บทที่ 1
สายลมเย็นพัดเอื่อยเฉื่อยบ่งบอกถึงฤดูกาลที่กำลังจะเปลี่ยนผ่านจากฤดูฝนเป็นฤดูหนาว นักศึกษามหาวิทยาลัยปีหนึ่งที่ต้องเข้ามาพักอยู่ในหอพักที่ทางมหาวิทยาลัยจัดเตรียมไว้ให้เพื่อความสะดวกในการทำกิจกรรมต่างก็พากันวิ่งวุ่นเก็บข้าวของเตรียมตัวกลับบ้านเมื่อถึงเวลาปิดเทอม
เช่นเดียวกับปาน ปานตะวัน นักศึกษาชั้นปีที่หนึ่งคณะนิเทศศาสตร์ที่กำลังแบกเป้ใบเก่งเดินลงมาจากชั้นสองของหอพัก โดยที่มือขวาก็ลากกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ลงมาด้วย หลังจากพี่ชายบอกว่าตอนนี้ได้เลี้ยวเข้าประตูมหาวิทยาลัยมาแล้ว
“เจอกันตอนเปิดเทอมนะปาน”
“อื้อ เจอกันจ้าใบเตย”
เด็กสาวหันไปโบกมือให้กับรูมเมทที่วิ่งกลับมาบอกลาตัวเองอีกครั้งหลังจากที่เมื่อครู่เดินเอากระเป๋าเสื้อผ้าไปขึ้นหลังรถของผู้ปกครองเรียบร้อยแล้ว
ติ้ง
ปานตะวันได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้งเมื่อหยิบขึ้นมาดูก็พบว่าพี่ชายบอกว่าตอนนี้ถึงหน้าหอพักแล้ว จึงรีบเดินลากกระเป๋าออกไป
เมื่อเดินออกมาก็เห็นว่ารถครอบครัวคันสีดำของที่บ้านจอดอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ ก่อนจะมีใครบางคนเปิดประตูรถก้าวลงมาจากด้านฝั่งผู้โดยสารข้างคนขับ ใบหน้าคมสันแสนคุ้นเคยนั้นทำเอาปานตะวันถึงกับต้องชะงักเท้า
“พี่ธาม มาได้ยังไง”
หัวใจดวงน้อยของเด็กสาวเต้นแรงดังตึกตักตื่นเต้นเกินคำบรรยาย พยายามเก็บสีหน้าของตัวเองให้นิ่งเฉยมากที่สุดเท่าที่จะทำได้แต่ก็ทำได้ยากยิ่งเมื่ออีกฝ่ายกลับส่งยิ้มกว้างและกำลังเดินตรงเข้ามาหาเธอ
“เด็กน้อยรอนานมั้ย”
น้ำเสียงทุ้มนุ่มน่าฟังช่วยให้หัวใจดวงน้อยที่เต้นแรงพลันสงบลงกลายเป็นความรู้สึกอบอุ่นใจเข้ามาแทนที่
ธาม ธนัท นักเรียนนายร้อยตำรวจชั้นปีที่สาม ส่งยิ้มให้น้องสาวของเพื่อนสนิทอย่างใจดี เขาเห็นปานตะวันเด็กน้อยคนนี้มาตั้งแต่สมัยเรียนมอต้น จนตอนนี้อีกฝ่ายเข้าเรียนมหาวิทยาลัยปีหนึ่งแล้ว นั่นยิ่งตอกย้ำเขาว่าเวลาช่างผ่านไปไวจริง ๆ
“สวัสดีค่ะพี่ธามไม่นานค่ะ”
ปานตะวันยกมือไหว้อีกฝ่ายยอมปล่อยกระเป๋าเดินทางออกจากมือตัวเองให้อีกฝ่ายลากไปที่รถ ด้วยความประหม่ามือบางทั้งสองจึงข้างกุมกันไว้แน่น ก็แหงล่ะเธอไม่เจอเขานานนับปี จู่ ๆ ก็มารับกันแบบนี้ใครจะตั้งตัวทัน
เธอออกเดินไปตามเจ้าของแผ่นหลังกว้างที่ตั้งตรงอย่างสง่างามนั้นไปเงียบ ๆ ระหว่างนั้นก็แอบมองความเปลี่ยนแปลงของอีกฝ่ายไปด้วย ก่อนที่หัวใจของสาวน้อยจะต้องเต้นแรงขึ้นมาอีกครั้งเมื่อสังเกตได้ว่าคนตรงหน้าจงใจชะลอฝีเท้าให้เธอเดินทัน
“อยากหยุดเวลานี้ไว้ให้นาน”
สายลมพัดหอบเอากลีบดอกชมพูพันธุ์ทิพย์ร่วงกราวลงมาภาพนั้นทำเอาเด็กสาวแอบยิ้มมุมปากชอบใจ เร่งฝีเท้าไปหาคนที่ชะลอฝีเท้ารอตัวเอง ก่อนที่ฉากในเอ็มวีเพลงรักของปานตะวันจะสะดุดลง เมื่อปัน ปานปริญ พี่ชายของเธอเรียกดังเร่งมาจากที่รถ
“เร็ว ๆ หน่อย ยัยปาน”
“รู้แล้วน่า”
อารมณ์ที่อวลด้วยความรักแสนหวานถูกเบรกเอี๊ยด ปานตะวันยู่หน้าใส่พี่ชายออกวิ่งไปหาอีกฝ่ายที่กางแขนรอเธอเหมือนที่ทำเป็นประจำ
ภาพพี่ชายน้องสาวที่จิกกัดกันเป็นปกติสวมกอดกันตรงหน้าทำเอาธนัทที่เดินตามมาถึงอมยิ้มด้วยความชอบใจ
“แมวน้อยสูงขึ้นเหมือนกันนะเนี่ย”
ปานปริญพูดชมขณะใช้มือยีผมน้องสาวที่มัดรวบไว้ด้านหลังอย่างลวก ๆ จนมันฟูฟ่อง ปานตะวันพยายามเบี่ยงตัวหลบแล้วแต่เพราะขนาดตัวที่และช่วงแขนจึงทำให้หนีไม่พ้นมือใหญ่คู่นั้น
“ปานโตแล้วพี่ปันเลิกเรียกว่าแมวน้อยสักทีได้มั้ย”
“ทำไมพี่จะเรียก แมวน้อย แมวน้อย แมวน้อย”
เด็กสาวที่เริ่มอายเพื่อนสนิทพี่ชายเดินหนีไปหลบพี่ชายตัวเองอีกด้านของธนัทที่กำลังยกกระเป๋าเดินทางขึ้นเก็บที่หลังรถ พร้อมกันนั้นยังแอบชะโงกหน้าไปแลบลิ้นปลิ้นตาทำหน้าทะเล้นใส่พี่ชาย
“พอได้แล้วน่า อายคน ปะ ไปกันเถอะ คุณลุงคุณป้ารอนานแล้ว”
เมื่อกรรมการห้ามศึกสายเลือดอย่างธนัทเอ่ยปาก สองพี่น้องที่โตแต่ตัวก็สะบัดหน้าใส่กัน เดินแยกกันไปขึ้นรถเป็นอันจบศึกในครั้งนั้นไปแบบงง ๆ
