ตอนที่ 2 คู่ข้าวใหม่ปลามัน (1)
อรุณรุ่งมาเยือน ในห้องหอเทียนมงคลคู่ถูกเผาไหม้จนหมดแล้ว แสงขาวยามเช้ามาเยือน อู๋ชิวอิ่งรู้สึกตัวตื่นไม่นานก็ถูกสามีผู้เร่าร้อนเข้าไปทักทายในกายอีกครั้ง เดิมทีก็ทำกันมาทั้งคืนแล้ว เพิ่งจะได้พักไปไม่นาน แต่เขายังคงมีความต้องการ นางจึงยินยอมพร้อมใจให้
นางพลิกกายขึ้นนั่งคร่อมสะโพกเขาขณะที่ท่อนเนื้อยังแข็งขึงอยู่ภายในที่อุ่นชื้นและเหมือนจะร้าวระบมอยู่น้อยๆ ด้วย นางยันสองมือไว้บนแผ่นอกเขา เริ่มขยับเอวอ่อนพลิ้วสอดประสานเสียเอง เมื่อคืนในครั้งที่สองนางก็ขอทำเองบ้าง เขาถึงกับครางเสียงต่ำไม่หยุด ชมชอบมากและช่วยนางออกแรงประสานไปด้วย
ตอนนี้เขาก็มองนางด้วยตาฉ่ำวาว สองมือประคองสะโพกกลมมน มองเอวอ่อนของภรรยาแล้วยิ่งรู้สึกเสียวกระสันเป็นเท่าตัว “น้องหญิงทำพี่สิ้นลายแล้ว”
“จริงหรือเจ้าคะ ข้าเก่งหรือไม่” เพราะข้าอยากมัดใจท่าน จึงต้องทำเช่นนี้หรอกนะ หาไม่แล้วชีวิตที่สองนี้ก็คงได้มาอย่างเสียเปล่าแล้ว อู๋ชิวอิ่งคิดในใจ แต่ใบหน้าหวานล้ำยังอยู่ในท่าทางที่สามีชมชอบมาก
“เจ้าเก่งมาก” เขาตอบด้วยเสียงแตกพร่า เหมือนจะสั่นอยู่เล็กน้อยด้วย
อู๋ชิวอิ่งยิ้ม ก่อนจะอ้าปากหอบหายใจไปพร้อมกับยกสะโพกกระแทกต้นขาอีกฝ่าย “ท่านพี่ชอบหรือไม่”
“ชอบ ชอบมาก” เขาตอบคล้ายละเมอเพราะนางเร่งขยับสะโพกขึ้นลงรัวเร็วคล้ายลงโทษคล้ายให้รางวัลจนเขาเคลิบเคลิ้มแทบจะสิ้นท่าทีเดียว
เมื่อถึงจังหวะสุดท้าย เขายกสะโพกเสยขึ้นรัวเร็วพร้อมกับนาง จนทั้งสองตัวสั่นงันงกและปลดปล่อยความสุขสมออกมาอีกครั้ง
เวลาผ่านไปเล็กน้อย หญิงสาวซบใบหน้าอยู่กับแผงอกสามี หอบหายใจอยู่ไม่นานก็สงบลง นางยกศีรษะขึ้นมองเขา เห็นเขาจ้องนางอยู่เช่นกัน เห็นสายตานั้นแล้วนางชะงักไปเล็กน้อยแต่ก็พยายามทำตัวปกติ “เวลาไม่เช้าแล้ว ต้องไปยกน้ำชาอีกนะเจ้าคะ” สายตาของเขาไม่เหมือนในชาติก่อนที่มองนาง เช้าวันแรกหลังแต่งงานเขาปฏิบัติกับนางอย่างมีมารยาทยิ่ง เอาใจใส่ทะนุถนอมนางมาก แต่สายตาตอนนี้ คล้ายลุ่มหลงเจือจำนนอยู่เล็กน้อย
“อือ” เขาตอบรับในลำคอและยันกายขึ้นนั่ง ยังโอบกอดนางไว้โดยกายยังประสานติดแน่นกันอยู่ นางจึงลุกขึ้นนั่งทั้งที่ยังอยู่บนตัวเขา ชายหนุ่มเอื้อมมือไปกระตุกม่านเตียงลงบดบังภายในเตียงที่ยุ่งเหยิงไว้และส่งเสียงเรียกให้พวกสาวใช้เตรียมน้ำอาบ ระหว่างนั้นเขากอดนางเอนหลังพิงหัวเตียง สองมือโอบอุ้มก้นงอนงามลื่นมือไว้ด้วย ใบหน้าเขาผังลงที่ไหล่นวลเนียน จูบแผ่วเบาลงไปหลายครั้งด้วยความหลงใหล
“ยกน้ำชาเสร็จแล้วค่อยกลับมานอนสักตื่น” เสียงนี้ทุ้มนุ่ม ลมหายใจอุ่นยังเป่ารดไหล่ให้หญิงสาวรู้ลึกขนลุกเป็นระยะ
“ไม่เหมาะเจ้าค่ะ” นางกระชับวงแขนที่กอดเอวเขาไปด้วย ศีรษะยังซบแผงอกอุ่นของเขาไม่ยอมขยับ
เขายิ้ม เลื่อนใบหน้าไปฝังที่ซอกคอนาง “ท่านย่าไม่ว่าหรอก”
อู๋ชิวอิ่งสยิวกายครั้งหนึ่งเพราะเขาขบเบาๆ ที่ต้นคอนาง “ก็ได้ แต่ท่านพี่ต้องนอนเป็นเพื่อนข้านะ”
“ใครจะตัดใจทิ้งเจ้าได้ลง” เขาแกล้งเย้าด้วยการขยำก้นนางสองสามครั้งจนถูกนางตีเขาถึงยอมเลิก
สามีภรรยาหัวเราะต่อกระซิกกันหวานชื่น พวกสาวใช้รีบก้มหน้าก้มตาทำงานของตนจนกระทั่งส่งสามีภรรยาทั้งสองออกจากเรือนไปแล้วจึงมาเก็บเตียงที่ยุ่งเหยิงเหมือนผ่านสงครามมาอย่างหนัก
ในโถงหน้าเปิดประตูหน้าต่างทุกบาน ปัดกวาดและประดับไว้หรูหราสมฐานะ ทั้งสองจูงมือกันเดินเข้าไป มีฮูหยินผู้เฒ่าก็คือท่านย่าของหลิวเต๋อหมิง ท่านลุงและป้าสะใภ้ ท่านแม่ของเขารวมไปถึงบรรดาญาติผู้พี่ผู้น้องรวมทั้งพี่สาวของเขาก็อยู่
ฮูหยินผู้เฒ่ามองหลานชายคนเล็กกับหลานสะใภ้แล้วพูดว่าดีๆ ไม่หยุดปาก ผิดกับซูหวั่นเหนียงหรือซูซื่อ[5] ผู้เป็นแม่สามีที่ทำหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ
อู๋ชิวอิ่งคิดว่าครั้งนี้ก็แทบไม่ต่างจากการแต่งงานครั้งนั้นในเมื่อชาติก่อนของนางเท่าไรนัก ที่ต่างก็คงเป็นตัวนางที่สลัดความขวยเขินออกไปเหลือแค่หญิงสาวที่มีความมั่นใจ อ่อนน้อม เอาใจเก่งคนหนึ่งเท่านั้น เพียงแต่กับแม่สามีนั้นก็ยังคงเดิม อู๋ชิวอิ่งแย้มยิ้มพองามขณะยกน้ำชาให้อีกฝ่าย แม้ซูซื่อจะยอมรับน้ำชาไม่ให้นางรอนาน แต่อีกฝ่ายพูดน้อยยิ่งกว่าน้อย
“ต่อไปปรนนิบัติสามีให้ดีก็พอ” ว่าแล้วก็พยักหน้าให้สาวใช้ที่ยืนอยู่ด้านข้างประคองถาดใบหนึ่งที่วางกำไลหยกไว้หนึ่งคู่ แม้เป็นหยกเนื้อดี แต่ดูก็รู้ว่าเป็นการเตรียมของขวัญรับสะใภ้ที่ไม่ต้องคิดอะไรมาก ถึงขนาดทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ากับป้าสะใภ้ต้องมองหน้ากันอย่างไม่ถูกต้อง พวกนางรู้ดีว่าซูซื่อเป็นคนยังไง และรู้ดีว่างานแต่งครั้งนี้ซูซื่อไม่เห็นพ้อง เพียงแต่ปฏิเสธมารดาสามีกับพี่ชายสามีไม่ได้ ฮูหยินผู้เฒ่ามองใบหน้าอ่อนเยาว์ของอู๋ชิวอิ่งแล้วก็ให้สงสารนักที่มีแม่สามีจิตใจคับแคบเช่นนี้ เพียงแต่นางไม่พูดออกไปให้เสียบรรยากาศมงคลก็เท่านั้น
.
.
.
[5] ซื่อ เป็นธรรมเนียมการเรียกขานหญิงที่แต่งงานแล้วของจีน จะเติมคำว่า “ซื่อ” ที่แปลว่าแซ่ ใช้ต่อท้ายแซ่เดิมของหญิงคนนั้น
