ตอนที่ 4
ความมืดเริ่มโรยตัวลงมาปกคลุมท้องฟ้าจนไม่นานก็เห็นแสงเดือนแสงดาวและแสงไฟที่สาดส่องสว่างอยู่รอบๆ เรือนไม้หลังเล็กโอบล้อมด้วยรั้วอิฐเต็มไปด้วยไม้เลื้อยไม้ดอกแน่นขนัด เสียงกอกแกกดังอยู่ที่รั้วก่อนที่บานประตูจะอ้าออก ร่างบางระหงในชุดผ้าป่านมัสลินสีน้ำเงินเข้มก้าวเข้ามาอย่างเงียบๆ จนเมื่อลงกลอนแล้วจึงได้ยินเสียงใครคนหนึ่งดังมาจากในตัวบ้าน
“มีมี่....กลับมาแล้วหรือลูก”
“ค่ะแม่”ลักษมีตอบกลับไปอย่างเนือยๆ เมื่อผลักประตูบ้านเข้าไปจึงเห็นมารดาในชุดนอนในมือมีหนังสือเล่มหนึ่งนั่งอยู่ที่โซฟาห้องรับแขก
“วันนี้ไปสมัครงานที่ไหนมา ลูกดูเหนื่อยๆ นะ”
หญิงสาวก้มลงถอดรองเท้าก่อนจะก้าวเข้าไปแล้วทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ มารดา
“หนูไปสมัครงานที่รีสอร์ทกำลังจะเปิดใหม่ค่ะ...ชื่อ...อชันตารีสอร์ท เขาเปิดรับพนักงานหลายตำแหน่ง ก็คงต้องคอยสักพักเขาถึงจะเรียกไปสัมภาษณ์ แม่ล่ะคะ แม่ยังไออยู่รึเปล่าวันนี้หยุดไปสอนแล้วค่อยยังชั่วมั๊ยคะแม่”
มิ่งขวัญยิ้มรับแทนคำตอบ ดวงตากลมบนใบหน้าเรียวเล็กจ้องมองบุตรสาวอย่างเลื่อนลอย มีอะไรบางอย่างแฝงอยู่ในแววตาแสนเศร้าของหญิงวัยกลางคน นางถอนหายใจก่อนจะยกมือขึ้นลูบผมบุตรสาว “แม่ขอโทษลูก แม่ทำให้ลูกต้องลำบาก ชีวิตของแม่มีลูกอยู่คนเดียว แต่แม่ก็ไม่อาจจะทำให้ลูกของแม่มีความสุขได้ แม่ขอโทษ”
“ไม่ค่ะแม่ แม่อย่าโทษตัวเองเลย ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากความสมัครใจของหนูเอง ดีแล้วค่ะแม่ ถ้าแม่ไม่เตือนหนู หนูก็คงอยู่ในโลกแห่งความฝัน ไม่ยอมตื่นขึ้นมารับรู้โลกแห่งความจริงเสียที”
“โลกแห่งความจริงที่มันโหดร้าย....”
“แต่หนูก็ต้องยอมรับมันอยู่ดี...อย่าคิดถึงมันอีกเลยค่ะแม่ แม่ไม่สบายอยู่ แม่พักผ่อนมากๆ นะคะ เดี๋ยวหนูจะไปอาบน้ำก่อน อ้อ...แม่ทานยารึยัง”
มิ่งขวัญพยักหน้ารับ คล้อยหลังที่บุตรสาวเดินเข้าห้องนางก้มลงมองผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยในมือที่ค่อยๆ คลายออกหลังจากกำไว้แน่น บนเนื้อผ้าบางสีขาวมีรอยเลือดสีแดงสดหยดเล็กๆ ติดอยู่ น้ำหยดหนึ่งไหลลงมาตามร่องแก้มที่มีริ้วรอยของการผ่านช่วงชีวิตมานาน มิ่งขวัญหลับตาลงหัวใจล่องลอยไปถึงเหตุการณ์ในวันนั้น วันที่ครูจนๆ อย่างมิ่งขวัญได้พบกับผู้หญิงคนหนึ่งอายุรุ่นราวคราวเดียวกันแต่ฐานะสูงส่งและร่ำรวยล้นฟ้า
“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าคุณคือคุณมิ่งขวัญ เศรษฐกรใช่มั๊ยคะ”
ผู้หญิงคนนั้นสร้างความฉงนฉงายให้แก่ใครหลายๆ คน ด้วยการไปพบถึงห้องพักครูในโรงเรียนที่มิ่งขวัญทำงานอยู่ เบื้องหลังกรอบแว่นสีดำอันโตเป็นใบหน้าของหญิงวัยกลางคนที่ยังคงความงามด้วยมิต้องกรำงานหนัก ริมฝีปากเคลือบด้วยลิปสติกสีแดงเลือดนก จมูกโด่งแม้อายุมากแล้วแต่แก้มก็ยังเรื่อด้วยบลัชออนสีชมพูกุหลาบ
“สวัสดีค่ะ ดิฉันเองค่ะ มิ่งขวัญ ไม่ทราบว่า.......”
“ดิฉัน....คุณหญิงปารมี วิเศษณ์ธาดา เป็นเจ้าของดิย่ารีสอร์ท”
อีกฝ่ายชิงตัดบทก่อนจะกรีดนิ้วประดับแหวนพลอยบุษราคัมเม็ดเขื่องไปบนแว่นตาก่อนจะดึงออกเผยให้เห็นดวงตาคมทว่าเจือด้วยแววเย็นชาในที ร่างบางในชุดผ้าไหมราคาแพงระยับนั่งลงบนเก้าอี้อีกฝั่งหนึ่งที่โต๊ะทำงานของมิ่งขวัญซึ่งอยู่ในชุดข้าราชครู บรรยากาศรอบๆ เงียบงัน ไม่มีใครอยู่เพราะเป็นเวลาพักเที่ยง แม้จะอยู่กันแค่สองคนในห้องกว้าง แต่มิ่งขวัญกลับรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
“ดิฉันจะไม่พูดอ้อมค้อมให้เสียเวลา จะรบกวนเวลาคุณเพียงเล็กน้อย เรื่องลูกสาวของคุณ”
“ลูกสาวของดิฉัน....มีมี่ทำอะไรผิดหรือคะ เขาทำงานที่รีสอร์ทของคุณใช่ไหมคะ เขาทำอะไรผิดรึเปล่า....รึว่า.....”
“มันไม่เกี่ยวกับเรื่องงาน แต่มันเกี่ยวกับลูกชายของฉัน ฉันรู้มาว่าเขาสองคนคบกัน ดิฉันต้องขอพูดตามตรงนะคะ ในฐานะของคนเป็นแม่ก็ย่อมอยากเห็นอนาคตที่ดีของลูก ดิฉันมีลูกชายอยู่สองคน ราชเป็นคนสุดท้อง พี่ชายเขาก็ไปทำรีสอร์ทอยู่เชียงใหม่ ฉะนั้นความหวังเดียวของดิฉันตอนนี้อยู่ที่ตาราช คุณคงเข้าใจหัวอกคนเป็นแม่ด้วยกัน คุณก็รักลูกของคุณเหมือนอย่างที่ฉันรัก อยากเห็นอนาคตที่สวยงามของลูก อยากเห็นเขาอยู่กับคนที่เหมาะสม เหมาะควร”
ความเงียบล่องลอยอยู่รอบๆ คนทั้งสอง แต่ในหัวใจของคนเป็นแม่อย่างมิ่งขวัญอื้ออึงด้วยเสียงแห่งความไม่เข้าใจ ทว่ามันก็เป็นเสียงที่ดังอยู่ภายในเท่านั้น”
“คุณหญิงกำลังจะบอกว่า เขาทั้งสองไม่มีอะไรที่เหมาะสมหรือคู่ควรกัน อย่างนั้นใช่ไหมคะ”
ลำคอระหงของคุณหญิงปารมีตั้งตรงบนไหล่ที่ผึ่งผายราวจะแสดงให้อีกฝ่ายทำความเข้าใจกับความสูงส่งที่ตนมี คางนั้นเชิดอยู่เป็นนิจแสดงถึงความทะนงตนว่าอยู่เหนือผู้ใดเสมอมา มิ่งขวัญรู้สึกเหมือนตัวเองหดเล็กลงเมื่อเทียบกับผู้หญิงเจ้ายศเจ้าอย่างคนนี้ที่อยู่ตรงหน้า
