บทที่ 4 ระหว่างเราเป็นอะไรกัน [3]
ความรัก...ทำให้ผู้คนหลงใหล
ราวกับต้องมนตร์
กระพรวนเงินอันเล็กๆ วางอยู่ในกล่องเครื่องประดับสีแดง พร้อมกับข้อความที่เขียนไว้ว่า
‘กระพรวนเงินสำหรับจอมขวัญของคีรินทร์’
ใบหน้าสวยหวานราวกับตุ๊กตากระเบื้องของเหมือนฝันเขินอายจนกลายเป็นสีแดงเข้มราวกับมะเขือเทศสุก หัวใจดวงน้อยเต้นกระหน่ำจนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ใครจะคิดว่าหลายปีผ่านไปคีรินทร์จะกลายเป็นผู้ชายที่เอาใส่ใจคนอื่นขนาดนี้
หลายปีที่เขาไปเรียนต่อต่างประเทศ แม้ว่าคนอื่นจะมองว่าเขาไม่ได้ติดต่อกับใคร แต่ความจริงแล้วคีรินทร์ยังคงคบกับเหมือนฝันตลอดจนกระทั่งเขาเรียนจบ แต่ทั้งสองไม่ได้คงสถานะของ ‘แฟน’ แต่อย่างใด สถานะที่ไม่ชัดเจนนี้กลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้งเมื่อคีรินทร์เริ่มเข้าสู่วงการบันเทิง
เขาสวมกระพรวนเงินไว้ที่ข้อมือเล็กทั้งสองข้าง เสียงกังวานใสของมันกระทบกันอย่างน่าเอ็นดูยามที่เธอเคลื่อนไหว
ก่อนที่ใบหน้าหล่อเหลาจะก้มลงจุมพิตข้อมือขาวแผ่วเบา
เพียงแค่เขาจูบเธออย่างอ่อนโยน กระซิบถ้อยคำหวานหู ร่างของเธอก็พร้อมจะอ่อนระทวยในอ้อมแขนของชายหนุ่ม กลิ่นหอมสะอาด กลิ่นกุหลาบเจือกลิ่นอำพัน รสไวน์หวานปนเฝื่อนในลำคอราวกับแรงกระตุ้นชั้นดีให้เธอยอมตกหลุมพรางที่เขาขุดอย่างง่ายดาย
วันนั้นร่างของเธอถูกอุ้มออกจากรถอย่างเร่งรีบ โดยที่ปากยังคงถูกประกบแน่นเพื่อแลกเปลี่ยนความร้อนแรงระหว่างกัน ลมหายใจขาดห้วงจนสมองเกือบขาดออกซิเจน อย่างไรก็ตามมือของเธอไม่ได้หยุดนิ่ง มันลูบไปตามแผงอกตึงแน่นที่เต็มไปด้วยความร้อนและแข็งแกร่งราวกับเหล็กกล้า
เธอถูกโยนลงบนเตียงนุ่มอย่างเร่งรีบ เขาไม่ปล่อยโอกาสให้เธอได้ปฏิเสธ เพียงคำพูดแผ่วเบาว่า
“ขอนะครับ”
หลังจากนั้นสมองของเธอก็ขาดการตรึกตรองแล้ว เธอโยนตรรกะเหตุผลทุกอย่างทิ้งไป ไล่ตามสัญชาตญาณอันร้อนแรงที่เกิดขึ้น เคลื่อนไหวตามจังหวะเดือดพล่านของโลหิตในกาย ราวกับปีศาจในนิยายที่กระหายจะกลืนกินบุรุษ
ผมยาวสลวยถูกขยุ้มจนยุ่งเหยิง เหงื่อเปียกชื้นบนร่างกายส่งให้อาภรณ์กลายเป็นสิ่งที่น่ารำคาญมาก เธอได้ยินเสียงเปิดแอร์ ไม่นานอากาศก็เริ่มเย็นลง ทว่าการเคลื่อนไหวและสัมผัสจากปากและมือของเขากลับทวีความร้อนแรงยิ่งขึ้น
ราวกับกลัวว่าเธอจะเสียใจ เขาตะโบมจูบกลีบปากของเธอซ้ำๆ จนรู้สึกเจ็บ ขณะเดียวกันก็ส่งให้เกิดแรงกระตุ้นอันเสียวซ่านไปทั่วสรรพางค์กายอย่างรวดเร็ว
นาทีนั้นสติของเธอเตลิดไปไกลแล้ว ร่างกายร้อนและอ่อนเหลวปานขี้ผึ้งลนไฟ ผิวกายเนียนนุ่มถูกนวดคลึงราวกับก้อนแป้ง โดยเฉพาะเนินเนื้อขาวโพลนที่อ่อนไหวเป็นพิเศษ มันถูกเขาครอบครองอย่างรุนแรงจนเธอเผลอร้องครางออกมาอย่างน่าอาย กระนั้นแล้วเขากลับยิ่งเพิ่มระดับความรุนแรงของปากและฟันมากขึ้นจนเธอแทบทนไม่ไหว
‘กรุ๊งกริ๊ง’
ลูกกระพรวนกระทบกันจนเกิดเสียงเบาๆ ในห้อง
เหมือนฝันจำไม่ได้ว่าเธอตะโกนหรือกรีดร้องอะไรออกไปบ้าง ทว่ายามที่อาภรณ์บนร่างกายถูกดึงรั้งออกจนหมด ความเย็นของแอร์ไม่ได้ทำให้เธอมีสติ แต่กลับกระตุ้นให้เธอถลาเข้าหากายแกร่งอย่างไร้ยางอาย
เธอแอ่นสะท้านไปตามสัมผัสซ่านสยิวที่เกิดขึ้น ความสุขที่ถูกชายคนรักปรนเปรอช่างน่าหลงใหล ความเขินอายกลายเป็นไฟกระตุ้นให้เขามีความต้องการพุ่งสูง และความร้อนแรงที่เขาปรนเปรอกลับเป็นน้ำมันที่ราดบนกองไฟ ผสานกับอารมณ์เตลิดของหญิงสาว ราวกับสายลมรุนแรงที่ช่วยโหมพายุเพลิงนี้ให้แผดเผาสรรพสิ่ง
กระทั่งถูกเขาครอบครองอย่างจริงจัง เหมือนฝันจึงได้สติขึ้นมาแวบหนึ่ง คำพูดของแม่ดังก้องในหัว คำเตือนที่บอกว่าห้ามเสียพรหมจรรย์ก่อนเบญจเพส
‘กรุ๊งกริ๊ง’
กระดิ่งราวกับตอบสนองต่ออารมณ์ของชายหนุ่ม
เมื่อเขารับรู้ได้ถึงอาการเหม่อลอยและสับสนในแววตาของเธอ การเคลื่อนไหวของคีรินทร์ก็รุนแรงราวกับพายุ
พัดสติทั้งหมดของเธอกระจัดกระจายเป็นผุยผง
เธอหอบกระเส่า ถูกเขากระแทกอย่างบ้าคลั่ง ความเจ็บปวดในครั้งแรกพลันแปรเปลี่ยนเป็นความเสียวซ่าน ความประหม่าถูกราคะกลืนหาย ลมหายใจร้อนแรงของทั้งคู่สอดประสาน จูบลึกซึ้งราวกับไม่ต้องการจะแยกจาก การเคลื่อนไหวแสนหฤหรรษ์ชักนำทั้งสองให้จมดิ่งไปกับความลุ่มหลงของรสรัก
ครั้งแรกของทั้งคู่เต็มไปด้วยอารมณ์ปรารถนาราวกับภูเขาไฟที่รอคอยการระเบิดมาช้านาน
ทว่าครั้งแรกนี้...เป็นเพียงปฐมบท
เธอจำไม่ได้ว่ายามใดที่สัมผัสถึงปลายขอบฟ้าแห่งความสุขสมครั้งแรก แต่เขาก่อกวน กระตุ้นเร้าจนเธอติดไฟไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ยามนั้นคำเตือนอะไรก็ไม่อยากฟังแล้ว เธออยากถลำลึกไปกับมันอย่างลึกล้ำ ถูกเขาตระกองกอดและผสานลึก สยิวจนแทบขาดใจ ผิวกายขาวโพลนค่อยๆ ถูกแต่งแต้มด้วยร่องรอยที่เขาสร้างขึ้นเพื่อแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ
เสียงกระพรวนผสานกับการเคลื่อนไหวอันร้อนแรงและเสียงประสานของหนุ่มสาว ดังคลอเคล้าราวกับบทท่วงทำนองที่ถูกประพันธ์ขึ้นโดยนักดนตรีชื่อดัง
กระทั่งใกล้เช้า เมื่อเธอหมดแรงจนผล็อยหลับไป เขาถึงพาเธอไปล้างตัวและยอมให้เธอพักผ่อนด้วยความอ่อนล้า
การลิ้มรสผลไม้ต้องห้ามนั้นราวกับคำสาป ครั้งแรกของผู้หญิงช่างทรมานแสนสาหัส โดยเฉพาะครั้งแรกกับผู้ชายที่รู้จุดอ่อนของตนเองเป็นอย่างดี
เอวของเธอร้าวระบม แข้งขาอ่อนเปลี้ยจนแทบเดินไม่ไหว ราวกับว่าหากเดินลงจากเตียงแค่สองก้าว ก็อาจจะทำให้หมดสติไปเสียตอนนั้น
แต่เมื่อร่างกายได้พัก พลังก็ค่อยๆ ฟื้นคืนกลับมา แม้จะร้าวระบมไปบ้าง แต่เมื่อคิดถึงสิ่งที่ชวนให้ใจเต้นเมื่อคืนนี้ หัวใจของเธอก็เต็มไปด้วยความสุข
จนกระทั่งได้พบกับระมิงค์
แน่นอนว่าอีกฝ่ายเห็นเธอในสภาพไม่ค่อยเรียบร้อยนัก
ด้วยความรู้สึกผิดบางอย่างในใจ เหมือนฝันจึงตัดสินใจพูดกับระมิงค์ แต่เพราะสัญญากับพี่ชายไว้แล้ว เธอจึงทำได้เพียงบอกใบ้อะไรบางอย่างกับอีกฝ่าย หากว่าระมิงค์กับพี่ฟ้าไม่มีวาสนาต่อกัน เธอก็หวังแค่เพียงว่าอีกฝ่ายจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
มันก็เหมือนอย่างที่พี่ฟ้าว่า บางทีการไม่รู้เลยก็อาจจะดีกว่าต้องรับรู้ว่าตนเองไร้ความสามารถ ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้
คำสาปสิ้นสกุลที่เกิดขึ้นกับพี่ฟ้าทำให้เขามีอายุสั้น ตราบใดที่ไม่อาจไขคำสาปนี้ได้ ชะตากรรมของพี่ชายเธอก็นับว่าอาจมาถึงจุดจบแล้ว กระนั้นเหมือนฝันก็ยังมีความหวังริบหรี่ในหัวใจ
ความหวังบางอย่างนี้ มาจากตระกูลฝ่ายแม่
แต่เรื่องนี้มันคือความลับที่เธอไม่บอกใคร แม้แต่พี่ชายที่เธอรัก
หลังจากครั้งแรกที่แสนหวาน คีรินทร์ก็เริ่มมีความต้องการมากขึ้น ขณะเดียวกันเธอก็เริ่มสัมผัสได้ถึงความเย็นชาห่างเหินที่มีต่อกัน
หากเป็นเมื่อก่อน เธออาจจะถามออกมาตรงๆ เพื่อคลายความอึดอัด แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เหมือนฝันคนนี้เรียนรู้ที่จะเก็บงำความรู้สึกและความต้องการบางอย่างของตัวเอง
เธอเห็นความเย็นชาในแววตาของเขา แต่ก็เห็นความสับสนที่ปรากฏจางๆ ในดวงตาคู่นั้น
เหมือนฝันไม่อยากคาดเดาไปเอง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เผื่อใจ กระนั้นแล้วทุกครั้งที่เขาเรียกเธอไปหา เธอก็ไปหาเขาแต่โดยดีราวกับแมวน้อยแสนเชื่อง
กระพรวนเงินที่เขามอบให้ เธอมักจะสวมยามเมื่อทั้งคู่อยู่ด้วยกันบนเตียงเสมอ เขาบอกว่าทุกครั้งที่ได้ยินเสียงกระพรวนสั่นไหวพร้อมกับเสียงหวานๆ ของเธอ มันทำให้เขายิ่งอยากจะรังแกเธอมากขึ้น
ความเขินอายของเธอกลายเป็นของหวาน ถูกเขากลืนกินอย่างบ้าคลั่ง
เมื่อเธอเริ่มได้รับโอกาสในวงการบันเทิงด้วยการคัดเลือกจากผู้ประพันธ์ ผู้กำกับและคนเขียนบทในละครเรื่อง ‘ดุจบุหลันในม่านหมอก’
แม้จะมีเรื่องซุบซิบเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับคีรินทร์จนได้รับบทนางเอก แต่ทั้งคู่ต่างก็รู้ดีว่ามันไม่ใช่สาเหตุนี้ ด้วยบุคลิกและหน้าตาของเหมือนฝันที่ตรงกับจินตนาการของผู้ประพันธ์ เธอจึงได้รับโอกาสน มิเช่นนั้นแล้วเกรงว่าแม้จะใช้เงินใต้โต๊ะ ก็คงไม่อาจสมหวังได้
ดังนั้นจึงมีคนไม่น้อยที่ริษยาเธอ
ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงสร้างปัญหาให้เธอไปทุกที่ แต่ก็ได้คีรินทร์และคนอีกส่วนหนึ่งที่ช่วยเหลือเหมือนฝันด้วยความปรารถนาดี
แต่การรับบทบาทประกบคู่กับคีรินทร์ในครั้งนี้ มันกลับกลายเป็นการทำให้เธอเริ่มเสียเปรียบเขาเรื่อยๆ
เขาเริ่มเอาแต่ใจ ทุกครั้งที่ต้องการ มักจะอ้างการต่อบทมาบังหน้าก่อนจะลากผู้จัดการส่วนตัวของทั้งคู่มาเป็นหนังหน้าไฟ ก่อนจะรังแกเธอไปทุกที่อย่างเผด็จการ
แต่ใครใช้ให้เธอรักเขาล่ะ?
อีกทั้งการแอบทำอะไรแบบนี้ลับๆ มันก็น่าตื่นเต้นจนเธอคล้อยตามอย่างว่าง่าย
นี่เองที่เป็นดาบสองคมให้คนใช้มันมาแทงเธอ แน่นอนว่าเรื่องเหล่านี้มักจะปิดไว้ไม่มิด สายตาที่เขามองเธอมันแตกต่างจากสายตาที่มองเพื่อนร่วมงาน แม้แต่ผู้กำกับและคนเขียนบทก็ยังดูออก แต่เพราะทั้งคู่ไม่ได้ทำให้เสียการเสียงาน พวกเขาจึงมองข้ามมันไป
เพราะเรื่องแบบนี้มักจะเกิดขึ้นเสมอในวงการบันเทิง
ทว่าใครจะคิด...คนที่ทำร้ายเธอกลับไม่ใช่คนอื่น แต่เป็นคนที่เธอรักและเชื่อจนหมดใจ
เหมือนฝันค่อยๆ หลุดจากภวังค์แห่งการรำลึกอดีต น้ำตาเหือดแห้งไปนานแล้ว เหลือเพียงความหดหู่ในใจที่ยังคงคั่งค้าง
ดวงตาคู่สวยกะพริบเนิบช้า เหม่อมองไปยังทิวทัศน์นอกหน้าต่าง แสงไฟและฝุ่นละอองในเมืองใหญ่บดบังดาวบนฟ้าจนแทบมองไม่เห็น หม่นหมองราวกับหัวใจของเธอ
ขณะเดียวกันก็เห็นเงารางเลือนที่นั่งห้อยขาอยู่ตรงระเบียง
ราวกับจับได้ว่าเธอมองเห็น เงานั้นค่อยๆ หันมา ใบหน้าซีดขาวของหญิงสาวมองเหมือนฝัน แววตาปราศจากความมีชีวิตชีวา เธอยิ้มให้เหมือนฝันอย่างเศร้าสร้อย ก่อนจะพูดว่า
“เมื่อก่อนมีชีวิตอยู่ก็อยากจะตาย ตอนนี้ตายแล้วก็อยากไปเกิดใหม่ อยากตายด้วยกันไหม?”
น้ำเสียงเย็นยะเยือกชวนขนหัวลุก ทว่าเหมือนฝันกลับไม่ได้มีทีท่าว่าจะกลัวเลยแม้แต่น้อย เธอมองใบหน้าไร้อารมณ์ของอีกฝ่าย ดวงตาเต็มไปด้วยประกายคมกล้าผิดกับก่อนหน้าลิบลับ ตอบกลับอย่างไร้อารมณ์เช่นกัน
“สมน้ำหน้า ตอนมีชีวิตอยู่ไม่คิดให้ดี ตอนนี้เสียใจทีหลังแล้วจะได้อะไร ไสหัวไปให้พ้น” เสียงเย่อหยิ่งเจือความแหบพร่าดังขึ้น แต่ทั้งร่างเหมือนแผ่รัศมีบางอย่างที่ทำให้เจ้าของร่างมืดมนนั้นตื่นตระหนก
อีกฝ่ายไม่กล้าแม้แต่จะโกรธเธอด้วยซ้ำ แต่กลับลนลานแล้วหายไปราวกับไม่เคยปรากฏตัว
เหมือนฝันถอนหายใจ ดึงสายตากลับมาแล้วหลับตาลงอย่างสงบ
เธอมักจะเห็นอะไรแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก นั่นเพราะความสามารถที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดและมรดกทางสายเลือดของแม่ สิ่งนี้ทำให้เธอกลายเป็นหญิงสาวเพียงคนเดียวที่ถือกำเนิดในตระกูลอัศวพงษ์หลังจากผ่านมาถึงรุ่นที่เจ็ด
แต่นี่ก็มีปัญหาเช่นกัน เพราะมันเกี่ยวข้องกับการสืบทอดมรดกที่แม่ไม่ต้องการให้เธอยุ่งเกี่ยว
ลมหายใจของเหมือนฝันค่อยๆ สงบลง ความเสียใจและตกใจจากการที่คีรินทร์ให้สัมภาษณ์ รวมถึงคำพูดทำร้ายจิตใจที่เขาพูดกับเธอยังคงก่อกวนในจิตใจ แต่ตอนนี้ความสับสนในใจกลับถูกคลี่คลายลง
เธอไม่รู้ว่าเหตุผลอะไรที่ทำให้เขาพูดแบบนั้น
ก็หมายความตามนั้น เราไม่ได้เป็นอะไรกัน แค่เล่นสนุกกันคั่นเวลา พอเบื่อแล้วก็แยกทาง ฟินก็ฟินทั้งคู่ ไม่มีใครเสียหายเลยนี่
พี่ไม่ได้แกล้งอะไรนี่ บทสัมภาษณ์ก็เป็นกลางที่สุดแล้ว อีกอย่างช่วงนี้ดูเหมือนจะมีข่าวลือมากมาย มันค่อนข้างน่าเบื่อน่ะ ยังไงช่วงนี้เราสองคนต้องระวังให้มากขึ้น พี่ยังอยากสนุกกับฝันอยู่นะ
ริมฝีปากบางเม้มแน่น แม้จะหลับตา แต่สีหน้าของเธอก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่พยายามระงับไว้
หึ...เขายังอยากสนุกกับเธอเหรอ?
เช้าวันรุ่งขึ้น
ขวัญข้าวมารับเหมือนฝันตั้งแต่เช้า ก่อนจะไปส่งเธอที่บ้านเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เหมือนฝันให้เหตุผลกับคุณพ่อคุณแม่ว่าค้างที่บ้านขวัญข้าว พวกท่านจึงไม่ได้สงสัยอะไรมากนัก เพียงแต่เห็นสีหน้าทรุดโทรมของลูกสาวก็เข้าใจว่าเธอโหมงานหนัก คุณแม่ของเธอจึงกำชับให้ทั้งคู่กินข้าวเช้าก่อนออกมาทำงาน
เมื่อมาถึงกองถ่ายก็พบกับสายตาแปลกๆ ของทุกคน รวมถึงสายตาเย้ยหยันของใครบางคนอีกด้วย
“นี่...ได้ยินหรือเปล่าว่ายัยน้องฝันนางโดนคุณคินทร์เทน่ะ”
“เขารู้กันทั่วแล้ว ทำตัวเกาะติดน้องคินทร์ไปวันๆ คิดว่าจะดังขึ้นมาได้เพราะเกาะคนอื่นหรือไง” บางคนพูดด้วยความหมั่นไส้
“ถึงจะอย่างนั้นแต่คุณคินทร์ก็ปกป้องชีเยอะอยู่นะ เห็นหรือเปล่าว่าเขาห้ามอะไรทุกคนไว้ อย่าพูดเรื่องนี้อีกเลย ดูสินางเดินมาทางนี้แล้ว”
เหมือนฝันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของคนในกอง เนื่องจากยังไม่มีบทและจำเป็นต้องเข้าไปแต่งหน้าแต่งตัวก่อนอันดับแรก เหมือนฝันจึงเดินไปที่ห้องแต่งตัวที่จัดให้สำหรับนางเอกโดยเฉพาะ
“เดี๋ยวพี่ไปตามช่างแต่งหน้ากับสไตลิสต์ ฝันเข้าไปรอนะ” ขวัญข้าวพูดขึ้นเมื่อเห็นหลังไวๆ ของช่างแต่งหน้าซึ่งเดินไปที่กองสวัสดิการ
“ได้ เดี๋ยวฝันไปรอ”
เหมือนฝันรักษาสีหน้าเย็นชา ทำหูทวนลมแล้วเปิดประตูเข้าไปในห้องแต่งตัวอย่างที่เคยทำ
ทว่าหลังจากประตูห้องปิดลง กลิ่นเข้มข้นของอำพันก็ลอยมาปะทะนาสิก ก่อนที่ร่างทั้งร่างของเธอจะถูกผลักชิดผนังเย็นๆ โดยมีแขนแกร่งคู่หนึ่งกักขังไว้
เหมือนฝันสงบลงอย่างรวดเร็ว ดวงตาคู่สวยช้อนมองใบหน้าหล่อเหลาที่เต็มไปด้วยความเย็นชา
เขาปรารถนาจะได้เห็นความเจ็บปวดผ่านแววตาของเธอ แต่เมื่อเห็นดวงตาสงบคู่นั้น ความโกรธเกรี้ยวอันไร้ที่มาก็ทำให้ชายหนุ่มแทบบ้า อารมณ์ที่พยายามสงบลงตั้งแต่เมื่อวานคล้ายกับภูเขาไฟที่รอวันปะทุ ดวงตาคมกล้าจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่สวยราวกับจะมองทะลุไปถึงก้นบึ้ง
เหมือนฝันกัดริมฝีปากจนห้อเลือด ราวกับไม่ต้องการจะมีเรื่องกับเขา
“มองพี่แบบนี้เหรอ?” เขาพูดเสียงเย็น สายตาเลื่อนไปยังริมฝีปากซึ่งถูกขบจนห้อเลือดอย่างไม่พอใจ มือข้างหนึ่งเลื่อนไปที่คางเรียว
จังหวะเดียวกับที่เหมือนฝันเบือนหน้าไปทางอื่น “อย่าแตะต้องฉัน”
คำว่า ‘ฉัน’ แทนที่จะเป็น ‘ฝัน’ ทำให้กลิ่นอายรอบตัวของคีรินทร์เต็มไปด้วยความอันตราย
“ทำไมจะแตะต้องไม่ได้ ในเมื่อทุกทีก็...”
“หึ!” เหมือนฝันแค่นเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่เคยทำมาก่อน จากนั้นก็หันกลับมา จ้องลึกเข้าไปในดวงตาคมอย่างว่างเปล่า น้ำเสียงเย้ยหยันเปล่งออกมาจากริมฝีปากแดงช้ำ “แล้วระหว่างเราเป็นอะไรกัน ทำไมคุณถึงมีสิทธิ์ทำแบบนี้กับฉัน?”
