บทที่ 5
กฤษฎาเองก็เดินไปนั่งไขว่ห้างที่โซฟาตรงข้าม พร้อมกับแนะนำให้หญิงสาวรู้จักกับสองสามีภรรยาที่มีหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยบนเกาะแห่งนี้
“นี่ลุงอานนท์และป้าจุรีซึ่งเป็นคนดูแลความเรียบร้อยที่นี่ ส่วนนั่นอ้อลูกของลุงนนท์กับป้าจุรี”
ณิชชาพัชร์เอ่ยทักทายทุกคนพร้อมรอยยิ้ม จากท่าทีที่เปลี่ยนไปจากเดิมโดยสิ้นเชิงของหญิงสาว ได้สร้างความประหลาดใจให้ครอบครัวของอานนท์ เพราะการพบเธอในแต่ละครั้งที่ผ่านมาหญิงสาวจะถือตัวว่าเป็นคนรักของการันต์ ซึ่งถือเสมือนเป็นเจ้านายคนหนึ่ง เธอจึงจิกหัวใช้คนงานทุกคนได้ตามใจชอบ เมื่อไม่พอใจก็จะอาละวาดด่าทอจนคนงานทุกคนล้วนเข็ดขยาด จนไม่มีใครอยากเข้าใกล้หรือคอยรับใช้เธอ
“ความจริงคุณกฤษไม่จำเป็นต้องแนะนำให้พวกเรารู้จักกันหรอกค่ะ เพราะคุณพัชร์เธอรู้จักพวกเราดีอยู่แล้ว”
จากคำพูดของอ้อสร้างความงุนงงให้ณิชชาพัชร์ได้ไม่น้อย คิ้วเรียวสวยของเธอขมวดเข้าหากัน เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดเหมือนว่าเธอเคยรู้จักและเคยพบกันมาก่อนหน้านี้ ทั้งที่ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่เธอได้เหยียบย่างมาที่เกาะแห่งนี้ ความคิดของณิชชาพัชร์ต้องสะดุดหยุดลง เมื่อได้ยินคำสั่งที่หลุดออกจากปากของชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้า
“นับจากนี้ไปคุณจะต้องช่วยงานป้าจุรี”
“งานอะไร!”
“ก็ทำงานทุกอย่างตามที่ผมสั่ง ไม่ว่าจะเป็นการทำความสะอาด ซักรีดเสื้อผ้า หุงหาอาหาร และผมจะให้อ้อคอยติดตามและคอยควบคุมให้คุณทำทุกอย่างตามคำสั่งของผม”
“ฉันไม่ใช่นักโทษจึงไม่จำเป็นต้องมีคนมาคอยคุมความประพฤติ”
“ใครบอกว่าคุณไม่ใช่...ตอนนี้คุณเป็นนักโทษของผม”
“คุณไม่มีสิทธิที่จะมากักขังหน่วงเหนี่ยวอิสรภาพของฉัน ถ้าฉันหนีรอดไปได้เมื่อไรคุณได้เข้าไปนอนเล่นคุกแน่นอน”
“ฝันหวานมากเกินไปหรือเปล่า ที่คิดว่าคุณจะรอดพ้นเงื้อมือผมไปได้ ถ้าฝันอยู่ก็รีบตื่นมารับรู้ความเป็นจริงได้แล้ว ผมจะบอกอะไรให้นะคุณจะต้องอยู่ที่นี่เพื่อชดใช้หนี้กรรมที่คุณเคยก่อไว้จนกว่าผมจะพอใจ คุณถึงจะมีสิทธิออกไปจากที่นี่ได้”
“ถึงคุณจะกักขังฉันไว้ที่นี่ฉันก็จะหาทางหนีรอดไปจนได้ไม่เชื่อก็คอยดู และถ้าฉันหนีรอดไปได้เมื่อไรคุณได้เข้าไปใช้ชีวิตในคุกแน่”
“ผมเตือนคุณแล้วนะว่าอย่าลองดีกับผม แต่ถ้าคุณยังไม่เชื่อกันละก็ผมคงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องล่ามคุณเอาไว้ คุณอยากจะมีอิสระเดินไปเดินมาได้ในบริเวณที่ผมจำกัดไว้ให้ หรืออยากจะให้ผมล่ามโซ่คุณไว้ก็เลือกเอา”
ณิชชาพัชร์ประสานสายตาคมกล้าของกฤษฎา และตั้งใจว่าจะไม่ยอมตกเป็นเบี้ยล่างของเขาโดยเด็ดขาด แต่ตอนนี้คงต้องยอมไปก่อนเพื่อหาทางหนีเอาตัวรอดออกไปจากที่นี่ บางทีอาจจะต้องขอความช่วยเหลือจากคนที่อาศัยอยู่ที่เกาะนี้ให้ช่วยพาเธอหนี แต่ดูเหมือนกฤษฎาจะรู้เท่าทันความคิดของณิชชาพัชร์เขาจึงเอ่ยเตือนเธอ
“อย่าคิดที่จะติดสินบนคนบนเกาะนี้ เพราะคนที่นี่ทุกคนเป็นคนของผม พวกเขาไม่มีทางทรยศผมแน่ เพราะฉะนั้นเลิกหวังไปได้เลยที่จะไปขอความช่วยเหลือจากเขา หรือคิดที่จะให้พวกเขาพาคุณหนีออกไปจากเกาะ บอกได้เลยว่าเสียเวลาเปล่า”
สองหนุ่มสาวต่อปากต่อคำกันโดยลืมนึกไปว่ายังมีอีกสามคนยืนอยู่ในที่นั้นด้วย
“วันนี้ผมจะให้คุณพักแต่พรุ่งนี้คุณจะต้องไปช่วยป้าจุรีทำงาน ขอเตือนว่าถ้าไม่อยากเจ็บตัวก็อย่าขัดคำสั่งผม”
“ลุงนนท์ ป้าจุรี และอ้อจะไปทำอะไรก็ตามสบายนะครับ ทางนี้ผมจัดการเอง”
สามพ่อแม่ลูกรับคำและเดินออกจากเรือนพักของเจ้านายหนุ่มทันที ระหว่างทางที่เดินกลับที่พักของตนเองนั้นอ้อได้ตั้งข้อสังเกตถึงท่าทีที่เปลี่ยนแปลงไปของณิชชาพัชร์
“น่าแปลกนะพ่อทำไมคุณพัชร์ถึงทำเหมือนไม่เคยรู้จักเรามาก่อน”
“นั่นสิฉันเองก็รู้สึกแปลกใจอยู่เหมือนกัน”
“ใครจะไปรู้เหตุผล...บางทีเราอาจจะไม่ใช่คนสำคัญที่เธอจะต้องมาจดจำล่ะมั้ง”
“หรือว่าสมองของคุณพัชร์จะมีปัญหา”
“สมองเอ็งนะสิที่มีปัญหานังอ้อ”
“ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุผลนี้แล้วทำไมคุณพัชร์ถึงทำเหมือนจำพวกเราไม่ได้ละแม่ ฉันสันนิฐานว่าคุณพัชร์อาจจะสะดุดล้มหัวฟาดพื้นอย่างแรง พอฟื้นขึ้นมาก็เลยความจำเสื่อม”
“พอเลยเลิกเพ้อเจ้อได้แล้ว และก็รีบไปช่วยแม่เองเตรียมอาหารเย็นให้คุณกฤษกับคุณพัชร์โน่นไป” อานนท์เอ่ยปรามลูกสาวของตนเอง
“ฉันไม่ได้พูดเพ้อเจ้อนะพ่อ ลองคิดดูสิถ้าไม่ใช่เพราะเหตุผลนี้ ทำไมคุณพัชร์ถึงทำราวกับว่าไม่เคยรู้จักพวกเรามาก่อนล่ะ ทั้งที่เธอเองก็เคยมาค้างที่นี่กับคุณการันต์ตั้งหลายครั้ง จิกหัวใช้พวกเราหรือก็บ่อย ถ้าไม่เป็นเพราะความจำเสื่อมแล้วจะเป็นเพราะอะไร”
“ก็จริงของมันนะ” จุรีเริ่มมีความคิดเห็นคล้อยตามคำพูดของลูกสาว
“อย่าไปฟังคำพูดเหลวไหลเหล่านี้เลย คนที่สมองมีปัญหานะคือมันไม่ใช่คุณพัชร์ พักเรื่องนี้ไว้ก่อนและไปเตรียมอาหารเย็นให้เจ้านายได้แล้ว”
“ฉันจะพูดอะไรหรือทำอะไรก็ไม่เคยถูกใจพ่อสักที”
“ก็เอ็งมันชอบพูดจาเพ้อเจ้อและชอบยุ่งเรื่องของเจ้านาย ข้าก็เลยต้องพูดเตือนสติเอ็งบ่อย ๆ”
อ้อแอบหันไปเบ้ปากโดยไม่ให้พ่อเห็นก่อนจะเดินตามแม่เข้าไปในครัว เพื่อเตรียมอาหารมื้อเย็นให้ เจ้านายทั้งสอง
