บทที่9. โลกกลมหรือพรหมลิขิต
ทันทีที่มือใหญ่ผลักบานประตูห้องนอนออกมา เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมของอาหารเช้าที่ไม่คุ้นนัก ปกติตอนเช้าจะมีแค่กาแฟร้อนแก้วโตรองท้องแล้วค่อยขับรถออกไปหาอะไรกินเอาข้างหน้า หรือป้าน้อยจะเข้ามาทำมื้อเช้าให้นะ
พิชญะเดินเข้ามาในครัวก็เห็นร่างเล็กกำลังยุ่งอยู่หน้าเตา เธอหันกลับมาสะดุ้งเล็กน้อยแล้วยิ้มนิดๆ
“เมื่อวานป้าน้อยให้กุ้งมาค่ะ ฉันเลยทำข้าวต้มกุ้งให้คุณเป็นมื้อเช้านะคะ”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับแล้วก็เพิ่งนึกได้ว่าตอนนี้เธอมีลูกจ้างคนใหม่ในบ้าน “ปกติผมกินแค่กาแฟตอนเช้า”
“ไม่ได้หรอกค่ะ มื้อเช้าสำคัญที่สุดนะคะ” เธอพูดเหมือนจะดุเขาเล็กๆ แล้วยกชามข้าวต้มกุ้งมาเสิร์ฟ
“ท่าทางจะมีความสุขกับงานในครัวนะคุณ” เขาประชดแต่ต้องยอมรับว่าเธอทำอาหารได้อร่อยจริงๆ
“เอ่อ...” รินรดาฉุกคิดไปครู่หนึ่ง “ไม่นะคะ ใครจะชอบหน้ามันอยู่ในครัว”
ชายหนุ่มเลิกคิ้วเล็กน้อยมองหญิงสาวอย่างมีพิรุธ ขนาดไม่ชอบแต่คลุกอยู่ในครัวได้แบบไม่มีเสียงบ่นสักนิด แถมยังนั่งดูรายการทำอาหารแบบจริงจังอีกด้วย
“ฉันแค่ทำหน้าที่ของฉันเท่านั้น” เธอพูดน้ำเสียงขึ้นจมูกอย่างคนไม่ยอมใครง่ายๆ ถ้าบอกเขาว่าเธอชอบอยู่ในครัว เขาอาจจะคิดหาทางให้เธอไปทำอย่างอื่นก็ได้นะซิ
นานๆ ได้กินข้าวเช้าที่บ้านก็ดีเหมือนกัน ชายหนุ่มบอกกับตัวเองสิ่งที่รู้นั้นก็บอกให้อีกคนรู้ไม่ได้ กลัวเธอจะได้ใจ ยังไงเขาเป็นถึงเจ้าหนี้ เป็นเจ้านายที่ควรจะควบคุมเธอได้ทุกอย่างถึงจะถูก ยังไม่ทันที่เขาจะพูดอะไร มือถือของเขาส่งเสียงดังเสียก่อน เขาหยิบมันมากดรับสายทันที
“ว่ามา” พิชญะรับสายในขณะที่มือก็ยังตักข้าวต้มกุ้งเข้าปาก เขาฟังปลายสายแล้วมองหญิงสาวที่นั่งตรงข้ามก่อนจะตอบอีกฝ่าย “ตกลงสิบโมงเช้านะ โอเคไปเจอกันที่โรงแรมเลย”
เขาวางโทรศัพท์แล้วตักข้าวต้มกินจนหมดชาม เรียกว่าเกลี้ยงชามเลยก็ได้แล้วใบหน้าคมเข้มที่เต็มไปด้วยหนวดเคราก็เงยขึ้นสบตากับหญิงสาว
“คุณพอจะมีเสื้อผ้าดีๆ ใส่ไปข้างนอกกับผมไหม?”
“ไปไหนคะ”
“โรงแรม”
“โรงแรม!”
พิชญะอยากจะหัวเราะดังๆ ที่เห็นสีหน้าตกใจของอีกฝ่าย ทำให้เธอขยาดเขาบ้างก็ดี แต่คงไม่ใช่ตอนนี้ “ผมต้องเข้าประชุมสภาอุตสาหกรรมจังหวัด ผมอยากให้คุณเป็นเลขาให้ผมหน่อย”
รินรดาถอนหายใจอย่างโล่งอก “ได้ค่ะ”
“คุณคงพอมีเสื้อผ้าที่ใส่ประชุมได้อยู่นะ หรือยังไงค่อยไปหาซื้อเอาข้างหน้า”
“เสื้อผ้าเข้าประชุมมีค่ะ แต่เสื้อผ้าเข้าสวนเข้าไร่ไม่มี” รินรดาพูดออกมาแล้วแปลกใจตัวเองที่กล้าต่อปากต่อคำกับเขามากขึ้น
พิชญะหัวเราะในลำคอ “คุณไปเตรียมตัวผมให้เวลาสิบนาที เราต้องขับรถเข้าเมืองเกือบสองชั่วโมง”
“ได้ค่ะ” หญิงสาวรับคำแล้วรีบขึ้นไปที่ห้องส่วนตัว จัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าหวีผมให้เรียบร้อย ซึ่งปกติเธอก็ใช้เวลาไม่นานอยู่แล้ว ไม่ถึงสิบนาทีเธอก็ลงมาในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกระโปรงยาวคลุมเข่าลายดอกไม้เล็กๆ สีส้มอมชมพู
ชายหนุ่มเจ้าของไร่ฉายฉานมองแล้วก็กระตุกยิ้มให้ที่มุมปาก “พอได้ ทำตัวดีๆ จะซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ให้”
“ชุดนี้ฉันเตรียมมาใส่ประชุมงานนั้นแหละ” รินรดาบ่นเบาๆ
“คุณว่าไงนะ” เขาถามขณะที่ทั้งสองเดินมาที่รถกระบะ
“เอ่อ...ฉันบอกว่าถ้าไม่ใช่ของแบรนเนมฉันไม่ใส่นะคะ ฉันแพ้ของถูกค่ะ”
“ทำงานให้คุ้มค่าตัวก่อนค่อยเรียกค่าแรง”
เขาหยิบแว่นกันแดดมาสวมและเมื่อเห็นหญิงสาวนั่งข้างเขาเรียบร้อยแล้วจึงขับรถกระบะมุ่งหน้าเข้าตัวเมืองซึ่งอยู่ห่างจากไร่ประมาณหกสิบกิโลเมตร จริงๆ มันอยู่ในตารางงานของเขาแล้วแต่เพราะมันแต่ยุ่งเรื่องในโรงงานจึงลืมไปเสียนี่
“มีอะไรที่ฉันต้องรู้บ้างคะ” รินรดาถามเป็นงานเป็นการ ถึงเธอจะไม่ชอบเขาแต่ก็ต้องทำงานของตัวเองให้ดีที่สุด ไม่ใช่ว่าเธอเป็นลูกหนี้ของเขาเท่านั้น แต่เพราะความรับผิดชอบคือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเธอ อาจเป็นเพราะแบบนี้ที่ทำให้เธอต้องมาใช้หนี้ที่ไม่ได้ก่ออย่างนี้ก็ได้
“มันก็ไม่ได้สำคัญมากมายอะไร แต่ผมต้องไปเสนอหน้าให้เขาเห็นเสียหน่อย”
“ช่วยตอบให้ตรงคำถามด้วยค่ะ” รินรดาเปิดแท็บเล็ตแล้วพิมพ์รายละเอียดงาน “ประชุมวันนี้เกี่ยวกับอะไรค่ะ”
“น่าจะเป็นงานแสดงสินค้าของเดือนหน้านะ งานโอทอปของจังหวัด”
“โรงงานคุณไปออกบูธด้วยเหรอคะ” รินรดาถามอย่างแปลกใจ
“ผมไม่ได้ไปออกบูธ แต่ก็ไปดูผลิตภัณฑ์อื่นๆ” เขาตอบสายตายังแน่วแน่กับถนนที่จะมุ่งเข้าเมือง “คุณก็ไปฟังๆ แทนผมหน่อย เผื่อจะเอามาใช้กับโรงงานของเรา”
“ทำอย่างกับฉันรู้ว่าโรงงานของคุณทำอะไรบ้าง”
“เอาน่า เรายังมีเวลาศึกษาดูงานกันอีกเยอะ” เขายิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปาก “หรือถ้าคุณเบื่องานแบบนี้จะเปลี่ยนมาบริการตัวต่อตัวกับผมก็ได้”
“คุณนี่!!”
รินรดาไม่อยากจะพูดกับเขาอีก เหมือนจะดีแต่ลงท้ายเขาก็มองเธออย่างดูแคลน เธอโกรธเขาไม่ได้ที่จะมองเธอเป็นผู้หญิงแบบนั้น ก็ขนาดพ่อส่งลูกสาวมาขัดดอกแบบนี้จะให้คิดเป็นอื่นได้อย่างไร แต่ที่เขาไม่รู้ก็คือเธอไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆ อย่างไรล่ะ ทุกคนถึงทำเหมือนพร้อมใจจะทิ้งขวางเธอไปไกลจากคำว่าครอบครัว
เมื่อหญิงสาวเงียบเสียงและเหม่อมองไปนอกรถทำให้พิชญะไม่มีเรื่องจะชวนทะเลาะด้วย แน่นอนว่างานนี้เขาไม่ไปก็ได้ส่งตัวแทนไปเหมือนทุกครั้งก็ได้ แต่โกศลเลขาของเขาดูแลบริษัททางโน้นที่อยู่กรุงเทพฯ วันนี้เขาเองก็จำเป็นต้องมาเพื่ออย่างน้อยก็สานสัมพันธ์กับคนอื่นให้กิจการงานของตัวเองราบรื่นด้วยดี
‘คุณเพลิงน่าจะเข้าออฟฟิศที่กรุงเทพฯ ส่วนงานในไร่ให้ผมดูแลก็ได้’ เสียงโกศลโอดครวญผ่านโทรศัพท์
‘ผมเบื่อกรุงเทพฯ ให้มันจำเป็นจริงๆ ผมจะเข้าไป’
‘เบื่อกรุงเทพฯ หรือติดใจคนที่ไปอยู่ด้วยกันแน่’
พิชญะโคลงศีรษะไปมาเมื่อนึกถึงเรื่องที่เขาคุยกับโกศล ยังไม่ได้ลองชิมจะเบื่อได้ยังไงกันเล่า เขาขับรถมาถึงเร็วกว่าที่บอกรินรดา เมื่อมาถึงโรงแรมใหญ่อันดับหนึ่งของจังหวัดหญิงสาวก็รู้สึกเหมือนหลุดจากมิติหนึ่งเลยทีเดียว เกือบสัปดาห์ที่ใช้ชีวิตในสวนในไร่ห่างไกลความเจริญ แต่การได้ตื่นเช้ามาเจออากาศสดชื่นและสีเขียวของใบไม้ทำให้ใจสงบ หากไม่ใช่เพราะเธอถูกส่งตัวในฐานะสินทรัพย์แล้วล่ะก็...เธอคงมีความสุขมากกว่านี้
“ฉันขอตัวเข้าห้องน้ำหน่อยนะคะ” รินรดาหันไปบอกกับชายหนุ่ม
“ผมจะรอที่ประตูทางเข้า”
“ค่ะ”
รินรดาเดินเข้าห้องน้ำจัดการดูความเรียบร้อยของตัวเอง หยิบหวีออกมาแปรงผมแล้วแต่งหน้าเพิ่มอีกนิดหน่อย นึกแล้วเธออยากหัวเราะ เจ้าหนี้ของเธอไว้ผมยาว หนวดเครารุงรังเข้ามางานแบบนี้ ไม่โดนรปภ. ค้นตัวก็ดีแค่ไหนแล้ว หรือคนแถวนี้จะคุ้นกับผู้ชายหน้าโหดคนนี้แล้ว หญิงสาวยิ้มให้กำลังใจตัวเองแล้วเดินกลับมาเจอเขาที่นัดไว้
“ต่อยอดธุรกิจพิชิตการลงทุน สนับสนุน SMEs กระตุ้นเศรษฐกิจภาคอีสาน”
รินรดาอ่านโปสเตอร์ที่ติดไว้หน้างานแล้วทำความเข้าใจคราวๆ ผู้คนเข้าร่วมงานมากมายท่าทางจะเป็นงานใหญ่ของจังหวัด เธอกวาดสายตามองหาเจ้าของร่างสูงซึ่งก็หาได้ไม่ยากเลย ผู้ชายตัวสูงใหญ่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มกับกางเกงยีนดูสบายๆ แต่เขากลับโดดเด่นกว่าใคร และยิ่งมีสาวน้อยสาวใหญ่รุมด้วยแล้ว เขาดูเหมือนเพลย์บอยจอมเถื่อนยังไงไม่รู้ในละครยังไงไม่รู้
พิชญะฝืนยิ้มทักทายคนอื่นๆ แต่เมื่อเห็นสีหน้ากลั้นหัวเราะของรินรดาก็นึกอยากจับคนตัวเล็กมาเขกหัวทำโทษสักสองทีที่เห็นเขายืนอยู่นานแล้วยังจะไม่รีบเข้ามาอีก
“ขอตัวไปลงทะเบียนก่อนนะครับ”
“อยากหาแม่บ้านเมื่อไหร่ก็บอกพวกเราได้นะคะ” สาวแก่เสนอตัวพร้อมเสียงหัวเราะของคนอื่นๆ
“ไม่เป็นไรผมเกรงใจ” พิชญะยิ้มให้นิดๆ แล้วเบี่ยงตัวออกจากกลุ่มสาวใหญ่ เดินมาแตะข้อศอกของรินรดาให้เดินตามเข้าไปที่จุดลงทะเบียน “ทำไมไม่รีบมาหาผม”
“ฉันเห็นคุณยุ่งอยู่นี่” หญิงสาวยิ้มแล้วกลั้นหัวเราะ คนตัวโตเหมือนจะเอาตัวไม่รอดเวลาอยู่กับสาวใหญ่เห็นแล้วก็รู้สึกตลกจริง
“สวัสดีค่ะคุณพิชญะ นึกว่าจะมาไม่ได้เสียอีก” เจ้าหน้าที่ลงทะเบียนยิ้มทักทายและยื่นปากกาให้ “มาคนเดียวเหรอคะ”
“มีผู้ช่วยมาด้วยครับ” เขายิ้มให้แล้วพยักหน้าให้รินรดาลงทะเบียนด้วย
“เชิญด้านในเลยค่ะ ท่านผู้ว่าก็มาถึงแล้วค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
รินรดาเดินตามเขาเข้ามาในห้องประชุมขนาดใหญ่ของโรงแรม เธอเบ้ปากให้เขานิดๆ แต่ชายหนุ่มก็ปรายตามองเห็นพอดี
“อะไรของคุณ” เขาถามแล้วหาที่นั่ง ซึ่งตั้งใจว่าจะทิ้งรินรดาให้เข้าฟังแทนส่วนเขาจะแอบออกไปหาอะไรเย็นๆ ดื่มเสียหน่อย
“แหม! ที่กับสาวน้อยล่ะยิ้มหวานเชียว แต่พอเจอสาวใหญ่กับทำหน้าปุเลี่ยนๆ”
“อิจฉาหรือไง” เขายิ้มเจ้าเล่ห์ให้ “คุณคงพอรู้แล้วว่างานนี้เกี่ยวกับอะไร ฟังๆ ให้หน่อย เดี๋ยวคนอื่นจะคิดว่าผมไม่สนใจคนอื่น”
“ดูคุณไม่สนใจใครนอกจากตัวเองอยู่แล้วนี่” รินรดาเปิดแท็บเล็ตเตรียมทำหน้าที่ของตัวเอง
“ปากดีจริงๆ ทำงานให้เก่งอย่างปากก็พอ” เขาทำเสียงรำคาญในลำคอแต่กลับอารมณ์ดีที่ได้หยอกเธอเล่น “ผมจะไปคุยกับผู้ใหญ่คนอื่น เขาประชุมกันเสร็จเที่ยง แล้วผมจะมารับ”
“ไปเถอะค่ะ ฉันโตแล้วดูแลตัวเองได้”
“เปล่า” เขาหันมากระซิบข้างๆ หญิงสาว มันใกล้เสียจนเขาได้กลิ่นแชมพูสระผมจากเรือนผมสลวย “ผมกลัวคุณจะหนีหนี้ต่างหาก”
“ก็อยากลองดูเหมือนกันค่ะ”
พิชญะยักคิ้วให้แล้วเดินไปพูดคุยกับท่านอื่นๆ เล็กน้อยก่อนจะหลบออจากห้องประชุม เขายอมรับว่าตัวเองไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นนัก แต่การทำงานของเขาก็จำเป็นต้องรู้จักคนมากทั้งในสภาอุตสาหกรรมและเครือข่ายอื่นๆ เขาทักทายคนอื่นเล็กน้อยก็ได้จังหวะที่เริ่มประชุม เขาหลบออกมานั่งในคาแฟ่ชั้นใต้ดินของโรงแรม หยิบโน๊ตบุ๊คออกมาเช็คดูหุ้นที่ซื้อไว้และเรียกเครื่องดื่มเย็นๆ สำหรับตัวเองโดยไม่สนใจว่ายังเที่ยงเลยด้วยซ้ำ
“สมกับเป็นคุณเพลิงจริงๆ กินเบียร์ก่อนเที่ยงก็ได้”
พิชญะเงยหน้าขึ้นตามเสียงแซว แล้วใบหน้าเข้มก็ยิ้มกว้าง เขาลุกขึ้นยืนยื่นมือตบไหล่คนที่เข้ามาทักทาย
“เฮ้ย! ธันวา! มาได้ไงเนี้ย อ้อ! ต้องเรียกคุณหมอธันวาใช่ไหม”
“เราย้ายมารับงานที่นี่ได้สองอาทิตย์แล้ว” ธันวาหรือหมอธันวายิ้มกว้างดีใจที่ได้เจอเพื่อนเก่า “กำลังคิดอยู่ว่านายยังอยู่ที่เดิมหรือเปล่า”
“ตอนนี้อยู่บ้านไร่วะ” เขาชวนเพื่อนนั่งด้วยกัน “วันนี้เข้าเมืองมาประชุม”
“ประชุม? ประชุมอะไรมานั่งกินเบียร์ตรงนี้ แล้วนี่เขาขายเบียร์ก่อนเที่ยงด้วยเหรอ”
“เอาน่า มีวิธีแล้วกัน” เขายิ้ม “แล้วหมออะไรมาอยู่ในโรงแรม หรือพาพยาบาลมาตรวจภายใน”
“ไอ้บ้า ปากหาเรื่องไม่เปลี่ยน” ธันวาหัวเราะ “มีประชุมหัวหน้าหมออนามัยสองวัน เมื่อคืนนอนที่นี่ ตอนนี้คนอื่นเขาแยกย้ายกันกลับแล้ว เรามาหาอะไรกินก่อนนะ”
“ไม่ได้เป็นหมอที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดรึ”
“ไม่...ที่นี่หมอเก่งๆ เยอะแล้ว เราขอประจำที่อนามัย”
“อุดมการณ์ไม่เปลี่ยนแปลง” เขาชื่นชมเพื่อนอย่างจริงใจ ไม่เจอกันหลายปีแต่เพื่อนก็ยังเป็นเพื่อนเหมือนเคย ธันวาเป็นเพื่อนสมัยมัธยมทั้งสองสนิทกันมาก หัวหกก้นขวิดมาด้วยกันก่อนจะแยกย้ายไปเรียนตามสาขาที่ตัวเองเลือก
“หาที่พักได้หรือยัง ถ้าไม่มีบอกได้จะหาห้องพักหรือบ้านเช่าดีๆ ถูกๆ ให้ได้”
“มีคนจัดการให้แล้วล่ะ ขอจัดการอะไรให้เข้าที่เข้าทางหน่อยจะแวะไปหาที่ไร่”
“ได้ซิ ยินดีต้อนรับเพื่อนเสมอ”
ทั้งสองพูดคุยกันอีกนานจนเกือบเที่ยง ธันวาขอตัวกลับและเขาเองก็ต้องไปรับรินรดา ชายหนุ่มเดินออกมาจากคาแฟ่แล้วล่ำลากันอีกครู่หนึ่ง
“นามบัตรเรา มีอะไรติดต่อได้ยี่สิบสี่ชั่วโมงเลย”
“ขอบใจมากเพื่อน”
พิชญะเห็นผู้คนเริ่มทยอยออกจากห้องประชุมแล้ว เขาลาเพื่อนอีกครั้งแล้วเดินไปหารินรดาที่เดินออกมาพอดี หญิงสาวยิ้มแย้มพูดคุยกับคนอื่นๆ ที่เข้าประชุมราวกับสนิทสนมกันมานาน
“แล้วจะติดต่อกลับไปนะคะ”
รินรดารับนามบัตรของแต่ละคนมา พิชญะเดินเข้าไปใกล้จนยืนซ้อนอยู่ด้านหลังของหญิงสาวทำเอาหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ที่ยืนล้อมหญิงสาวอยู่ยิ้มหน้าเจื่อนไป
“คุณเพลิงนี่โชคดีนะครับ มีเลขาเก่งๆ แบบนี้”
“ไม่ใช่แค่เก่งนะครับ น่ารักอีกด้วย”
หลายคนชื่นชมแล้วถอยห่างไป พิชญะมองหญิงสาวไม่ค่อยพอใจนัก นี่หลอนไปโปรยเสน่ห์อะไรไว้อีกหรือเปล่าเนี้ย คนงานทั้งไร่ก็หลงหลอนน่าดู
“ทำเรื่องอะไรไว้หรือเปล่า” เขาถามทำหน้าดุเมื่อไม่มีใครแล้ว
“มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิด” รินรดาหน้าระรื่น “ฉันมีแผนหาเงินมาคืนคุณแล้วล่ะ”
“อะไร?”
“กลับบ้านค่อยคุยกัน” หญิงสาวยิ้มหวาน “เราจะกลับกันเลยใช่ไหม”
พิชญะพยักหน้าหงึกหงัก เขาเดินออกมาพร้อมหญิงสาวสวนทางกลับกลุ่มของธันวาที่กำลังเข้าโรงแรมไปเอากระเป๋าเพื่อกลับที่พัก หมอหนุ่มขยับแว่นสายตาแล้วเพ่งมองแผ่นหลังของหญิงสาวที่เดินอยู่เคียงข้างพิชญะ เขารู้สึกคุ้นตากับเธอแต่เมื่อเห็นหน้าไม่ชัดก็ไม่กล้าคิดว่าจะเป็นคนที่เขาคิดถึงอยู่เสมอหรือไม่
โลกกลมหรือพรหมลิขิต มันคงไม่ใช่แบบนั้นหรอกนะ.
