้องโถง
เด็กสาวที่กำเนิดขึ้นในครอบครัวที่มีฐานะปานกลางไม่เคยเห็นของสวยๆ งามๆ ราคาแพงเช่นนี้มาก่อน ก็ให้ความสนใจมากเป็นพิเศษ บ้านหลังใหญ่มหึมาหลังนี้แตกต่างจากบ้านสองชั้นหลังเล็กของเธอมากมายนัก ผู้ที่เป็นเจ้าของคงมีฐานะร่ำรวยราวกับคาดช้อนเงินช้อนทองมาเกิด
ดวงตาสีอัลมอนด์สวยประหลาดสบตาผู้เป็นประมุขของบ้านอย่างลังเล ไม่แน่ใจว่าควรจะจ้องตาตอบด้วยดีหรือไม่ จากที่บิดามารดาเลี้ยงดูมาอย่างดีอบรมสั่งสอนให้รู้จักมารยาทและฐานะของตน รู้ว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ เมื่อผู้ใหญ่สบตาด้วยก็ไม่ควรจ้องตาตอบ แต่ไม่ควรหลบหนีฉับพลันเพราะเป็นการเสียมารยาท ให้มีรอยยิ้มนิดๆ ในยามที่คิดจะหลบตาท่าน เพื่อให้ท่านไม่ตำหนิเรื่องหลบสายตา
แต่ตอนนี้เด็กหญิงที่กำลังจะใช้นางสาวในอีกไม่กี่วันข้างหน้าไม่กล้าสบตาคู่นั้นเลย ดวงตาที่มีแต่ความรู้ทัน และอาจจะล่วงรู้ไปถึงจิตใจคนมองด้วยซ้ำ แถมยังส่อประกายแปลกๆ ชนิดที่เธอนึกอยากสะท้านขึ้นมาดื้อๆ คล้ายกับยืนอยู่กลางแดดแล้วหลบไปพิงก้อนน้ำแข็งแกะสลักไม่รู้ตัว
“ลูกสาวน่ารักจัง กี่ปีแล้วล่ะคุณฐา” เจ้าของดวงตาสีฟ้าใสไม่ใช่คนถาม แต่เป็นภรรยาหน้าสวยแถมด้วยจิตใจที่เต็มไปด้วยความเอื้ออาทรกล่าวออกมาเสียงหวานเป็นภาษาไทยชัดเจน
ฐิตารีรู้จักทั้งสองท่านจากการบอกเล่าของมารดา ผู้หญิงที่เห็นตรงหน้าเป็นลูกพี่ลูกน้องของมารดา ส่วนผู้ชายก็คือลุงเขยของเธอนั่นเอง ก่อนหน้าจะบินมาอังกฤษ บิดาเล่าให้ฟังแต่ว่ามีเรื่องสำคัญต้องไปทำที่อังกฤษ จะไปคนเดียวก็ได้ แต่คุณลุงคุณป้าอยากเจอหน้าทุกคน สุดท้ายก็ต้องขึ้นเครื่องบินมากันทั้งครอบครัวแบบนี้
“อีก 5 วัน ก็ 15 ปีเต็มแล้วล่ะครับ พี่จันทร์” ฐากูรบอก ละสายตาจากผู้มีศักดิ์เป็นพี่สาวมามองลูกสาวสุดที่รักของตน
“สวย น่ารักแบบนี้หัวกระไดคงไม่แห้งกระมังคุณฐา” พิซิร่าพินิจความงามอันเย้ายวนในวัยแรกแย้มของหลานสาว แล้วให้ปักใจว่าบ้านฐากูรคงหัวบันไดไม่แห้ง สาวน้อยแสนสวยตั้งแต่วัยเพียงแค่นี้เมื่อโตเต็มวัยแล้วจะยิ่งงดงามขนาดไหนคงคิดไม่ถึงกันเลย สวยขนาดส่งขึ้นเวทีประกวดนางงามได้สบายๆ
คุณนายบราวน์เคยเห็นรูปของเด็กสาวมาก่อนหน้านี้แล้ว เห็นในรูปก็ว่าสวย ตัวจริงกลับยิ่งสวยกว่า ความสวยที่น่าหลงใหลนี่เองทำให้เธอตัดสินใจถ่ายโอนภาระหนี้สินของฐากูรให้ไปอยู่ในมือของบุตรชายคนโต ขานั้นอายุมากแล้วก็ยังไม่เห็นมองผู้หญิงแบบจริงๆ จังๆ เลยสักที พ่อแม่รอจนจะรอไม่ไหวแล้ว แก่กว่านี้ก็คงไม่มีเรี่ยวแรงจะอุ้มชูหลานตัวน้อยๆ ไหนจะลูกชายคนเล็กอีก แต่ขานั้นยังรอได้ ค่อยๆ จัดการไปทีละคน
“ไม่ครับพี่จันทร์ ข้าวมีแต่เพื่อนผู้หญิงเท่านั้นที่มาบ้าน ยังไม่เคยเปิดบ้านต้อนรับเพื่อนชายเลยล่ะครับ”
“งั้นเหรอ”
“พิซิร่า คุณกำลังคิดอะไรอยู่ ผมรู้นะที่รัก” เดเมียนตบหลังมือภรรยาสุดที่รักเบาๆ ดวงหน้าคมคายไม่ทิ้งความหล่อเหลาเอาการระบายยิ้มน้อยๆ สบตาภรรยาอย่างรู้ใจตามประสาคนรักปานจะกลืนกิน
พิซิร่าเปิดยิ้มกว้างให้สามี กวักมือเรียกร่างเล็กๆ ให้ขยับตัวเข้าไปหา ฐิตารีเหลียวมองมารดาก่อนจะหันไปสบตาบิดาเล็กน้อย แล้วค่อยๆ ขยับตัวไปนั่งข้างๆ ร่างอวบท้วมตามวัยของคุณนายบราวน์ แววตาสีนิลด้วยเชื้อสายคนเอเซียแท้ๆ จับจ้องมายังหญิงสาวชนิดไม่วางตาราวกับต้องการจะสำรวจลึกไปให้ถึงหัวจิตหัวใจยังงั้น ทำเอาสาวน้อยต้องก้มหน้าหลบสายตาวาววับที่เต็มไปด้วยความพอใจไม่มีปิดบัง
มือขาวอวบเนื้อด้วยทั้งกินดีอยู่ดีไม่เคยกรำงานหนักเชยคางมนขึ้น ฐิตารีไม่มีทางหลบสายตาของท่านได้จึงต้องช้อนตาหวาดหวั่นอย่างไม่แน่ใจจ้องตอบ เกิดมาไม่ใช่ไม่เคยถูกจ้องมองมาก่อน ตรงกันข้ามเธอถูกจับตามองจากใครหลายคนจนแน่ใจด้วยสัญชาตญาณว่าตนเป็นคนสวยดึงดูดสายตาใครต่อใครไม่น้อย ทว่าสายตาของป้าจันทร์ทำให้เธอหวั่นใจอย่างบอกไม่ถูก ดวงตาคู่นี้เหมือนมีอำนาจบางอย่างที่สามารถชี้ขาดชะตาใครหลายคนได้ และเพราะความถือดีที่มีอยู่ในตัวตั้งแต่เกิดทำให้เธอรู้สึกไม่พอใจ แต่ไม่แสดงออก
“ยิ่งใกล้ก็ยิ่งสวย” พิซิร่าเปรยขึ้น
“คุณจ้องเสียขนาดนั้น เดี๋ยวหลานก็อายแย่” สามีออกปากเตือนภรรยา เมื่อเห็นสีหน้าอึกอักของเด็กสาว
ฐิตารีปรายตาเลยมองคุณลุงเดเมียนอย่างรู้สึกขอบคุณ พลางคิดว่าคุณลุงพูดไทยได้ดีทีเดียว เธอสงสัยว่าคนอังกฤษแท้ๆ อย่างคุณลุงไม่น่าจะพูดไทยดีขนาดนี้ แม้จะมีภรรยาเป็นคนไทยก็เถอะ แต่พอคิดว่าธุรกิจคงทำให้คุณลุงต้องพูดได้หลายภาษาเพื่อใช้ในการเจรจาตกลงให้ประสบผลสำเร็จ ก็ไม่แปลกหากคุณลุงจะพูดไทยได้ดี
“ก็หลานฉันสวยเหลือเกินนี่คะ เห็นแบบนี้แล้วอยากมีลูกสาวจังค่ะ”
“ถ้าคุณไม่รีบปิดอู่ เราก็อาจจะมีลูกสาว”
“แหมคุณล่ะก็ หลังจากมีแมต ฉันก็ให้เวลาคุณเกือบสิบปีนะคะ รอจนฉันเบื่อจะรอแล้ว”
“เฮอะ งั้นก็ต้องรอมีลูกสะใภ้ล่ะ” เดเมียนพูดตามความจริง แต่ความจริงนั้นดันไปตรงกับความตั้งใจอยากให้เป็นของศรีภรรยาซะได้
เรียวปากอิ่มเคลือบลิปสติคสีอ่อนยิ้มกว้าง ปล่อยมือจากปลายคางมนเปลี่ยนมาเป็นลูบบ่าเล็กๆ สัมผัสต้องผิวเนียนละเอียดนุ่มขาวของหญิงสาวก็ยิ่งถูกใจ หลุบตามองมือบางเรียวสวยเล็บขาวสะอ้านน่ามอง นี่คงจะสวยไปทั้งร่างเลยสินะ
“หนูจ๊ะ นี่...”
“คุณพ่อคุณแม่ครับ”
สายตาทุกคู่ไม่มีเว้นละสายตาจากภาพตรงหน้าที่กำลังมอง หันไปยังต้นเสียงเห็นร่างสูงของลูกชายคนโตเดินเกี่ยวเสื้อสูทตัวนอกพาดบ่าเข้ามา
“มาแล้วเรอะตามาร์ค”
รูปปั้นของเทพบุตรกรีกมีชีวิตที่กำลังเดินเข้ามาหาเรียกสายตาทุกคู่ให้จับจ้อง ไม่เว้นแม้แต่ฐิตารี สาวน้อยช้อนตามองผู้ชายรูปงามที่ก้าวเข้ามาด้วยท่าทางองอาจ ร่างสูงสมาร์ทดูจะสูงกว่าใครๆ ในที่นี้ ใบหน้าคมคายประกอบด้วยเครื่องหน้าคมเข้มตั้งแต่คิ้วหนาพาดเหนือดวงตาสีอัลมอนด์ จมูกโด่งเป็นสันสูงและริมฝีปากบางเฉียบแต่หยักลึก เธอกำลังชั่งใจกับความหล่อตรงหน้าว่าจะมีมากขนาดไหน แล้วพลันได้เห็นลักยิ้มข้างแก้มทั้งสองข้าง เพียงแค่เรียวปากบางแย้มนิดๆ แก้มของเขาก็บุ๋มลง
พระเจ้า!! บนโลกใบนี้มีเทพบุตรจริงๆ น่ะหรือ?
ดวงตาสีอัลมอนด์เฉกเช่นเดียวกับบิดาจะไม่จับจ้องไปยังคนใดคนหนึ่งเลยถ้าหนึ่งในนั้นจะไม่ใช่สาวสวยตากลมโตคนหนึ่ง เธอนั่งอยู่เคียงข้างมารดาของเขา เธอสะดุดตาเขาตั้งแต่แรกเห็น สวย หวาน อิ่มไปทั้งตัว แม้จะได้เห็นแค่ในระยะห่างเขาก็สัมผัสถึงความเย้ายวนนั้นได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามเลยสักนิด
ใคร?
และพอนึกอะไรบางอย่างได้ ตาคมสีอัลมอนด์ก็เป็นประกายระยับ สาวน้อยร่างอรชรคนนี้คือคนเดียวกับที่อยู่ในรูปใบนั้น มาร์คถอนสายตาจากเธออย่างยากลำบากเพียงเพื่อจะกวาดตามองคนอื่นที่แทบกลายเป็นไร้ตัวตนในช่วงระยะเวลาที่เขามัวแต่เพ่งพิศความเย้ายวนของสาวน้อย
ไม่ผิดแน่ๆ เขาจำนายฐากูรได้เลือนราง ไม่เหมือนที่จดจำสาวน้อยคนนี้ได้ขึ้นใจทั้งๆ ที่พยายามไม่สนใจ แต่ความสะดุดตาก็สะท้อนออกมาจากรูปถ่าย เขากำลังคิดจะตัดใจเพราะเจ้าหล่อนอยู่ไกลถึงเมืองไทย ที่แท้สาวน้อยคนสวยปานนางฟ้าก็อยู่ใต้จมูกของเขานี่เอง
มาร์คดึงเสื้อลงจากบ่าเดินเข้ามานั่งร่วมวงสนทนาสีหน้าดีขึ้นกว่าตอนลงจากรถมากมายนัก เขาลอบมองสาวน้อยไม่วางตา ตั้งใจจะแอบมองแต่ทำไม่ได้เพราะใจไม่อยากละสายตาไปจากเธอ ที่ทำได้คือการเพ่งพิศมองนางฟ้าตัวน้อยข้างกายคุณแม่ตาเป็นประกาย
...สวย...
“รู้จักคุณน้าสิลูก นี่คุณน้าฐากูรเป็นลูกพี่ลูกน้องกับแม่” พิซิร่าตั้งใจพูดภาษาไทยเพื่อทุกคนจะได้ฟังเข้าใจครบคน บุตรชายไม่แม้แต่จะแลตามองแม่ เขามองฐิตารีราวกับถูกสาป นิ่งและนาน ทว่า...มาร์คก็ได้ยินที่มารดาบอก ถึงตาของเขาจะไม่เหลียวมองใครนอกจากนางฟ้า แต่หูของเขาพร้อมจะสดับรับฟังคำเจรจาของทุกคนอยู่ตลอดเวลา
ชายหนุ่มจำต้องถอนสายตาจากน้องฟ้าตัวน้อยอย่างตัดใจ เพื่อจะหันไปทักทายญาติของแม่ทั้งน้าชายและน้าสะใภ้ และเพราะเขาได้รับการสั่งสอนอบรมณ์มารยาทของคนไทยมาจากแม่ตั้งแต่เกิด ทุกคนจึงได้เห็นชายหนุ่มพนมมือไหว้คนเป็นน้าแม้จะไม่อ่อนน้อมและสวยงามเท่าคนไทยแท้ แต่เขาก็ทำได้อย่างน่าชื่นชม
“สวัสดีครับคุณน้า”
“ไหว้พระเถอะหลาน” นายฐากูรรับไหว้ มองหลานชายอย่างชื่นชมอยู่ในใจ
“คุณฐาคงยังไม่เคยเห็นลูกชายพี่ทั้งสองคนสินะ นี่ตามาร์ค ลูกคนโต ส่วนอีกคนเขาชื่อแมต คนที่เพิ่งขับรถออกไปตอนที่คุณมาไงล่ะ” พิซิร่าบอก
“ครับพี่จันทร์ ที่จริงผมไม่คิดว่าลูกชายพี่จะเติบใหญ่ถึงเพียงนี้ อายุคงพอสมควรแล้วสิครับ”
“ตามาร์คอายุ 30 ส่วนนายแมตอายุ 28 สองพี่น้องเขาเกิดห่างกันแค่ 2 ปี โตมาด้วยกันเลยเหมือนเพื่อนกันมากกว่า แต่เสียใจอยู่อย่าง ไม่ยอมหาลูกสะใภ้ให้พ่อกับแม่เสียที”
นายฐากูรและนางกมลาต่างมองหน้ากันเมื่อเห็นสายตาของมาร์คไม่ยอมคลาดไปจากดวงหน้าของบุตรสาวตน ฐิตารีก็ได้แต่หลบตามองมือตัวเอง เด็กสาวอายุแค่ 15 ยังไม่ประสาเรื่องอารมณ์เบื้องลึกเมื่อเจอสายตาชนิดนี้ก็เป็นต้องหลบวูบ ทำอะไรไม่ถูก คนเป็นพ่อแม่ก็ได้แต่ระแวดระวังอยู่ในใจ ไม่อยากให้ลูกกลายเป็นขี้ปากของใครก่อนวัยอันสมควร ถึงแม้คนๆ นั้นจะเป็นมาร์ค บราวน์ ผู้ที่มีทั้งอำนาจและบารมีท่วมท้น
“เดี๋ยวพอถึงเวลาก็มีเองล่ะครับพี่จันทร์ เด็กๆ สมัยนี้ถ้าจะบังคับใจกันยากเสียด้วยนะครับ”
“นั่นสิ นี่ก็ไม่รู้ต้องรออีกนานเท่าไหร่ อ้อ...มาร์ค พ่อกับแม่คิดว่าจะออกไปดินเนอร์นอกบ้าน พวกในครัวจะได้พักเร็วขึ้น ถือโอกาสเปลี่ยนบรรยากาศซะเลย ลูกจะว่าไง”
อีกครั้งที่มาร์คจำต้องถอนสายตาจากนางฟ้า เพียงสบตามารดาแล้วตอบคำถาม
“ผมยังไงก็ได้ครับ แล้วแต่คุณแม่เถอะครับ”
“ฮึ ให้มันแล้วแต่แม่ทุกเรื่องเถอะนะ แม่ล่ะอยากฟังคำนี้มานานแล้ว คุณฐาพากมลากับลูกขึ้นไป อาบน้ำอาบท่าก่อนดีไหม เพิ่งจะมาถึงไม่นาน อาบน้ำจะได้สบายตัวขึ้น แล้วเราค่อยออกไปดินเนอร์กัน” กลางประโยคหันไปขอความเห็นจากนายฐากูร อีกฝ่ายพยักหน้าตอบรับแล้วขอตัวขึ้นไปยังห้องพักก่อน เจ้าของบ้านเรียกให้คนใช้นำทางไปห้องพักที่จัดเตรียมไว้ให้ โดยแบ่งให้ฐากูรกับภรรยาห้องหนึ่ง อีกห้องหนึ่งให้ฐิตารีนอน
“แล้วแกล่ะ จะขึ้นไปอาบน้ำอาบท่าก่อนหรือเปล่าฮึ” มารดาถามบุตรชายหลังจากแขกทั้งสามขึ้นห้องพักไปแล้ว
“ผมไปชุดนี้ก็ได้ครับ ไม่เป็นไร” ร่างสูงลุกขึ้นยืนพาดเสื้อนอกบนพนักโซฟา ก่อนถลกแขนเสื้อเชิ้ตขึ้นไปถึงข้อศอก ไม่ว่าจะอยู่ในชุดไหน เขาก็ย่อมจะดูดีในสายตาคนอื่นๆ เสมอ
“เรื่องคุณฐากูร แกรู้แล้วสินะมาร์ค”
“ครับผมทราบแล้ว” บุตรชายตอบเสียงเรียบ คนรับใช้คนหนึ่งเอาเบียร์เย็นเจี๊ยบมาเสิร์ฟให้อย่างรู้งาน ชายหนุ่มไม่รอช้ายกแก้วเบียร์ขึ้นจิบ
“แล้วว่าไง แกมีอะไรขัดข้องไหมฮึ”
“ไม่ครับ ไม่มี ตามที่คุณแม่บอกไว้ทุกอย่างเลยครับ”
ถ้าโจเซฟมาได้ยินคำตอบของเขาในตอนนี้คงเนื้อเต้น แต่เขาไม่อาจปฏิเสธความต้องการของแม่ได้ต่อไป เพราะมันเหมือนปฏิเสธความต้องการของตนเองด้วย ความต้องการที่บังเกิดขึ้นอย่างฉับพลันปัจจุบันทันด่วน แค่เห็นดวงหน้าพริ้มเพราอ่อนใส เห็นแววตากลมแป๋วเบิกจ้องมองเขาตาไม่กะพริบ เห็นพวงแก้มใสสีชมพูระเรื่อ และสุดท้ายริมฝีปากจิ้มลิ้มคู่นั้นมันยั่วใจเขาได้อยู่หมัดนักเชียว
คนอย่างมาร์ค บราวน์ ไม่เคยยอมรับกับตัวเองง่ายๆ ว่าชอบผู้หญิงคนไหนถึงขั้นปิ๊งปั๊ง เขาคือคนหนุ่มฉกรรจ์วัย 30 เรื่องเพศตรงข้ามไม่เคยขาดหาย แต่เรื่องรักใคร่จริงจังก็ไม่เคยย่างกรายเข้ามาใกล้เช่นกัน ผู้หญิงที่ผ่านมาก็จะผ่านไปเหมือนคลื่นกระทบฝั่ง พวกหล่อนไม่เคยมีอิทธิพลต่อความรู้สึกของเขาแม้แต่น้อย เงินตัวเดียวที่เขาจะให้พวกผู้หญิงหิวเงินก็ตรงกับความต้องการของพวกหล่อนนั่นแล ไม่เหมือนแม่สาวน้อยที่เพิ่งจะเห็นหน้าค่าตากันไม่กี่นาทีนี้ เธอมีอิทธิพลทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“เห็นแม่หนูคนนั้นแล้ว รู้สึกยังไงบ้าง” พอได้ยินภรรยาถาม สามีก็ต้องวางแก้วชาลงแล้วจับตามองปฏิกิริยาของบุตรชายที่นั่งอยู่ไม่ไกล
“น่ารักดีครับ” มาร์คตอบตรงกับความคิดแต่ยังไม่ทั้งหมด เขารอฟังคำถามต่อไปของมารดาอย่างรู้จักท่านดีเท่าๆ กับอายุของเขา
“ชอบมั้ย” นั่นไง ไม่ผิดกับที่คิดไว้เลยเชียว
“ครับ” คนเป็นลูกตอบสั้นๆ จิบเบียร์เย็นๆ ติดต่อกันราวกับมันอร่อยนักหนา รสขมเย็นเฉียบไม่อาจต้านทานแรงปรารถนาในตัวสาวน้อยคนนั้นได้ เขาไม่เคยมีอาการแบบนี้มาก่อน ให้ตายสิ! ถ้าปล่อยให้เธอมีอิทธิพลต่อหัวใจของเขามากกว่านี้ เขาอาจจะเสียการควบคุมตัวเองในไม่ช้า
“น้องเพิ่งจะ 15 ยังเด็กอยู่มากสำหรับคนไทย พ่อกับแม่ของเค้าก็คงจะหวงและห่วงไม่น้อย”
“แล้วคุณแม่มาบอกผมทำไมล่ะครับ ถ้าคิดว่าเธอเด็กเกินไป”
“ลูกพูดแบบนี้ แสดงว่าถึงเด็กก็ไม่เกี่ยงงั้นเรอะ”
“คุณแม่ครับ ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเป็นตาแก่หัวงูหรอกนะครับ แต่เมื่อคุณแม่ถาม ผมก็ต้องตอบ”
“สรุปว่าชอบมากพอจะให้เป็นลูกสะใภ้ของแม่ได้มั้ย”
มาร์คแทบจะสำลักเบียร์ที่กำลังจิบลงคอติดๆ กัน เขาปรารถนาในตัวเด็กคนนั้นมากก็จริง แต่เรื่องจะให้เด็กสาว 15 มาเป็นแม่ของลูก คงต้องคิดหนักสักหน่อย ทว่า...สิ่งที่อยู่ในใจของเขามันทำปฏิกิริยารุนแรงกับแค่คิดว่าจะต้องคิดให้หนักถ้าจะเอาเด็กนั่นทำเมีย หัวใจของเขาไม่ยอมให้ปฏิเสธ แล้วเขาเล่าจะฝืนใจตัวเองไหวไหม
“คงต้องรอนานหน่อย กว่าเธอจะโตเต็มวัย” มาร์คไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ แต่ให้เหตุผลมารดากับความต้องการของท่าน ซึ่งก็คือความปรารถนาของเขา
“รอกว่าจะเรียนจบต่างหาก ถ้าลูกพอใจ แม่ก็พร้อมจะรอ” แล้วคำตอบของคุณนายบราวน์ก็ทำเอาบุตรชายต้องหรี่ตามองมารดาอย่างพิจารณาใหม่
“นานนะครับ”
“ก็ถ้าเป็นหนูฐิตารีล่ะก็ พ่อกับแม่รอไหว แต่ถ้าไม่ใช่ แกคงต้องรีบหน่อยเพราะแม่จะไม่รออุ้มหลานแล้ว”
“แต่ว่า...” มาร์ครู้สึกสับสนกับความอดทนของคุณแม่เหลือเกิน จะลูกสะใภ้คนไหนก็น่าจะรอได้เท่าเทียมกันไม่ใช่เหรอ แต่เอาเถอะ ในเมื่อคนนี้ถูกใจเขาเข้าอย่างจัง บางทีการรอคอยก็ดูจะคุ้มค่ากว่าที่ต้องหยิบฉวยคนอื่นมาทำแม่ของลูกก็ได้
“ไม่มีแต่ตามาร์ค แม่จัดการขั้นแรกให้แกเรียบร้อยแล้ว ที่เหลือแกต้องจัดการเอง หวังว่าแกจะไม่ทำให้แม่ต้องผิดหวังนะ”
บุตรชายได้ยินดังนั้นก็เบือนสายตามองบิดาที่เอาแต่นั่งเงียบไม่ออกความเห็น เดเมียนสบตาบุตรชายที่จ้องมองราวกับจะขอความเห็น แต่เขาก็ขัดใจภรรยาสุดที่รักไม่เป็นด้วยสิ จึงทำได้แค่เบือนหน้าหนีจิบชาร้อนๆ ต่อไป
ขนาดบิดายังพร้อมจะยกธงขาวให้มารดาของเขาทุกเมื่อ แล้วตัวเขาล่ะ งานนี้เห็นทีจะเป็นงานหนักเสียแล้ว มาร์คหลับตาเอนหลังพิงพนักนึกถึงภาพงานหนักที่ว่า นั่นก็คือการรอคอย ตอนนี้ 15 กว่าจะเรียนจบก็คง 6 ปี สรุปว่าเขาต้องรอนานถึง 6 ปีสินะ
บ้าจริง มาเกิดนึกปิ๊งเด็กสาวเอาอะไรตอนนี้วะ นั่นน่ะยังเด็กนะเว้ย!!!
พิซิร่าเห็นท่าทางลูกชายก็กลั้นยิ้มจนแก้มป่อง ถ้าเธอเป็นแม่ที่ไม่รู้ใจลูกก็คงผิดแม่ไปหน่อยกระมัง สายตาของมาร์คจ้องฐิตารีราวกับจะกลืนกิน แสดงออกชัดเจนว่ารู้สึกยังไงกับเด็กสาว แม้จะรู้สึกว่ามันเร็วไปสักนิดกับความรู้สึกแบบนั้นก็เถอะ แต่รักแรกพบมันมีอยู่จริงนี่นา เหมือนเธอรักเดเมียนก็เป็นรักแรกพบสบตาเหมือนกัน ตอนนั้นเดเมียนก็จ้องเธอเหมือนไม่เคยเห็น จ้องเอาๆ จนเธอไม่รู้จะซุกหน้าไปซ่อนไว้ตรงไหน หลังจากนั้นเธอก็ถูกเดเมียนรุกไล่จนหนีไม่พ้น ที่จริงไม่อยากหนีเลยต่างหาก ก็เพราะเธอเพิ่งรู้จักกับคำว่า ‘รักแรกพบ’ มันเป็นยังไงเท่านั้นเอง
แล้วถ้ามาร์คจะเจอรักแรกพบขึ้นมาบ้างจะเป็นไร
