บทที่ 2 ระหว่างเราเป็นอะไรกัน [1]
ในรถตู้
คีรินทร์ขมวดคิ้วเมื่อปลายสายได้ยินเสียงอะไรบางอย่างกระแทกพื้นก่อนจะมีเสียงตะโกนโวยวายของขวัญข้าว ทว่าหลังจากนั้นก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกต่อไปเนื่องจากปลายสายถูกตัดทิ้ง
ทันใดนั้นชายหนุ่มก็รู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ ใบหน้าที่มักจะปรากฏรอยยิ้มหยันและความเย็นชาเหินห่างมีความกังวลจางๆ เขากดเบอร์ของขวัญข้าวและโทรออก
หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้...
คิ้วเข้มขมวดมุ่น ก่อนจะหันไปพูดกับก้องภพที่นั่งอ่านข่าวอยู่ข้างๆ “พี่ลองโทรหาผู้จัดการส่วนตัวของฝันหน่อยสิ”
นิ้วที่กำลังปัดหน้าจอชะงัก ก้องภพเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง ถอนหายใจด้วยความเบื่อโลก “ทำไมทุกครั้งที่นายสร้างปัญหา จะต้องเป็นฉันที่ช่วยนายตลอดด้วยนะ”
“เพราะพี่เป็นผู้จัดการของผมไง” คีรินทร์พูดโดยหน้าไม่เปลี่ยนสี
“เฮอะ!” ก้องภพตบเข่าฉาด ชี้หน้าคีรินทร์ด้วยความหงุดหงิด “ฉันบอกแล้วว่าอย่ารังแกผู้หญิง นายเคยฟังสักคำไหม นี่อะไร ไปพูดทำร้ายจิตใจคนเขา ไม่โดนตบหน้าหันก็บุญแล้ว พอทำร้ายจิตใจเขาเสร็จตอนนี้ต้องการความช่วยเหลือเหรอ เหอะๆ ทำไมล่ะ? ใจอ่อนขึ้นมาแล้ว หรือมีมนุษยธรรมขึ้นมาบ้างแล้วล่ะ?”
“โทรหาขวัญข้าว” คีรินทร์พูดเสียงเรียบ คราวนี้คล้ายออกคำสั่งกลายๆ
แรงกดดันจากตัวคีรินทร์ที่ส่งผลต่อก้องภพนั้นไม่น้อยเลย เมื่อถูกจ้องด้วยสายตาเย็นชาราวกับน้ำแข็ง ก้องภพก็แทบหายใจไม่ออก จำต้องเปิดรายชื่อขึ้นมากดโทรออกอย่างช่วยไม่ได้
“ทำนิสัยแย่ๆ จนถูกบล็อกเบอร์ยังมีหน้าให้ฉันเป็นหนังหน้าไฟอีก ชิ!”
“ถ้าอย่างนั้นวันโกนที่จะถึงนี้พี่ก็อยู่คนเดียวไปก็แล้วกัน ฉันไม่ว่างช่วยคน”
“เออๆ รู้แล้วน่า กำลังโทรนี่ไง ยัยนั่นยังไม่รับ!”
หากไม่ใช่เพราะความสามารถพิเศษของเขานั้นล้ำเลิศเกินไปจนถูกคนหมั่นไส้ ทุกวันโกนจะถูกคนส่งสิ่งเลวร้ายมารังควาน เขาคงไม่ตามใจคีรินทร์มากกว่าศิลปินคนไหนๆ ที่เคยดูแลหรอก
ผลประโยชน์ก็เรื่องหนึ่ง แต่ชีวิตมีความสำคัญกว่า แม้กระทั่งคนที่ไม่อยากพบหน้าก็ยังต้องได้พบเพราะเจ้าเด็กคนนี้
[มีอะไรอีก อยากให้ฉันบล็อกเบอร์นายด้วยไหม] เสียงเหวี่ยงวีนปลายสายตวาดใส่โทรศัพท์จนก้องภพต้องย่นคอหนี เขาใช้นิ้วอุดรูหูที่สั่นสะเทือนของตัวอย่างทรมาน
“ไม่ๆ ใจเย็นๆ ก่อน ฉันแค่เป็นห่วงคุณฝัน เธออยู่ที่ไหน เป็นอะไรหรือเปล่า”
[ยังมีหน้ามาถามแบบนี้อีกเหรอ ถ้าอยากรู้แค่นี้ไม่ต้องโทรมาแล้ว พวกเราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก บาย!]
“เดี๋ยวก่อนขวัญข้าว คุณขวัญ ผมรู้สึกผิดจริงๆ ที่เจ้าคินทร์ทำแบบนั้น ผมอยากขอโทษ ตอนนี้น้องฝันเป็นยังไงบ้าง ให้ฉันคุยกับเธอหน่อยได้ไหม”
[หุบปากเน่าๆ ของนายไปเลยนะ ไม่ตายก็บุญแล้ว แค่นี้แหละ ฉันหวังว่านายจะคุมคนของนายให้ดีอย่าให้หมอนั่นมายุ่มย่ามกับศิลปินของฉันอีก นับตั้งแต่วันนี้ไปถ้านายยังไม่สามารถคุมไอ้หมอนั่นได้ ฉันจะทำให้นายรู้ว่าการอยู่มิสู้ตายหมายความว่ายังไง!]
ตู๊ดๆ ๆ ๆ
ปลายสายตัดไปทันทีที่ด่าจบ
“เดี๋ยว! ขวัญข้าว!”
ก้องภพแสร้งทำเป็นไม่พอใจ หางตาเหล่มองคีรินทร์ที่สีหน้าสงบราบเรียบราวกับทะเลในช่วงที่พายุกำลังจะเกิด เขาลอบลูบแขนตนเองด้วยความผวาเล็กน้อย กระแอมแผ่วเบาแล้วไหวไหล่ “เห็นหรือเปล่า? ทำคนเขาโกรธแล้ว นายจะให้ฉันทำยังไงอีก”
ชายหนุ่มหลุบตาต่ำ หมุนโทรศัพท์มือถือในมือราวกับของเล่น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วทอดสายตามองไปยังการจราจรที่ติดขัด ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
ฝ่ายก้องภพเมื่อเห็นว่าคีรินทร์ไม่รั้นต่อ เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ใจหนึ่งก็อยากให้คนอย่างคีรินทร์ได้รับบทเรียนราคาแพงสักครั้ง
เขาอ่านความคิดของคีรินทร์ไม่ได้ และเขาก็ไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรอีกฝ่ายถึงทำตัวน่ารังเกียจเช่นนี้ แต่สายตาของเขายังไม่ได้มืดบอด ความคิดของเขาแจ่มชัดเป็นอย่างยิ่ง
มองจากมุมของคนนอก เห็นได้ชัดว่าคีรินทร์ให้ความสำคัญกับเหมือนฝันมาก กระทั่งว่าบทสัมภาษณ์แม้จะดูเหมือนเย็นชาไร้เยื่อใย แต่ก็ปกป้องเหมือนฝันจากข้อครหาได้ อีกทั้งยังตีวัวกระทบคราดจนทำให้คนที่อยู่เบื้องหลังตื่นตระหนกไม่น้อย
ในวงการมายาแห่งนี้ มีการต่อสู้ทั้งเบื้องหน้าและลับหลัง คนไม่น้อยที่มีความอิจฉาริษยาและเกลียดกันโดยไร้เหตุผล การลงมือปล่อยข่าวครั้งนี้เห็นได้ชัดว่ามีคนต้องการทำลายเหมือนฝันโดยอาศัยสื่อ อีกทั้งยังต้องการทดสอบทัศนคติของคีรินทร์อีกด้วย
ก้องภพเบือนหน้าไปทางอื่นพลางตกอยู่ในภวังค์แห่งความคิด ดูเหมือนว่านอกจากจะมีคนอยากทำลายผู้มาใหม่ในวงการแล้ว คีรินทร์ก็ยังคงเป็นเป้าหมายหลักของพวกเขาเหมือนเดิม
โรงพยาบาล
ดวงตาภายใต้เปลือกตากลอกไปมาก่อนที่แพขนตาหนาจะสั่นไหวอย่างเชื่องช้า เมื่อเหมือนฝันค่อยๆ ลืมตา ภาพตรงหน้าก็พร่าเลือนไปชั่วขณะ ต้องรอพักใหญ่กว่าจะปรับสายตาให้เข้ากับแสงสว่างบนฝ้าเพดาน
เวลาต่อมาความทรงจำก่อนหน้านี้ก็ค่อยๆ กระจ่างชัด
ความเจ็บปวดในใจก่อนหน้านี้ยังคงหน่วงอยู่ในอก ราวกับถูกมือที่มองไม่เห็นบีบรัดจนแทบทนไม่ไหว ขณะเดียวกันความวิงเวียนก็ค่อยๆ ทุเลาลง
“ฝัน...เป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นไหม?” เสียงของขวัญข้าวเต็มไปด้วยความเป็นห่วง
เหมือนฝันมองสีหน้ากังวลใจของอีกฝ่าย หัวใจรู้สึกอบอุ่นเล็กน้อย เธอเหลือบมองที่ข้อมือ ความปวดหนึบจากการเติมน้ำเกลือกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลยเมื่อเทียบกับแรงบีบที่ข้อมือจากขวัญข้าว ทว่าเหมือนฝันไม่ได้นำมันมาใส่ใจเลยแม้แต่น้อย
เพราะนอกจากครอบครัวของเธอแล้ว ขวัญข้าวคืออีกคนหนึ่งที่มีความจริงใจต่อเธออย่างแท้จริง
“ฝันดีขึ้นแล้วพี่ข้าว ขอบคุณมากนะคะที่อยู่ข้างๆ กัน” เสียงหวานแหบพร่า อ่อนล้าจนเจ้าตัวยังขมวดคิ้ว
“หมอบอกว่าฝันพักผ่อนน้อย ต่อไปนี้ต้องดูแลตัวเองให้มากขึ้นนะรู้ไหม เรื่องอื่นๆ ไม่ต้องคิดถึงมัน ปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคต เข้าใจไหม”
“เอ่อ...พี่ข้าว”
“หืม?” ขวัญข้าวหรี่ตาลงอย่างไม่พอใจเมื่อเห็นทีท่าคล้ายปฏิเสธของอีกฝ่าย
“เข้าใจแล้วค่ะ ฝันจะไม่คิดอะไรเลย” เหมือนฝันฝืนยิ้มส่งให้ขวัญข้าว แม้หัวใจจะเศร้าโศก แต่ก็ไม่อยากทำให้คนอื่นเป็นห่วง
“ดีมาก ร่างกายของฝันยังไม่แข็งแรงดี หมอให้นอนที่โรงพยาบาลสักคืน ข้างห้องเป็นห้องของคุณฟ้า ถ้าฝันอยากไปเจอพี่ชายก็ไปได้ เดี๋ยวพี่ต้องรีบกลับบ้านไปดูลูกแล้ว อยู่คนเดียวได้ใช่ไหม?”
“เดี๋ยวก่อนค่ะ พี่ข้าวไม่ได้บอกคุณพ่อคุณแม่ฝันใช่ไหมคะ?” ความกังวลเล็กน้อยผุดขึ้นในใจ เธอกลัวจริงๆ ว่าจะทำให้พวกท่านเป็นห่วง
พักหลังมานี้เธอเหนื่อยง่ายเป็นพิเศษ บางครั้งก็หมดแรงเอาเสียดื้อๆ แต่เพราะนานๆ จะเกิดขึ้นเธอก็คิดแต่เพียงว่ามันเป็นเรื่องปกติของการพักผ่อนน้อย
อย่างไรก็ตามหากเรื่องนี้รู้ไปถึงหูคุณพ่อกับคุณแม่ เธอกลัวว่าพวกท่านจะรับไม่ไหว
เพราะแค่เรื่องของพี่ฟ้าก็ทำให้พวกท่านกินไม่ได้นอนไม่หลับแล้ว
ที่สำคัญหากคุณแม่รู้ว่าเธอตกเป็นของผู้ชายคนหนึ่งก่อนถึงวัยเบญจเพส เหมือนฝันกลัวว่าจะยิ่งทำให้เกิดเรื่องใหญ่ ตอนนี้เธอไม่ได้เหมือนเด็กสามขวบอีกต่อไปที่มีอะไรก็ฟ้องพ่อกับแม่ อีกไม่นานก็จะเรียนจบและมีชีวิตเป็นของตัวเอง
พี่ชายของเธอสามารถรับผิดชอบงานทั้งหมดของบริษัทและเป็นที่พึ่งของพ่อแม่ได้
เธอไม่มีความปรารถนาที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องปวดหัวพวกนั้นแม้แต่น้อย แต่ก็ไม่ต้องการเป็นภาระของพวกเขาเพิ่มอีก
ในเมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะเธอทำตัวเอง เธอก็หวังว่าจะได้แก้ไขมันด้วยตัวเองเช่นเดียวกัน
