บทที่ 1
อาการเคลื่อนไหวโคลงเคลงไปมาเบา ๆ ของอะไรสักอย่างทำให้ณิชชาพัขร์รู้สึกตัวตื่น เธอลืมตาขึ้นช้า ๆ และมองไปโดยรอบก่อนจะสะบัดศีรษะชองตนเองแรง ๆ เมื่อต้องพบกับบรรยากาศที่ไม่คุ้นเคย
“ที่นี่คือที่ไหน!? เรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไงหรือว่าจะฝันไป”
ณิชชาพัชร์พึมพำออกมาพร้อมกับหยิกแขนตัวเองไปด้วย เมื่อรู้สึกเจ็บจึงรู้ว่าตนเองนั้นไม่ได้ฝัน แต่ไอ้อาการไหวโยกไปโยกมานี่ล่ะมันคืออะไร เธอก้าวลงจากเตียงเพื่อเดินตรงไปแหวกม่านออกดู และก็ต้องตกใจเมื่อเห็นน้ำทะเลไกลสุดตา หญิงสาวพยายามที่จะทบทวนว่าถูกนำตัวมาที่นี่ได้อย่างไร และเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านี้แต่คิดเท่าไรก็คิดไม่ออก จำได้แค่เพียงว่าพี่ภาขอร้องให้เธอไปร่วมงานปาร์ตี้แห่งหนึ่งแทนเธอ ในตอนแรกหญิงสาวก็ปฏิเสธแต่สุดท้ายก็ทนเสียงรบเร้าของพี่สาวไม่ไหว จึงยอมไปร่วมงานปาร์ตี้ตามที่เธอขอร้อง และดื่มเครื่องดื่มไปเพียงหนึ่งแก้วจากนั้นก็ไม่รู้เรื่องอีกเลย มารู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าตนเองนั้นถูกพาตัวมาอยู่บนเรือลำนี้ โดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร มีคำถามมากมายผุดขึ้นมาในหัวของเธอ
‘ใครเป็นคนจับตัวเรามาที่นี่และเขาต้องการอะไร ใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ พี่ภาจะรู้เห็นเป็นใจกับเขาด้วยหรือไม่ เห็นทีเรื่องนี้ต้องมีคำตอบ’
เท้าไวเท่าความคิดณิชชาพัชร์ก้าวออกห้องนั้นไปเพื่อสำรวจตามจุดต่าง ๆ เธอไม่พบผู้ใดอยู่ในเรือลำนี้ จวบจนกระทั่งเธอเดินขึ้นไปบนดาดฟ้าของเรือ จึงรู้ว่าเรือยอร์ชหรูหราราคาแพงลำนี้กำลังลอยอยู่กลางทะเลน้ำคงจะลึกมาก ลมก็แรงมากจนพัดเส้นผมของเธอปลิวกระจาย ถ้าเป็นเวลาปกติเธอก็คงจะดื่มด่ำกับธรรมชาติที่สวยงามตรงหน้านี้อย่างเพลิดเพลิน ท้องฟ้ากว้างกับทะเลสีครามบวกกับกระแสลมที่พัดแรงรวมถึงอากาศที่บริสุทธิ์ซึ่งหาได้ยาก บรรยากาศแบบนี้เหมาะแก่การพักผ่อนที่สุด ในขณะที่กำลังยืนดื่มด่ำกับธรรมชาติที่สวยงามตรงหน้าอยู่นั้น เธอก็ได้ยินเสียงของใครบางคนที่จงใจพูดกับเธอ
“รู้สึกตัวแล้วหรือ”
ณิชชาพัชร์หันกลับไปมองตามทิศทางของเสียงเย็นชานั้นทันที และก็พบกับผู้ชายหน้าตาดีคนหนึ่งซึ่งเธอไม่เคยคุ้นหน้าเขามาก่อน เขาเป็นชายหนุ่มนัยน์ตาสีดำสนิทเช่นเดียวกับสีผม หน้าตาของเขาจัดได้ว่าหล่อคมเท่ห์และมีเสน่ห์แม้แต่ยามที่อยู่นิ่ง ๆ จมูกโด่งเป็นสันรับกับรูปหน้า และมีรูปร่างสูงแข็งแกร่งคะเนจากสายตาความสูงของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าร้อยแปดสิบ
“คุณเป็นใคร!?”
“ผมเป็นใครไม่สำคัญคุณไม่จำเป็นต้องรู้”
“ถ้าอย่างนั้นฉันเปลี่ยนคำถามใหม่ คุณใช่ไหมที่เป็นคนลักพาตัวฉันมาที่นี่”
“ใช่ผมเป็นคนพาตัวคุณมาที่นี่เอง”
“มีจุดประสงค์อะไรถึงทำเช่นนั้น”
“ตอนนี้คุณยังไม่จำเป็นต้องรู้เหตุผล แต่ขอให้จำไว้ว่าตั้งแต่นี้เป็นต้นไปคุณจะต้องอยู่กับผม และทำทุกอย่างตามที่ผมสั่ง”
“เชอะ! น่าขำทำไมฉันจะต้องทำตามคำสั่งของคุณด้วย คุณคิดว่าคุณเป็นใคร มีสิทธิอะไรมาสั่งฉัน”
“ผมขอเตือนคุณด้วยความหวังดี อย่าพยายามขัดคำสั่งหรือกวนประสาทผมเด็ดขาด มิฉะนั้นคุณจะเจ็บตัว”
ณิชชาพัชร์รู้สึกหมั่นไส้หน้าตาบึ้งตึงของอีกฝ่าย รวมไปถึงน้ำเสียงที่ฟังดูเย็นชาราวกับน้ำแข็งขั้วโลกเหนือของเขา คนอย่างเธอไม่ยอมให้ใครมาสั่งอยู่แล้ว โดยเฉพาะคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเช่นเขา หญิงสาวพยายามระงับความโกรธเพราะเธอต้องการที่จะพูดกับเขาให้รู้เรื่อง
“ฉันมั่นใจว่าเราไม่เคยรู้จักกัน และฉันก็ไม่เคยมีเรื่องผิดใจกับคุณมาก่อน ก็เลยไม่รู้เหตุผลที่คุณจับตัวฉันมา บางทีคุณอาจจะเข้าใจอะไรผิดพลาดไปก็เลยจับมาผิดคน”
กฤษฎายิ้มเยาะความคิดของอีกฝ่าย “ผมไม่โง่จับมาผิดคนแน่ คนที่ผมต้องการตัวคือผู้หญิงที่ชื่อณิชชาพัชร์ รุจน์สุธิตานนท์ คุณชื่อณิชชาพัชร์หรือเปล่าล่ะ”
“ใช่ณิชชาพัชร์เป็นชื่อของฉันแล้วไง ฉันไปเหยียบเท้าคุณตอนไหน คุณถึงได้เจ้าคิดเจ้าแค้นพาลหาเรื่องจับตัวฉันมาแบบนี้ ถ้าฉันทำอะไรให้คุณไม่พอใจละก็ฉันขอโทษ”
ณิชชาพัชร์ยอมเป็นฝ่ายเอ่ยปากขอโทษเขาก่อน ทั้งที่เธอมั่นใจเกินร้อยว่าไม่เคยทำอะไรให้เขาขุ่นข้องหมองใจมาก่อน แต่ที่ต้องทำเช่นนั้นเพราะต้องการให้เรื่องทุกอย่างมันจบ สายตาของชายหนุ่มยามที่มองมาที่เธอนั้นราวกับจะกินเลือดกินเนื้อเธอ
“คิดว่าพูดขอโทษแล้วทุกอย่างมันจะจบลงง่าย ๆ อย่างนั้นหรือ ความผิดที่คุณก่อไว้กับการันต์มันเลวร้ายมากเกินกว่าจะได้รับการอภัย ในเมื่อกฎหมายทำอะไรคุณไม่ได้ ผมนี่แหละที่จะพิพากษาความผิดของคุณด้วยตัวเอง”
เขาเดินย่างสามขุมตรงเข้ามาหาหญิงสาวช้า ๆ อย่างคุกคามอยู่ในที ทำให้เธอต้องก้าวถอยหลังไปทีละก้าวเช่นกันถอยไปจนไม่สามารถถอยหนีไปไหนได้อีก ณิชชาพัชร์จึงฮึดสู้ทำไมเธอจะต้องกลัวการข่มขู่คุกคามของชายหนุ่มตรงหน้าด้วย ในเมื่อเธอมั่นใจว่าเธอไม่ได้ทำอะไรผิด
“ก่อนที่คุณจะกล่าวโทษฉันคุณควรจะบอกให้ฉันรู้ถึงความผิดที่ฉันก่อขึ้นก่อนจริงไหม”
“ถ้าคุณจำไม่ได้ว่าที่ผ่านมาได้ทำความเลวอะไรไว้บ้าง ผมก็จะเตือนความทรงจำให้คุณเอง แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ไว้ถึงเวลาที่เหมาะสมเมื่อไรผมจะบอกคุณ”
พูดจบเขาก็เดินหันหลังจากไป แต่ณิชชาพัชร์ไม่ยอมปล่อยให้เขาเดินจากไปง่าย ๆ เธอรีบเดินไปดักหน้าเขาไว้
“จะรีบไปไหนเรายังคุยกันไม่รู้เรื่องเลยนะ”
“ผมไม่มีอะไรจะพูดกับคุณหลีกไป”
“ไม่หลีกจนกว่าคุณจะบอกฉันว่าคุณต้องการอะไรกันแน่ หรือไม่คุณก็ต้องฟังสิ่งที่ฉันพูดให้จบซะก่อน ฉันขอสั่งให้คุณพาฉันกลับกรุงเทพฯ เดี๋ยวนี้โดยไม่มีข้อแม้”
“ถ้าผมจะทำเช่นนั้นก็คงจะไม่เสียเวลาไปลักพาตัวคุณมาที่นี่ อย่าพยายามเลยไม่มีประโยชน์หรอก เพราะถึงยังไงผมก็จะไม่ยอมปล่อยคุณไปแน่”
“ฉันจะแจ้งตำรวจ”
กฤษฎาหัวเราะเหมือนขบขันกับคำพูดของเธอ แต่สายตาของเขานั้นไม่ได้บ่งบอกเลยว่ากำลังขบขัน และทั้งที่เป็นคำขู่แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกกลัวเลยสักนิด เขาชะโงกตัวเข้าไปใกล้ณิชชาพัชร์ใกล้จนเธอได้กลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ ยี่ห้อดังที่ผู้ชายส่วนใหญ่นิยมใช้จากตัวเขา
“คุณจะแจ้งจับผมด้วยข้อหาอะไรมิทราบ อย่าบอกนะว่าข้อหาพรากผู้เยาว์ ผมรู้ว่าอายุของคุณมันเลยขีดอันตรายนั้นมานานแล้ว แต่ก่อนที่จะคิดว่าจะแจ้งความจับผมในข้อหาอะไรเอาตัวคุณให้รอดก่อนดีไหม” เขาพูดพร้อมกับยิ้มเยาะอีกฝ่าย
“คอยดูนะถ้าฉันหนีไปได้เมื่อไรฉันจะแจ้งความทันทีว่าคุณลักพาตัวฉันมา ให้ตำรวจเขาลากตัวคุณเข้าตาราง”
“แล้วผมจะรอดูว่าคุณจะทำสำเร็จไหม” เขาไม่เดือดร้อนกับคำขู่ของเธอ “แต่ขอบอกให้รู้ไว้ถ้าผมไม่ต้องการที่จะปล่อยคุณไปคุณก็ไม่มีสิทธิที่จะไปไหนทั้งนั้น”
พูดจบก็เดินจากไปทันทีทิ้งให้หญิงสาวโกรธฮึดฮัดอยู่เพียงลำพัง ตอนแรกณิชชาพัชร์คิดจะเดินตามลงไปพูดกับเขาให้รู้เรื่อง แต่คิดอีกทีมันคงจะไม่มีประโยชน์เพราะเขาไม่ต้องการจะพูดกับเธอ ไว้รอให้เขาอารมณ์เย็นลงกว่านี้ก่อนค่อยคุยกันอีกครั้ง หญิงสาวได้แต่เก็บความหงุดหงิดไว้ภายใน และเดินสำรวจไปรอบ ๆ ดาดฟ้าเรือพร้อมกับคิดทบทวนคำพูดของเขา ฉับพลันชื่อ ๆ หนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัวของเธอทั้งที่เธอเพิ่งจะเคยได้ยินมันเพียงแค่ครั้งเดียว
“เขาพูดถึงการันต์...การันต์คือใคร!? เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องการลักพาตัวเรามาที่นี่” ณิชชาพัชร์พึมพำกับตัวเอง
คนที่จะไขข้อข้องใจนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นเขา มีแต่เขาเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะเฉลยข้อข้องใจนี้ให้กับเธอได้
